บทที่ 713 ต้องตื่นจากฝันรวดเร็วปานนี้!
เพิ่งกล่าวประโยคนี้จบ ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็เข้ามาทันที…
เด็กสาวคนนั้นสะดุ้งโหยง แต่สายตากลับเปล่งประกาย คุกเข่าคารวะตี้ฝูอี ระหว่างที่คุกเข่าก็ส่งสายตาให้อวิ๋นชิงหลัวเชิงว่า ‘เจ้าดูสิข้าพูดไม่ผิดจริงๆ ด้วย’
อวิ๋นชิงหลัวเพิ่งฟื้นฟูขึ้นมาในวินาทีที่มองเห็นตี้ฝูอีใบหน้ามีเริ่มสีเลือดเล็กน้อยก็ซีดขาวลงทันที
นางอยู่บนเตียงทำท่าจะลุกขึ้นมา แต่กลับลูบอกเบาๆ พลางขมวดคิ้วคล้ายว่าจะเจ็บซี่โครง เสตามองไปทางตี้ฝูอี ตี้ฝูอียืนอยู่ตรงนั้น มองลงมาที่นาง ไม่เอ่ยอันใด
นางไม่กล้าโอ้เอ้อีกต่อไป ฝืนข่มความเจ็บปวดไว้ก้าวลงมาจากเตียง คุกเขาลงบนพื้นกับสหายของตน เอ่ยทักทาย “น้อมต้อนรับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย!”
คานี้เนื่องจากกระดูกบาดเจ็บจริงๆ นางเลยเจ็บจนหน้าผากมีหยาดเหงื่อเย็นเฉียบซึมออกมา
สหายของนางชะงักไปแวบหนึ่ง พยุงนางไว้ด้วยความประหลาดใจ “ชิงหลัว ร่างกายเจ้าบาดเจ็บ…ต่อให้ไม่คุกเข่าคารวะท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็ไม่โทษเจ้าหรอก…”
อวิ๋นชิงหลัวไหนเลยจะกล้าให้ความสนใจนาง เพียงตอบเสียงแผ่วว่า “ข้า…ข้าไม่เป็นไร”
“จะไม่เป็นไรได้ยังไง ซี่โครงหักตั้งสี่ซี่นะ…”
อวิ๋นชิงหลัวอยากจะอุดปากนางไว้เหลือเกิน! แต่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายว้ายก็อยู่ที่นี่ด้วย นางไม่ได้ใจกล้าถึงเพียงนั้น แต่สหายคนนี้ของนางยังคงตาไม่มีแววอยู่ เอ่ยถามอย่างไร้เดียงสายิ่ง “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านมาดูอาการของชิงหลัวใช่ไหมเจ้าคะ? อันที่จริงก่อนหน้านี้นางคำนึงหาท่านอยู่ตลอดเลยเจ้าค่ะ นึกว่าท่านจะไม่มาเสียแล้ว…”
ในที่สุดตี้ฝูอีก็ยิ้มออกมา เขาสวมหน้ากากไว้ ต่อให้ยิ้มก็เป็นการยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น ยิ้มของเขาดูอ่อนโยนมาก แต่รอยยิ้มนั้นส่งไปไม่ถึงดวงตา “ข้าต้องมาอยู่แล้ว มาเพื่อทวงความเป็นธรรมให้กู้ซีจิ่ว แต่ก่อนอื่น ดูเหมือนสหายเจ้าจะเข้าใจผิดอะไรอยู่นะ เจ้าจะไม่อธิบายก่อนหรือ?”
อวิ๋นชิงหลัวหน้าซีดเผือด “ข้า…”
สีหน้าตี้ฝูอีพลันเคร่งขรึม “ข้า? เจ้านับเป็นตัวอะไรกัน? กล้าแทนตนว่า ‘ข้า’ เพียงคำเดียวต่อหน้าข้าเชียวหรือ?”
สีหน้าเขาเคร่งขรึม อุณหภูมิรอบกายลดต่ำลงแปดองศา!
คราวนี้สหายหญิงที่อืดอาดผู้นั้นคล้ายจะสังเกตเห็นความผิปกติแล้วเช่นกัน อ้าปากค้างเล็กน้อยไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ ออกมา!
ตี้ฝูอีมองอวิ๋นชิงหลัวที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้น มุมปากยกยิ้มเย็นชา “ข้าส่งคนมารับเจ้าไปทำอะไรหรือ?”
อวิ๋นชิงหลัวกัดริมฝีปากแน่น นางไม่อยากตอบ ทว่าไม่ตอบไม่ได้ “เป็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายรับบัญชาจากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ให้ลงทัณฑ์ชิงหลัว นำตัวชิงหลัวไปรับโทษในแดนทุรคาหนึ่งเดือนเจ้าค่ะ”
ปากน้อยๆ ของสหายหญิงผู้นั้นอ้าออกเล็กน้อย เอ่ยโพล่งออกมา “แต่ตอนที่กลับมาเจ้าไม่พูอะไรเลย ทุกคนล้วนคาดเดาว่าเจ้าไปดูแลท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่บาดเจ็บ เจ้าก็ไม่ได้ปฏิเสธเช่นกัน…”
อวิ๋นชิงหลัวอยากจะเตะสหายผู้นี้ออกไปเหลือเกิน ใบหน้าแดงเถือกพลางแก้ตัว “นั่น…นั่นเป็นพวกเจ้าเดากันไปเอง ข้าเคยยอมรับตอนไหนกัน?”
“แต่เจ้าก็ไม่ปฏิเสธนี่” ยามนั้นผู้อื่นล้วนคาดเดากันเช่นนั้น ถึงขั้นมาถามต่อหน้านางด้วยซ้ำ นางก็มิได้ปฏิเสธอะไร แถมยังพูดอะไรทำนองว่าเหนื่อยยิ่งนักอีกด้วย…เห็นได้ชัดว่าเจตนาให้เข้าใจผิด!
สหายคนนั้นรู้สึกว่าสามมุมองของตนพังทลายแล้ว!
ตี้ฝูอีไม่สนใจนางอีก สายตาร่วงลงบนร่างอวิ๋นชิงหลัว “อวิ๋นชิงหลัว ข้าปฏิบัติต่อเจ้าต่างจากคนทั่วไปจริงๆ แต่นั่นเป็นเพราะเจ้าคือสานุศิษย์สวรรค์ ข้าปฏิบัติต่อสานุศิษย์สวรรค์ทุกคนเช่นนี้ คำพูดนี้ข้าเคยกล่าวกับเจ้าไว้นานแล้ว เจ้าว่าใช่หรือไม่?”
หยาดเหงื่อหยดจากหน้าผากอวิ๋นชิงหลัว “…ใช่เจ้าค่ะ!”
นางต้องเปิดเผยการแสร้งว่าได้รับความโปรดปราดเอ็นดูที่สร้างขึ้นอย่างยากลำบากต่อหน้าเพื่อนสนิทของตน อวิ๋นชิงหลัวอับอายอย่างยิ่ง ปรารถนาจะหารูบนพื้นแล้วมุดเข้าไปยิ่งนัก!
————————————————————————————-
บทที่ 714 เจ้าไม่ใช่เขา! ไม่ใช่
“อวิ๋นชิงหลัว ข้ารู้ว่าเจ้าคิดเกินเลยกับข้า เดิมทีเห็นว่าเจ้าเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง เลยไว้หน้าเจ้าไม่ให้เจ้าอดสูต่อหน้าผู้คน ข้าเคยเตือนเจ้าต่อหน้าลำพังแล้ว นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะดื้อรั้นงมงายถึงเพียงนี้ กล้าปล่อยข่าวลือที่นี่ ทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด มีเจตนาใดกัน?”
อวิ๋นชิงหลัวคุกเข่าอยู่บนพื้น สีหน้าดั่งคนตาย พูดไม่ออกเลยสักคำ
มิน่าเล่าผู้คนถึงกล่าวว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจัดการเรื่องราวอย่างโหดร้ายขึ้นมาจะไม่ไว้ไมตรีผู้อื่นเลย เป็นเช่นนี้เอง! เป็นเช่นนี้จริงๆ!
นี่นับเป็นการตบหน้ากันซึ่งๆ หน้าเลยทีเดียว!
นางรักเขาจนลุ่มหลงงมงาย ทำทุกอย่างเพื่อตะใกล้ชิดเขา เพื่อรั้งอยู่ข้างกายเขา นางนึกว่าพอนางกลายเป็นสานุศิษย์สวรรค์แล้วเขาจะปฏิบัติต่อนางต่างจากเดิม จะชอบพอนาง นึกไม่ถึงเลยว่า…
ต้องตื่นจากฝันรวดเร็วปานนี้!
ตี้ฝูอีปรายตามองนางอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง เดิมทีเขาไว้หน้านางแล้ว ถึงขั้นเคยตักเตือนห้ามไม่ให้นางไปหาเรื่องกู้ซีจิ่วอีก แค่ใส่ใจฝึกฝนให้ดีก็พอ หนก่อนยามอยู่ต่อหน้าเขานางรับปากอย่างดี นึกไม่ถึงลับหลังจะก่อเรื่องเช่นนี้ออกมา!
ตี้ฝูอีหงายฝ่ามือขึ้นมา กระบี่หักสีแดงเหล็กเล่มเล็กปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือเขา “อวิ๋นชิงหลัว นี่คือสิ่งใด?”
อวิ๋นชิงหลัวหน้าซีดเหมือนกระดาษ ร่างกายหดไปด้านหลัง “คือ…ชิงหลัวไม่ทราบเจ้าค่ะ…”
“เจ้าไม่รู้? เจ้าจำของๆ ตนไม่ได้หรือ?” น้ำเสียงตี้ฝูอีน่าครั่นคร้าม “อวิ๋นขิงหลัว ตามกฎการประลองก่อนหน้านี้ ไม่อนุญาตให้พิษคาถาอาคมและอาวุธลับ ดาบลงอาคมเล่มนี้ของเจ้าคืออะไร? เจ้าใช้มันทำร้ายสหายร่วมสำนักเชียวหรือ? เจ้ารู้ไหมว่าทำเช่นนี้ต้องได้รับบทลงโทษอย่างไร?”
หยาดเหงื่ออวิ๋นชิงหลัวหลั่งไหลดั่งสายฝน ได้แต่โขกศีรษะอ้อนวอน “ชิงหลัวทราบแล้วเจ้าค่ะ…ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไว้ชีวิตด้วย…”
ตี้ฝูอีค่อยๆ ก้าวเข้ามา ชั่งน้ำหนักกระบี่ผุๆ ในมือ “เจ้าเป็นสานุศิษย์สวรรค์ ข้าจะไม่สังหารเจ้า แต่โทษตายเลี่ยงได้ ทว่าโทษเป็นละเว้นไม่ได้ ในเมื่อเจ้าใช้มันมาทำร้ายสหายร่วมสำนัก เช่นนั้นก็จงรับมันเป็นการลงโทษซะ!”
พลันดีดปลายนิ้ว อวิ๋นชิงหลัวร้องอั่กคราหนึ่ง กระบี่ผุๆ เล่มนั้นแทงเข้าที่อกขวาของนางทันที! หลังจากเสียบเข้าที่ร่างนาง กระบี่ผุพังเล่มนั้นได้แทงทะลุออกมาจากแผ่นหลังนางกว่าครึ่งเล่ม…
ตำแหน่งนี้เป็นจุดที่กู้ซีจิ่วได้รับบาดเจ็บพอดี ไม่คลาดเคลื่อนเลยสักนิด
อวิ๋นชิงหลัวล้มลงบนพื้น พลันสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวดขึ้นมาในทันใด ดั่งใบไม้ที่พัดไหวท่ามกลางลมฝน
ตี้ฝูอีไม่สนใจนางอีก หันหลังเดินออกไป
ถึงแม้จะเป็นสิ่งของของอวิ๋นชิงหลัวเอง และนางก็มีวิธีแก้ไข แต่ความเจ็บปวดที่พึงมีก็ไม่ลดทอนลงสักส่วนเลย!
ความเจ็บปวดทั้งหมดที่กู้ซีจิ่วได้รับก่อนหน้านี้เขาต้องการให้นางได้ลิ้มรสเช่นเดียวกัน!
หากนางมิใช่สานุศิษย์สวรรค์ นางคงสิ้นชีพด้วยน้ำมือเขาไปนานแล้ว!
ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาดั่งฟ้าแลบจากไปดุจสายลม พริบตาเดียวก็หายลับไป
อวิ๋นหลัวเจ็บจนอยากดิ้นพล่าน แต่แผ่นหลังมีกระบี่อยู่นางจึงไม่กล้าดิ้น หยาดเหงื่อเย็นเฉียบไหลโซมกายทันที
สหายของนางเฝ้ามองอยู่ตลอด มองจนทึ่มทื่อไปแล้ว ยามนี้คุกเข่าอยู่ตรงนั้นอย่างโม่งม สติยังไม่กลับมา
อวิ๋นชิงหลัวทนไม่ไหวจึงร้องครวญครางออกมา สหายนางสะดุ้งขึ้นมา สหายผู้นั้นมองนางด้วยสายตาซับซ้อน แต่ยังคงเขยิบเข้ามาดูอาการนาง “ชิงหลัว บาดแผลนี้สาหัสนัก ข้า…ข้าจะไปเรียกหมอมา…”
“ไม่ต้อง…หรอก” อวิ๋นชิงหลัวฝืนเอ่ย “ข…ข้ารักษาตัวเองได้ เจ้า…เจ้าไปเถอะ อย่าเล่าเรื่องที่นี่ให้ผู้อื่นฟัง”
สหายของนางยังไม่ใคร่วางใจ “แต่ว่า…”
“ไม่ต้องแต่แล้ว!” อวิ๋นชิงหลัวเหลืออดแล้ว “ป…ไปซะ! ถือว่าข้าขอร้องเจ้า!”
สหายนางแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดก็จากไป
ภายในห้องกว้างเหลือเพียงอวิ๋นชิงหลัวผู้เดียว นางหายใจฟืดฟาดดั่งวัว ฝืนยันกายขึ้น แล้วปิดประตูห้อง