บทที่ 741 เขากินน้ำส้มจริงๆ…
ริมฝีปากแดงของกู้ซีจิ่วหยักโค้งเล็กน้อย “หากมิใช่เพราะข้าสู้สุดชีวิต ผู้ชนะก็คงเป็นกลุ่มของอวิ๋นชิงหลัวกระมัง?!”
เมื่อใคร่ครวญดูแล้ว ก็เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเขาต้องการมอบผลมะเดื่อหิมะนี้ให้อวิ๋นชิงหลัว! เพียงแต่เมื่อเห็นว่าตัวเธอกู้ซีจิ่วได้รับไป เลยรีบแจ้นมาอาศัยโอกาสทำเป็นมีน้ำใจ เธอถึงได้ไม่เห็นค่าอย่างไรเล่า!
“การประลองครั้งนี้ กำหนดไว้แล้วว่าสุดท้ายเจ้าจะเป็นผู้ชนะ” ตี้ฝูอีที่อยู่ด้านล่างเธอเอ่ยเรียบๆ
กู้ซีจิ่วผงะ อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองเขา ไม่รู้ว่าเขาสวมหน้ากากนั้นอีกครั้งตั้งแต่ยามใด “ประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร?”
ตี้ฝูอีเอนกายพิงโขดหิน ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับมองเธอ “เจ้าไม่ทราบจริงๆ น่ะหรือ?” ยิ้มกับตัวเองแวบหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “กู้ซีจิ่ว ฝีมือต่อสู้ของเจ้าเก่งกาจ ทว่าไม่เก่งกาจไปกว่าข้า สองสามวันก่อนข้าได้ศึกษาท่าทีในช่วงหลายวันมานี้ของเจ้าและในการประกับผู้อื่นมาหมดแล้ว และถือโอกาสศึกษาจุดอ่อนจุดแข็งของพวกเจ้าทั้งสามด้วย แน่นอนว่าระดับการต่อสู้รวมถึงทักษะต่างๆ ของกลุ่มอวิ๋นชิงหลัวข้าก็ศึกษามาแล้วเช่นกัน พวกเจ้ายังมิทันได้เริ่มประลองข้าก็ทราบผลลัพธ์คร่าวๆ แล้ว การประลองรอบแรกพวกเจ้าต้องแพ้แน่ รอบที่สองผลแพ้ชนะคือครึ่งต่อครึ่ง ทว่ารอบที่สามพวกเจ้าต้องชนะแน่ หากว่าตัดสินแพ้ชนะในรอบที่สอง มีความเป็นไปได้สูงมากที่พวกเจ้าจะแพ้ดังนั้นหากเข้าสู่รอบที่สามได้ถึงจะมีผลดีต่อพวกเจ้าอย่างแท้จริง!”
หัวใจกู้ซีจิ่วเต้นแรงนิดๆ เธอย่อมเชื่อถือสายตาของตี้ฝูอี ประการณ์ต่อสู้ของคนผู้นี้มีมากกว่าผู้ใด…
เธอสูดลมหายใจนิดๆ เอ่ยแย้ง “ท่านกล่าวมิผิด รอบที่สามพวกเราชนะได้แน่ แต่นับผลแบบชนะสองในสาม หากว่ากลุ่มอวิ๋นชิงหลัวชนะในสองรอบแรกแล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องมีรอบที่สามต่อ ดังนั้นผู้ชนะในเวทีประลองก็ยังคงเป็นพวกนางอยู่ดี…”
“รอบแรกเนื่องจากพวกเจ้ามิเคยมีประสบการณ์มาก่อนจึงพ่ายแพ้ในครึ่งชั่วยาม รอบที่สองพวกเจ้าสามารถยืนหยัดได้สองชั่วยามโดยไม่มีทีท่าว่าจะแพ้ รอบที่สองหากฝ่ายของอวิ๋นชิงหลัวมิเล่นลวดลายประหลาดอันใดก็น่าจะเอาชนะพวกเจ้าไม่ได้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะเสมอกัน ในเมื่อต้องตัดสินผลแพ้ชนะ ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนการตัดสินแบบชนะสองในสามเป็นชนะสามในห้า และขอเพียงพวกเจ้าเริ่มรอบที่สามได้ เช่นนั้นก็ชนะแน่นอน ในด้านกลยุทธ์การต่อสู้กลุ่มของอวิ๋นชิงหลัวด้อยกว่าพวกเจ้ามากนัก”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก คนผู้นี้สายตาเฉียบคม วาจาที่เขาเอ่ยเหล่านี้ไม่ต่างจากที่เธอคำนวณอยู่ในใจยามนั้นเลย
หรือเป็นเพราะคนผู้นี้เดาทางล่วงหน้าได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว ดังนั้นจึงนำผลไม้ลูกนั้นมาเป็นของรางวัล?
แต่ว่า แต่ว่า มิใช่ว่าเขาสมควรเอนเอียงเข้าข้างอวิ๋นชิงหลัวหรอกหรือ?
ท่าทีที่เขาปฏิบัติต่ออวิ๋นชิงหลัวในเทศกาลความรักคืนนั้นก็ไม่มิคล้ายสหายธรรมดาทั่วไป…
คนผู้นี้กระทำการระมัดระวังทุกย่างก้าว เธอไม่มีทางทราบได้เลยว่าที่แท้แล้วในใจเขาคิดอะไรอยู่ เช่นนั้นคำพูดที่เขากล่าวมาในยามนี้เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใดกัน?
แม้จะรับประกันไม่ได้แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ ต่อให้ทั้งหมดที่เขากล่าวมาในยามนี้จะเป็นความจริง ผลการประลองนั้นอยู่ในการคำนวณของเขา ผลไม้นี้ก็มีไว้ให้เธอ เช่นนั้นจุดประสงค์ของเขาคืออะไร?
เขายังชอบเธออยู่ไหมนะ?
กู้ซีจิ่วนำท่าทีของเขานับตั้งแต่ที่ตนได้รับบาดเจ็บมาครุ่นคิดวนเวียนในสมองดังโคมม้าวิ่ง สุดท้ายก็ได้ข้อสรุป
ไม่ว่าเขาจะยังชอบเธออยู่หรือไม่ แต่เขากินน้ำส้มจริงๆ…
เพียงแต่การหึงหวงไม่ได้แปลว่ารักเสมอไป บางครั้งก็เป็นความหวงก้างชนิดหนึ่ง
ถึงอย่างไรตนก็เป็นอดีตคู่หมั้นของเขา ซ้ำยังเป็นฝ่ายที่ต้องการถอนหมั้นเขา ด้วยนิสัยหยิ่งทะนงของเขาย่อมไม่พอใจแน่นอน ไม่แน่บางทีอาจเป็นเพราะเขายังไม่ปล่อยวางเรื่องนี้ ต้องการให้เธอกลายเป็นคนของเขาอีกครั้ง…
ส่วนอวิ๋นชิงหลัว ในเมื่อเขาข้ามผ่านเทศกาลความรักกับนาง เช่นนั้นก็คงต้องการเช่นกัน
————————————————————————————-
บทที่ 742 พวกเราต่างรักใคร่ผูกพันกัน
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นยุคโบราณ บุรุษสามารถมีสามภรรยาสี่อนุได้…
ช้าก่อน! แล้วตนจะขบคิดพิจารณาปัญหาเกี่ยวกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมากมายเช่นนี้เพื่อการใด?
ตอนนี้เธอแค่อยากครองคู่กับหลงซือเย่ไปชั่วชีวิตอย่างดีๆ เท่านั้น ไม่ควรมาพินิจพิเคราะห์จิตใจของผู้อื่นอีก…
กู้ซีจิ่วสูดลมหายใจลึกๆ ตัดสินใจจะสะสางเรื่องวุ่นวายให้เด็ดขาด “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายว้าย ท่านยังชอบข้าอยู่หรือไม่?”
ตี้ฝูอีชะงักไปครู่หนึ่ง “ข้า…”
กู้ซีจิ่วไม่รอให้เขาได้พูดต่อก็เอ่ยตัดบทเขา “ไม่ว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะมีความรู้สึกอันใดต่อซีจิ่ว ซีจิ่วล้วนได้แต่ปฏิเสธเท่านั้น ขอท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายโปรดอภัยให้แก่ ‘ความไม่รู้ดีรู้ชั่ว’ ของซีจิ่วด้วย”
ลมหายใจของตี้ฝูอีคล้ายจะขาดห้วง นัยน์ตาพลันมืดมน “เพราะหลงซือเย่หรือ?”
กู้ซีจิ่วตัดสินใจตอบทันที “ใช่! ข้าตัดสินใจจะรวมหอลงโลงกับเขา”
“ถึงแม้เขาจะตบแต่งเจ้าไม่ได้น่ะหรือ?” แววตาของตี้ฝูอีเฉียบคม
“ใช่! ขอเพียงสองคนรักมั่นต่อกันก็พอแล้ว ซีจิ่วไม่สนใจเรื่องพิธีแต่งงาน”
“เขาเป็นสานุศิษย์สวรรค์ เขามีภาระและหน้าที่ของเขา หากว่าเขาอยู่กับเจ้าไปชั่วชีวิตไม่ได้เล่า?”
กู้ซีจิ่วชะงักไปครู่หนึ่ง “แล้วอย่างไรเล่า? มาตรว่าทั้งสองฝ่ายรักมั่น แม้นเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก็ยืนยาว ขอเพียงเคยได้รักกัน ได้ครองคู่กันเพียงวันเดียวก็นับว่าประเสริฐแล้ว”
เมื่อก่อนตอนที่เธอเป็นนักฆ่า เสี่ยงชีวิตอยู่ทุกคืนวัน อาจสิ้นชีพได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเธอจึงปลงตกยิ่งนักในเรื่องของความรัก อาศัยที่ยังมีชีวิตอยู่ได้มีความรักที่ยิ่งใหญ่สักครั้งชีวิตนี้ก็ไม่เสียเปล่าแล้ว
ดังนั้นเธอจึงไม่สนใจเรื่องตราบชั่วฟ้าดินสลาย หวังเพียงเคยได้พบพานเท่านั้น
ตี้ฝูอีหลุบตาลงนิดๆ “มาตรว่าทั้งสองฝ่ายรักมั่น แม้นเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก็ยืนยาว…ที่แท้เจ้าก็เสาะแสวงหาสิ่งนี้”
เขานั่งพิงโขดหินอยู่ตรงนั้น ข้ากายคือกองไฟคุโชน แสงเพลิงโลดแล่นรอบกายเขา แต่กลับส่องไปไม่ถึงดวงตาเขา
ทันใดนั้นเขาพลันเงยหน้าขึ้นยิ้มแวบหนึ่ง สายตามองไปยังทิศทางอื่น กล่าวอย่างเฉื่อยชา “หลงซือเย่ เจ้าคิดจะฟังอยู่ตรงนั้นอีกนานเท่าไหร่? ไสหัวออกมาเสีย!”
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน มองไปตามทิศทางที่เขาจับจ้อง มองเห็นหลงซือเย่ปรากฏกายขึ้นบนไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
หัวใจกู้ซีจิ่วสั่นไหวแวบหนึ่ง เลิกคิ้วขึ้น “คุณอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหนแล้ว?”
หลงซือเย่เหินลง ร่อนลงข้างกายเธอ เอื้อมมือไปจับมือเธอ “ซีจิ่ว…”
กู้ซีจิ่วยกมือขึ้น หลบหลีกมือเขา ยิ้มคล้ายมิยิ้ม “คุณสะกดรอยตามฉันใช่ไหม?!”
หลงซือเย่ถอนหายใจ “เธอคิดมากไปแล้ว ก่อนหน้านี้ฉันไม่วางใจ คิดจะไปดูเธอที่นั่นว่าเธอหลับหรือยัง พบว่าเธอไม่อยู่…กลัวว่าเธอจะเกิดอุบัติเหตุอะไร ดังนั้นเลยมาตามหา ตามหามาจนถึงที่นี่ เจอเธอกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายพูดคุยกันอยู่ เลยไม่ได้ปรากฏตัวรบกวน…”
ตี้ฝูอียิ้มเฉื่อยๆ แวบหนึ่ง “ใช่จริงๆ เจ้ามาในยามที่พวกเรากำลังสนทนากันอยู่ เจ้าสำนักหลงเป็นสุภาพชน เลยฟังอยู่บนต้นไม้แค่เกือบครึ่งเค่อเท่านั้น”
หลงซือเย่กระอักกระอวนไปชั่วขณะ ยิ้มขื่นๆ แล้วเอ่ยว่า “สายตาทูตสวรรค์ซ้ายเจิดจ้าดุจคบเพลิงโดยแท้!” ที่แท้ตี้ฝูค้นพบตั้งเขามาถึงแล้ว เพียงแต่ผู้อื่นมิได้เปิดโปงออกมาเท่านั้น
ตี้ฝูอียิ้มหัวพลางเหยียดขาออกมา “กล่าวได้ดี กล่าวได้ดี!”
หลงซือเย่คล้ายว่าประหลาดใจอยู่บ้าง “มิทราบว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอยู่ที่นี่ด้วยเหตุใด?”
ตี้ฝูอีมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง กล่าวด้วยรอยยิ้มละไม “เพื่อนัดพลอดรักกับนางที่นี่เป็นกระมัง?”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก…
หลงซือเย่ถูกตอกกลับจนชะงักไปหลายวินาที ถึงได้ฝืนยิ้มแวบหนึ่ง “ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายล้อเล่นแล้ว ซีจิ่วมิใช่คนเช่นนั้น”
ตี้ฝูอีมองเขาแวบหนึ่ง “มิใช่คนแบบใด? อีกทั้งยามนี้นางก็มิใช่คนของเจ้า ต่อให้นางนัดพลอดรักกับผู้อื่นที่นี่แล้วเกี่ยวอันใดกับเจ้า?”
หลงซือเย่ถูกเขาตอกหน้าอีกครั้ง จึงอดไม่ได้ที่จะโต้แย้ง “ข้าและนางมีใจให้กัน พวกเราต่างรักใคร่ผูกพันกัน…”