ร่วมมือกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์
มองอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่ทราบว่าความคิดแล่นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
เมื่อกู้ซีจิ่วพูดจบก็ให้เขาเอ่ยทวน เขาถึงได้สติคืนมา ท่องได้ติดๆ ขัดๆ สองสามข้อหลังล้วนลืมจนสิ้น!
“ด้านหลังลืมหมดเลยหรือ?” กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วมองเขา
“ข…ขอโทษ” เขาตอบอ้อมแอ้ม
กู้ซีจิ่วมองเขาเงียบๆ ไม่พูดอะไร เจ้าเด็กนี่มิใช่โอ้อวดว่าอะไรที่ผ่านตาล้วนจำได้ไม่ลืมหรอกหรือ? เหตุใดจึงกลายเป็นห่านหัวทึบเช่นนี้ไปได้เล่า?
เขาเพิ่งจะฟื้นฟูกลับมา สติปัญญาอาจจะถูกพลังยุทธ์ลดทอนลง เมื่อกู้ซีจิ่ววางแผนว่าจะทวนซ้ำอีกครั้ง จู่ๆ เชียนหลิงอวี่ก็เงยหน้าขึ้น มองเธออย่างเก้อกระดากอยู่บ้าง “ซีจิ่ว มิสู้เจ้าเขียนให้ข้าดีกว่า เจ้าเขียนมาข้าอ่านหลายๆ รอบเดี๋ยวก็จำได้เอง” จู่ๆ เขาก็ต้องการให้นางเขียนอักษรยิ่งนัก…
กู้ซีจิ่วก็ไม่สงสัยอะไร ร้องขอกระดาษกับพู่กัน แล้วเขียนอย่างว่องไว
เสียงลมพัดโชยมา ทันใดนั้นก็มีคนเพิ่มเข้ามาคนหนึ่ง เมื่อกู้ซีจิ่วเขียนเสร็จก็หันหลังกลับทันที หวิดจะพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของคนผู้นั้นแล้ว
กลิ่นหอมอ่อนจางอบอวลอยู่ตรงปลายจมูก หัวใจกู้ซีจิ่วเต้นรัวจนแทบผิดจังหวะ ขณะที่เธอกำลังจะถอยหลัง กระดาษในมือก็ถูกคนหยิบไปแล้ว
ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงพากันคุกเข่าลงไป “คารวะท่านเทพศักดิ์สิทธิ์!”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งสวมอาภรณ์ขาวดั่งก้อนเมฆ ยืนสง่าอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครเห็นชัดเจนว่าเขามาได้อย่างไร ราวกับปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า
ยามนี้ในมือเขาถือ ‘ใบสั่ง’ ที่กู้ซีจิ่วเพิ่งเขียนเสร็จเอาไว้ เขากวาดตามองแวบหนึ่ง สุดท้ายก็ประเมินออกมาประโยคหนึ่งว่า “ถึงแม้อักษรจะมีพลัง แต่ลายเส้นไม่สมดุล…” วิจารณ์อักษรที่เธอเขียน ความหมายโดยนัยคือ ‘อักษรน่าเกลียดเกินไป ยังต้องฝึกฝนอีกมาก’
กู้ซีจิ่วสีหน้าอึมครึม เธอทราบว่าลายมือตนไม่ถือว่าน่ามองนัก แต่นี่มิใช่การคัดอักษรเสียหน่อย เธอแค่เขียนข้อควรระวังเท่านั้นนะ
เชียนหลิงอวี่มองกระดาษในมือท่านเทพศักดิ์สิทธิ์แผ่นนั้นตาปริบๆ เขายังนึกอยู่ว่าเมื่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์วิจารณ์จบจะมอบกระดาษแผ่นนั้นให้เขา แต่นึกไม่ถึงว่ากระดาษในมือท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะม้วนเป็นวงแล้วหายไป
เชียนหลิงอวี่จึงเอ่ยถาม “…ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ กระดาษแผ่นนั้น…” เขาไม่ยอมแพ้ ต้องการทวงคืนมา
ดูเหมือนท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เพิ่งจะมองเห็นเขา สายตามองมาที่เขา
เชียนหลิงอวี่อดไม่ได้ที่หดตัวลง เดิมทีกลิ่นอายของเขาแกร่งกล้านัก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ กลับไม่หลงเหลือเลยสักเสี้ยว!
“จำไม่ได้?” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ถามเขาเพียงสามคำ แถมน้ำเสียงยังแผ่วเบานัก
เชียนหลิงอวี่เงียบงัน ปากเขาอ้าน้อยๆ พูดโป้ปดไม่ออก “ข้า…นั่นข้า…”
“ทูตเฉิงเอ้อ พาเขาไปทำให้มีความจำยืนยาว” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์สั่งการ
“รับบัญชา!” ทูตเฉิงเอ้อตอบรับอย่างเบิกบานยิ่ง รีบดึงตัวเชียนหลิงอวี่ที่หน้าเปลี่ยนสีไว้ หิ้วจากไปปานหิ้วนกกระทา
ทูตเฉิงเอ้อเคลื่อนไหวว่องไวนัก ไวจนเชียนหลิงอวี่ไม่มีเวลาอุทานสักประโยคด้วยซ้ำ
แม้กระทั่งกู้ซีจิ่วก็เข้ามาขวางไม่ทัน ทูตเฉิงเอ้อพาเชียนหลิงอวี่หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
ก่อนหน้านี้ยามที่กู้ซีจิ่วกับทูตเฉิงเอ้อรักษาให้เชียนหลิงอวี่ ความสนใจของฝูงชนล้วนอยู่ที่ร่างคนทั้งสาม ไม่สนใจความเป็นความตายของเชียนหลิงเทียนอีก
เชียนหลิงเทียนทราบว่าครั้งนี้ไม่มีผลดีต่อตนแน่นอน เดิมทีเขาคิดจะฉวยโอกาสหนีไปตอนที่ความสนใจไม่ได้อยู่ที่ตัวเขา เพิ่งจะขยับไปได้ก้าวเดียวก็ถูกผู้อาวุโสหน่วยลงทัณฑ์ท่านหนึ่งจับกลับมา ลงมือสกัดจุดแล้วโยนไว้ตรงนั้น
สีหน้าเขาสิ้นหวัง มองไม่เห็นลู่ทางใด
เมื่อที่สิ้นหวังสุดขีด เขาจึงยอมทุ่มสุดตัว
ขอแค่ได้เอาคืนจะให้เขาแลกอะไรก็ยอม! อย่างมากก็ไม่พ้นคำว่า ‘ตาย’ ยังจะทำอะไรได้อีก?