บทที่ 644 นางสร้างปาฏิหาริย์
เขาพบว่าตนเองรู้สึกสนใจนางมากขึ้นเรื่อยๆ และชื่นชมมากขึ้นเรื่อย
เด็กสาวผู้นี้ก็เหมือนกล้องสลับลาย ทุกครั้งที่หมุนก็จะกลายเป็นลวดลายใหม่…
หรือนี่จะเป็นเหตุผลที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์รับนางเป็นศิษย์?
….
เรื่องที่กลุ่มของกู้ซีจิ่วจะได้ประลองกับศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาม่วงแพร่กระจายไปทั่วสำนักอย่างรวดเร็ว ข่าวนี้ทำให้ศิษย์ทั้งหมดในชั้นเรียนเมฆาคล้อยคึกคักมาก!
ในที่สุดศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาคล้อยก็สามารถท้าทายชั้นเมฆาม่วงอย่างเป็นทางการได้แล้ว!
ต่อให้พวกเขาจะเห็นกลุ่มของกู้ซีจิ่วขัดหูขัดตา แต่ก็รู้สึกว่าต่อสู้ได้ยอดเยี่ยมจริงๆ
เมื่อก่อนชั้นเรียนเมฆาม่วงดูถูกที่จะประลองแบบกลุ่มกับพวกเขา เนื่องจากรู้สึกว่าเช่นนั้นเป็นการลดตัวเกินไป…
ยามนี้ในที่สุดก็มีโอกาสเช่นนี้เสียที ต่อให้พ่ายแพ้ก็เพียงพอให้พวกเขาตื่นเต้นไประยะหนึ่งแล้ว
ฝ่ายศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาม่วง ดูถูกยิ่งนักตามปกติ ศิษย์ในชั้นเรียนศิษย์ใหม่ทั้งสามชั้นผู้ใดก็ไม่เต็มใจจะต่อสู้ เนื่องจากรู้สึกว่าชนะไปก็ไม่สมศักดิ์ศรี…
แต่ในเมื่อกู่ฉานโม่กล่าวมาเช่นนี้แล้ว อาจารย์ของทั้งสามชั้นเรียนก็บอกปัดไม่ได้ แต่ผู้ใดก็ไม่ยินยอมรับเคราะห์นี้ก่อน สุดท้ายเลยตัดสินใจจับฉลากกัน…
ชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องสามเคราะห์ร้ายจับได้ ‘โอกาส’ ครั้งนี้ อาจารย์ของห้องสามอึดอัดใจมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงกลับไปที่ชั้นเรียนตน เลือกไปเลือกมา สุดท้ายก็เลือกกลุ่มที่ด้อยที่สุดมารับมืออย่างขอไปที
กู้ซีจิ่วเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์อย่างเป็นทางการได้หนึ่งเดือนครึ่งแล้ว ถูกต้อนรับด้วยการสู้กับชั้นเรียนเมฆาม่วงเป็นครั้งแรก
เดิมทีอาจารย์ของชั้นเรียนเมฆาม่วงไม่ได้เก็บเอาการประลองครั้งนี้มาใส่ใจเป็นจริงเป็นจัง ในใจเขาแค่คิดว่ากู่ฉานโม่คงจะว่างเกินไป ดังนั้นถึงได้เกิดความคิดเพี้ยนๆ จัดการประลองเช่นนี้ขึ้น เขาก็ทำได้เพียงให้ศิษย์ของตอบรับการต่อสู้ เป็นพี่เลี้ยงเล่นกับเด็กน้อย
สนามประลองที่เขาจัดคือสนามเล็กของชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องสาม แต่กู่ฉานโม่กลับไม่เห็นด้วย เขารู้สึกว่าเรื่องแบบนี้ควรจะจัดให้เป็นทางการสักหน่อย ถึงอย่างไรก็เป็นครั้งแรกที่ศิษย์ของชั้นเมฆาคล้อยท้าประลองชั้นเมฆาม่วง เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะปลุกเร้าจิตใจให้ฮึกเหิม ดังนั้นกู่ฉานโม่จึงเลือกจัดการประลองหนนี้ที่สนามกีฬาของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์
สนามกีฬาของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ฐานะเทียบได้กับสนามกีฬาแห่งชาติปักกิ่งของยุคปัจจุบัน มีเพียงยามที่มีการแข่งขันสำคัญเท่านั้นถึงจะจัดขึ้นที่นี่
อาจารย์ทุกคนต่างรู้สึกว่ากู่ฉานโม่บ้าไปแล้ว ถูกเผาในแดนเพลิงลับแลจนเลอะเลือน ถึงได้เล่นใหญ่ปานนี้
ที่นี่ยังคงเป็นกู่ฉานโม่ที่มีอำนาจมากที่สุด ถึงแม้ภายในใจของอาจารย์คนอื่นจะไม่เห็นด้วยกับคำสั่งเขา แต่ก็ไม่อาจคัดค้านได้ ดังนั้นจึงจัดเตรียมงานนี้อย่างไม่ใคร่เต็มใจนัก
แต่พวกเขาก็แอบต่อต้านในทางอ้อม อย่างเช่นจงใจจัดบทเรียนสำคัญในวันที่มีแข่งขัน ทำให้ศิษย์ในชั้นเรียนตนไปชมไม่ได้…
ด้านศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาคล้อย ส่วนใหญ่พวกเขาเกรงว่ากลุ่มของกู้ซีจิ่วจะพ่ายแพ้ยับเยินเกินไป จะสะเทือนความมั่นใจในตัวเองของพวกเขาที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะเสริมสร้างขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงเลือกที่จะไม่ไปชมเช่นกัน เพียงบอกกล่าวแก่สหายหลายคนที่จะไปชมว่า กลับมาเล่าผลให้ฟังด้วยก็พอ ฟังแค่ผลการแข่งขันคงไม่กระทบกระเทือนนัก…
ดังนั้นในวันที่การประลองเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ผู้ชมในสนามกีฬาจึง…น้อยนิดหร็อมแหร็ม
ที่นั่งชมส่วนใหญ่เงียบเหงาวังเวง ว่างเปล่าจนที่สายลมโชยเข้ามาจากฝั่งหนึ่งพัดทะลุไปถึงอีกฝั่งหนึ่งได้
อาจารย์เมิ่งของห้องสามนั่งอยู่กับกู่ฉานโม่บนเวทีในตำแหน่งของกรรมการ มองดูความเงียบเหงาวังเวงด้านล่างเวที ในที่สุดก็กระซิบถามกู่ฉานโม่อย่างจริงใจว่า “อาจารย์ใหญ่ เป็นเพราะก่อนหน้านี้ท่านเคยล่วงเกินศิษย์ของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้เลยรู้สึกผิดต่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นถึงได้จัดงานครั้งนี้ขึ้นเพื่อกอบกู้ภาพลักษณ์ในใจท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหมขอรับ?”
กู่ฉานโม่ตอบเขาเพียงสองคำอย่างตระหนี่วาจา “เหลวไหล!”
————————————————————————————-
บทที่ 645 รุกไล่อย่างห้าวหาญ
“เช่นนั้นท่านทำเพราะเหตุใด? ข้าทราบว่าวิชาหลอมโอสถของแม่นางกู้ผู้นี้ร้ายกาจมาก เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี เรื่องนี้ทุกคนล้วนยอมรับ และข้าก็ทราบว่านางเคยสร้างปาฏิหาริย์อยู่หลายหน สติปัญญาก็เฉียบแหลมนัก ถึงขั้นรู้ทั้งวิชาแพทย์และวิชากู่ ช่วยสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์พวกเราหาตัวคนชั่วสร้างความชอบใหญ่หลวง เรื่องนี้ทุกคนทราบกันดี รู้สึกว่านางเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งจริงๆ แต่อย่างไรก็ตามพลังวิญญาณของนางขั้นห้ามิใช่หรือ? พอถึงยามที่สู้กันเข้าจริงๆ ข้าเกรงว่านางจะไม่ไหว พ่ายแพ้เป็นเรื่องเล็ก หากว่าพลาดพลั้ง นางบาดเจ็บขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร? เกรงว่าจะให้คำอธิบายแก่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้นะขอรับ”
“วางใจเถอะ! ทุกอย่างยังมีข้าอยู่! เจ้าให้ศิษย์ของเจ้าทุ่มเทสุดความสามารถก็พอ”
ดวงตาอาจารย์เมิ่งทอแสงแวบหนึ่ง เขารอประโยคนี้อยู่เลย!
ในสนามรบไม่ยึดถือสายสัมพันธ์ เขาเคยสั่งสอนศิษย์ว่าต้องเอาจริงทุกครั้งที่ลงสนามต่อสู้ ในการต่อสู้ต้องใช้พลังทั้งหมด ตอนนี้อาจารย์ใหญ่กูกล่าวเช่นนี้แล้วเขายังต้องกลัวอะไรอีกเล่า?
เขารีบส่งกระแสเสียงให้ศิษย์สามคนนั้นของตนที่เพิ่งขึ้นมาบนเวที ‘แสดงฝีมือได้เต็มที่! พยายามเล่นงานพวกเขาให้หมอบในชั่วลมหายใจเดียว จบเรื่องตลกฉากนี้เสียเนิ่นๆ!’
ดวงตาของศิษย์สามคนนั้นเปล่งประกาย รีบถูไม้ถูมือทันที!
ถ้าลงมืออย่างไว้หน้าพวกเขาก็ต้องระมัดระวัง ค่อนข้างลำบากนัก นี่สามารถแสดงฝีมือได้เต็มที่แล้วยังต้องกลัวอะไรอยู่อีก?! ลุยกันเลย!
จิตวิญญาณการต่อสู้ลุกโชนอยู่ในดวงตาพวกเขา…
การประลองเริ่มขึ้นแล้ว…
การประลองครั้งนี้รวดเร็วยิ่ง ไปๆ มาๆ ไม่ถึงครึ่งชั่วยามด้วยซ้ำ
บนเวทีศิษย์ชั้นเมฆาม่วงทั้งสามคนนอนหมอยอยู่บนพื้นสองราย อีกรายหนึ่งถึงแม้ยังยืนไหว แต่เสื้อผ้าที่สวมถูกกรีดจนขาดวิ่น แม้แต่เส้นผมก็ขาดแหว่งไปไม่น้อย จนตรอกอย่างยิ่ง
แต่พวกกู้ซีจิ่วทั้งสามยังยืนอยู่ตรงนั้นอย่างปกติดี เชียนหลิงอวี่กำลังเท้าเอวหัวเราะเยาะอยู่ตรงนั้น “ดูเหมือนชั้นเมฆาม่วงก็ไม่เท่าไหร่นี่ ฮ่าๆๆๆ”
กู่ฉานโม่ถามอาจารย์เมิ่งที่มองด้วยสายตาโง่งม “ศิษย์ของเจ้าทุ่มเทสุดความสามารถแล้วใช่หรือไม่? ถูกศิษย์ชั้นเมฆาคล้อยเอาชนะได้คงเสียหน้ามากเอาการ”
อาจารย์เมิ่งหน้าแดงเถือก เขาสูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง เอ่ยถามกู่ฉานโม่ “ข้าส่งไปอีกกลุ่มได้ไหมขอรับ?”
มารดามันเถอะ หากรู้ล่วงหน้าว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ เขาคงไม่จับสะเปะสะปะจนได้ที่โหล่ แล้วส่งศิษย์กลุ่มที่ด้อยที่สุดมาประลอง!
กู่ฉานโม่หน้าตึง “เจ้าคิดจะเวียนกลุ่มสู้กับเด็กสามคนนี้หรือไง?”
อาจารย์เมิ่งพูดไม่ออก…
กู่ฉานโม่ตบไหล่เขาเบาๆ “เหล่าเมิ่ง เห็นแก่ที่เจ้าน่าเวทนาถึงเพียงนี้ ข้าจะให้เจ้าประลองอีกตาก็ได้ เพียงแต่ต้องเป็นอีกสามวันให้หลัง หวังว่าเจ้าจะคัดคนมาดีๆ หากอีกสามวันให้หลังคนของเจ้ายังแพ้อีก ผู้เฒ่าคงรู้สึกขายหน้าแทนเจ้าแล้ว…”
ถึงแม้การประลองครั้งนี้จะมีผู้ชมหร็อมแหร็ม แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกลับมหาศาลยิ่ง เพียงวันเดียวก็แพร่ทั่วทุกมุมของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ แม้แต่ข้ารับใช้ที่รับหน้าที่ทำความสะอาดโดยเฉพาะก็ทราบกันทั่ว
ศิษย์ชั้นเมฆาคล้อยเชิดหน้าภาคภูมิ ศิษย์ชั้นเมฆาม่วงห้องสามกลายเป็นที่น่าขบขันของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ สามวันนั้นศิษย์ของห้องสามเดินไปไหนล้วนไม่กล้าเงยหน้าขึ้น เห็นคนก็หลบทันที…
แน่นอนว่าพวกเขาแต่ละคนก็หายใจไม่ทั่วท้องเช่นกัน รอคอยที่จะได้ต่อสู้แก้ตัวประกาศศักดาในอีกสามวันให้หลัง
….
สามวันต่อมา ณ สนามกีฬา
ที่นั่งผู้ชมแน่นขนัด ไม่เพียงแต่ศิษย์และอาจารย์ทั้งมาที่มาดู แม้แต่พ่อครัวใหญ่ของโรงอาหารก็วิ่งมาดูด้วย
เพื่อสู้แก้ตัว คราวนี้อาจารย์เมิ่งได้ส่งกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในชั้นเรียนมา สามคนนั้นพอขึ้นเวทีมากลิ่นอายก็แตกต่างกันแล้ว เอาชนะไปก่อนด้วยเสียงปรบมือที่ดังกึกก้อง
เป็นครั้งแรกที่หลานไว่หูได้เข้าการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ นางมองดูศีรษะคนที่ดำพรืดอยู่ด้านล่างแล่วค่อนข้างลายตา เมื่อมองเห็นคู่ต่อสู้ทั้งสามคนชัดเจนแล้วฝ่ามือนางก็มีหยาดเหงื่อซึมอออกมา