บทที่ 701 ลิขิตให้ถูกผู้อื่นเหยียดหยามไปชั่วชีวิตใช่ไหม?
ในที่สุดสายตาของตี้ฝูอีก็หันเหมาที่ใบหน้าหลงซือเย่ “ตอนนี้สิ่งที่เจ้าควรใส่ใจที่สุดคือทำอย่างไรถึงจะถอนกระบี่เล่มนี้ได้โดยเร็ว! มิใช่เวลามาซักไซ้เรื่องไร้สาระพวกนั้น! เจ้ามีวิธีหรือไม่?”
ยามนี้เรื่องนี้ถึงจะสำคัญที่สุด เรื่องอื่นล้วนเป็นรองทั้งสิ้น
ช่วยคนก่อนค่อยว่ากันอีกที…
หลงซือเย่หน้าซีด สูดหายใจเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “วิธีของข้า…เกรงว่าจะไม่ทันการแล้ว กระบี่นี้ต้องดึงออกมาภายในครึ่งชั่วยาม…แถมยัง แถมยังใช้ยาชาระงับความเจ็บปวดไม่ได้ด้วย”
ถึงอย่างไรกู้ซีจิ่วก็มาถึงโลกนี้ยังไม่นานนัก ไม่ทราบว่าสรุปแล้วกระบี่ต้องสาปเล่มนี้เป็นสิ่งของเช่นใด เพียงแต่เมื่อได้ยินบทสนทนาของสองคนนี้เธอก็รู้ว่าผิดปกติแล้ว รีบสอบถามหยกนภาที่อยู่ตรงข้อมือทันที ‘เสี่ยวชาง กระบี่ต้องสาปเล่มนี้คืออะไร?’
หยกนภามีความรู้ทางด้านนี้มากจริงๆ ‘กระบี่ชนิดนี้มิใช่ทั้งทองและเหล็ก มันคือสิ่งที่สร้างจากวัตถุดิบพิเศษบางอย่างหลอมรวมกับคำสาป เมื่อฟันถูกเลือดเนื้อจะทำให้เจ็บปวดมากขึ้นหลายเท่า กระบี่ดูดพลังวิญญาณได้ ผ่านไปครึ่งชั่วยามจะดูดพลังวิญญาณออกไปครึ่งหนึ่ง ผ่านไปหนึ่งชั่วยามจะดูดออกไปทั้งหมด บนกระบี่มีซี่หนาม เมื่อถอนออกจะเกี่ยวเลือดเนื้อชีพจร อย่างหนักคือถึงตาย อย่างเบาคือเป็นอัมพาฒ…’
กู้ซีจิ่วตะลึง
จะอย่างไรเธอก็นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นชิงหลัวจะสละกระบี่เล่มนี้ออกมาใช้ในการประลองกับเพื่อนร่วมสำนัก เธอนึกว่าเป็นเพียงกระบี่ธรรมดา แค่มีคมตะขอนิดหน่อย เมื่อดึงออกจะเจ็บมากเท่านั้น ไม่นึกเลยว่า…
เธอเองก็เป็นหมอ ย่อมทราบว่าบาดแผลแทงทะลุไม่อาจทำการผ่าตัดดึงกระบี่ออกมาได้ภายในครึ่งชั่วยาม สามารถถอนออกมาได้ภายในหนึ่งชั่วยามก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้นคือยังต้องเตรียมอุปกรณ์ผ่าตัดบางอย่างด้วย…
ถ้าผ่านไปหนึ่งชั่วยามพลังยุทธ์จะสูญสิ้น เช่นนั้นพลังวิญญาณที่เธอฝึกฝนมาอย่างยากลำบากมิใช่การฝึกที่สูญเปล่าหรอกหรือ?!
เบื้องหน้าเธอมืดมัว ความจริงอันโหดร้ายเช่นนี้ต่อให้เป็นเธอ ก็ค่อนข้างรับไม่ไหวอยู่บ้าง
หรือเธอจะถูกชะตาลิขิตให้ต้องเป็นสวะไร้ค่าไปชั่วชีวิตจริงๆ? ลิขิตให้ถูกผู้อื่นเหยียดหยามไปชั่วชีวิตใช่ไหม?
เธอฝืนตั้งสติ ถามหลงซือเย่ “หากว่า…หากว่าถอนออกมาหลังจากที่ผ่านไปหนึ่งชั่วยามจะเป็นอย่างไร? ถ้าหากพลังยุทธ์ทั้งหมดหายไปฉันสามารถกลับมาฝึกอีกครั้งได้ไหม?”
นี่คือเรื่องที่เธอกังวลที่สุด เธอใช้เวลาหนึ่งปีเปลี่ยนจากสวะไร้ค่ามาเป็นอัจฉริยะ เช่นนั้นหลักจากเธอหายดีจะฝึกฝนใหม่อีกครั้งก็ได้กระมัง? เธอก็แค่เสียเวลาไปปีเดียวเท่านั้น
หลงซือเย่ชะงักค้าง เขาใจไม่แข็งพอจะบอกความจริงกับเธอ
เนื่องจากบาดแผลจากกระบี่ต้องสาป ถ้าล่วงเลยนไปหนึ่งชั่วยาม คำสาปบนกระบี่จะผนึกชีพจรพลังวิญญาณทั้งร่างของเธอไว้ ชั่วชีวิตนี้เธอจะฝึกฝนไม่ได้อีกแล้ว
หากว่ากระบี่เล่มนี้แค่ฟันจนเป็นแผล มิใช่บาดแผลแทงทะลุ เช่นนั้นอย่างมากคือเจ็บเจียนตาย สูญเสียพลังวิญญาณไปส่วนหนึ่งเท่านั้น
แต่ยามนี้กระบี่เล่มนี้เสียบเข้าไปในร่างเธอ ทะลุอวัยวะภายในของเธอ ประกอบกับซี่หนามเหล่านี้ ทำให้ไม่อาจดึงออกได้ ทำได้เพียงผ่าตัด และต่อให้เป็นการผ่าตัดถ้าต้องการถอนกระบี่ออกมาให้เร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยามครึ่ง…
หลงซือเย่ทราบนิสัยหยิ่งทะนงไม่ยินยอมล้าหลังผู้อื่นของเธอ แล้วเขาจะหักใจบอกผลลัพธ์เช่นนี้กับเธอได้อย่างไรเล่า?
ไม่เพียงแต่หลงซือเย่ที่แข็งใจกล่าวไม่ลง แม้แต่หยกนภาก็แข็งใจบอกเธอไม่ลงเช่นกัน…
หยกนถาเอ่ยพึมพำอยู่ในสมองกู้ซีจิ่ว ‘หากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นี่ก็คงดี เขามีวิธีถอนดาบออก’
กู้ซีจิ่วเงียบงัน
ไม่มีข่าวคราวของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มาสามเดือนแล้ว ไม่รู้ว่ายามนี้เขาไปจิบชาอยู่ที่ไหน?!
ผู้มีชื่อเสียงท่านนี้หาตัวยากนัก ดังนั้นต่อให้เขามีวิธีทว่าน้ำที่อยู่ไกลก็มิอาจดับความกระหายอันใกล้นี้ได้…
มือเท้าของเธอเย็นเฉียบ ทว่ายังโอบกอดความหวังสายหนึ่งไว้ เอ่ยถามหยกนภา ‘อะไร…วิธีอะไร? เจ้า…เจ้าพูดมา บางทีหลงซือเย่อาจทำได้เหมือนกัน…’
หยกนภาปฏิเสธ ‘หลงซือเย่ไม่มีพลังยุทธ์เช่นนั้น! ต้องใช้วิชากลั่นวิญญาณเพื่อกลั่นกระบี่เล่มนี้ออกโดยตรง จุ๊ๆ อย่างน้อยก็ต้องบรรลุพลังวิญญาณขั้นสิบถึงสามารถควบคุมได้ บนโลกนี้คงจะมีเพียงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่สามารถทำได้…’
————————————————————————————-
บทที่ 702 เช่นนั้นสรุปแล้วเขารู้เรื่องเธอมากน้อยแค่ไหนกัน?
กู้ซีจิ่วเศร้าสลด
หรือเธอมีชะตาต้องเป็นเช่นนี้ไปชั่วชีวิต?
ไม่ว่าเธอจะมุมานะเพียงใดก็ไร้ความหมาย ลำบากลำบนมาหลายสิบปี กลับสูญสลายไปในชั่วข้ามคืน ก็คือคำบรรยายที่แท้จริงที่สุดของเธอในยามนี้
หลงซือเย่ทนเห็นเธอหดหู่ไม่ได้ กุมมือข้างหนึ่งของเธอไว้ “ซีจิ่ว เธออย่าเศร้าไปเลย ก็ไม่ใช่…ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีวิธีเลย อย่างมาก…อย่างมากพวกเราก็ละทิ้งร่างนี้ซะ เธอก็รู้นี่ ฉันมีร่างโคลนอยู่ที่นั่น…”
กู้ซีจิ่วตะลึง
เธอนึกถึงดรุณีในโลงน้ำแข็งคนนั้น รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาตามสัญชาตญาณ
ร่างโคลนนิ่งเป็นหนามที่ฝังลึกในใจเธอ เธอรังเกียจคำนี้ตามสัญชาตญาณ ยามนี้สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องกลายเป้นร่างโคลนนิ่งสินะ?
“นางไม่อาจเปลี่ยนร่างได้อีก!” จู่ๆ ตี้ฝูอีก็เอ่ยขึ้นมา บัดนี้เขานั่งอยู่หน้าโต๊ะตัวหนึ่ง น้ำเสียงราบเรียบเย็นชา “”ถ้าเปลี่ยนร่างอีกวิญญาณนางจะแตกสลาย!
หลงซือเย่หน้าถอดสี “อะ…อะไรนะ?”
“หลงซือเย่ เจ้าก็น่าจะรู้กฎการสิงร่างของโลกนี้ วิญญาณจากภายนอกมิอาจยืมร่างคืนชีพได้ง่ายๆ ยกเว้นนางที่เข้ากับร่างเดิมนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ถึงขั้นที่ว่าร่างนี้ก็คืออดีตชาติของนาง สรุปคือ ผู้ที่สามารถยืมร่างคืนชีพได้ เป็นหมื่นเป็นพันคนก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จได้สักคน แต่นางกลับประสบความสำเร็จแล้ว นี่ถือว่านางมีโชคมากแล้ว แต่ก็แฝงโชคร้ายไว้ด้วยเช่นกัน เนื่องจากอย่างไรเสียวิญญาณนางก็มาจากภายนอก ยามที่มันเข้าผสานกับร่างนี้น่าจะผูกพันธะกับร่างนี้ไปด้วย ร่างนี้รองรับมันอย่างสมบูรณ์ แต่ดวงวิญญาณของมันก็ผสานเข้ากับส่วนต่างๆ ของร่างนี้ เชื่อมต่อกันแนบแน่น แยกออกจากกันไม่ได้อีกแล้ว หากแยกออก เช่นนั้นจิตกับวิญญาณจะแยกออกจากกัน นางไม่เพียงแต่จะได้สัมผัสความเจ็บปวดเป็นร้อยเท่าจากการที่วิญญาณแยกจากร่างเท่านั้น วิญญาณก็จะกระจัดกระจายไปด้วย ต่อให้เจ้ามีฝีมือสามารถรวบรวมวิญญาณได้ ถ้าต้องการจะประกอบนางให้สมบูรณ์ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปี อีกทั้งร่างนั้นที่เจ้าสร้างถึงจะดูเข้าตายิ่งนัก แต่ถึงอย่างไรก็มีข้อบกพร่อง ต่อให้อีกหนึ่งร้อยปีให้หลังนางสามารถสิงสู่ร่างนั้นได้สำเร็จ นางก็ไม่อาจฝึกฝนพลังวิญญาณได้อยู่ดี ยังคงเป็นสวะไร้ค่าที่ดีแต่งดงามเหมือนเดิม ไม่แตกต่างจากร่างในยามนี้เลย!”
ยากนักที่จะได้เห็นตี้ฝูอีพูดมากขนาดนี้ในคราวเดียว แถมเนื้อความทั้งหมดที่พูดออกมาไม่เพียงแต่ทำให้หลงซือเย่ตกตะลึงเท่านั้น แม้แต่กู้ซีจิ่วก็ตกตะลึงไปด้วย
ฟังจากคำพูดของตี้ฝูอี เขารู้ว่าเธอยืมศพคืนวิญญาณ! เขารู้ได้ยังไง?
เธอจำได้ว่าตนเคยบอกเรื่องนี้กับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น และไม่เคยพูดกับคนอื่น กับตี้ฝูอียิ่งไม่เคยพูดมาก่อนเลย…
ในที่ดวงตาของเธอก็มองไปที่ตี้ฝูอี “ท่านรู้ได้ยังไงว่าข้า…”
“ข้าย่อมรู้!” ตี้ฝูอีเอ่ยขัดเธอ “บนโลกนี้เรื่องที่สามารถซ่อนเร้นจากข้าได้มีอยู่ไม่มาก! โดยเฉพาะเจ้า…”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน
เช่นนั้นสรุปแล้วเขารู้เรื่องเธอมากน้อยแค่ไหนกัน?
หลงซือเย่เอ่ยขึ้นมาตามสัญชาตญาณ “ข้าไม่เชื่อ! ข้าไม่เชื่อถ้อยคำเหล่านี้ของเจ้า!”
ตี้ฝูอีมองเขาด้วยสายตาเฉียบคม “เช่นนั้นเจ้าอยากนำชีวิตนางมาลองดูไหมล่ะ?”
หลงซือเย่เงียบไป สีหน้าเขาซีดเซียว “ร่างนั้นที่ข้าสร้างสมบูรณ์แบบมาก หากคืนชีพให้น่าจะเป็นอัจฉริยะในการฝึกยุทธ์! แถมค่าดัชนีต่างๆ ก็เสอดคล้องกับซีจิ่ว นาง…”
ตี้ฝูอีเอ่ยขัดเขาอีกครั้ง “ดังนั้นเจ้ายังอยากลองอยู่?”
หลงซือเย่พูดไม่ออกอีกต่อไป!
ตี้ฝูอีผู้นี้ถึงแม้ปกติจะกระทำการที่ทำให้ผู้คนสับสนงงงวย และส่วนใหญ่ก็กวนประสาทมาก แต่ฝีมือของเขาก็เป็นที่ยอมรับนับถือของทุกคน
นอกจากตัวเขาแล้ว สานุศิษย์สวรรค์ทุกคนล้วนเคยเรียนรู้จากเขามาบ้างไม่มากก็น้อย
ต่อให้เป็นหลงซือเย่เอง ก็เคยร่ำเรียนวิชาฝึกฝนพลังวิญญาณธาตุไม้มาจากตี้ฝูอีเช่นกัน
ดังนั้นท้ายที่สุดแล้วทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้รู้ศาสตร์ที่ผู้อื่นไม่รู้มากน้อยเพียงใด ก็ไม่มีผู้ใดทราบ