บทที่ 811 ดวงวิญญาณอันหอมหวน
กลิ่นหอมบนตัวเขาที่เธอได้กลิ่นคงมิใช่มาจากดวงวิญญาณของเขากระมัง?!
ไม่เกี่ยวว่าจะใช้สังขารใด ถ้าเขาใช้ร่างไหน ร่างนั้นก็ส่งกลิ่นหอมนั้นออกมาใช่ไหม?
หรือว่าจมูกตนสามารถได้กลิ่นดวงวิญญาณอันหอมหวนของผู้อื่นได้? มิใช่กลิ่นหอมจากร่างกาย?
ไม่ถูกสิ ตอนที่เธอใกล้ชิดกับคนอื่น กลิ่นบนร่างคนเหล่านั้นมักจะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ บางครั้งก็เป็นกลิ่นหอมบางครั้งก็เป็นกลิ่นเหงื่อ…
ต่อให้เป็นยามที่เธออยู่กับหลงซือเย่ กลิ่นหอมบนร่างหลงซือเย่ก็ไม่ได้คงที่ตลอด ต่อให้เป็นกลิ่นโอสถก็เป็นกลิ่นโอสถหลายชนิด…
สิบกว่าวันมานี้ที่เธออยู่ในร่างตี้ฝูอี เธอยังดมกลิ่นบนร่างเป็นพิเศษด้วย ก็ไม่ได้กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาเช่นกัน แต่ยามที่เขาเข้าใกล้เธอเพื่อปรับลมปราณให้เธอ เธอก็ได้กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาอีกครั้ง…
เมื่อเป็นเช่นนี้ กลิ่นของเขาที่ตนได้กลิ่นดูคล้ายว่าจะเป็นกลิ่นหอมจากดวงวิญญาณของเขาจริงๆ ไม่รู้ว่าคนอื่นจะได้กลิ่นด้วยไหม?
กู้ซีจิ่วมองหยกนภาบนข้อมือตน เธอกับเจ้านี่ไม่ได้ติดต่อกันมาสิบกว่าวันแล้ว จึงค่อนข้างคิดถึงเสียงพูดจ้อของมันอยู่บ้าง
ด้วยเหตุนี้เธอจึงใช้กระแสจิตเรียกมันรอบหนึ่ง ผลคือเจ้าสิ่งนี้ไม่ตอบสนองเลยสักนิดราวกับตายไปแล้วก็มิปาน
เธอค่อนข้างตระหนก ใช้นิ้วเคาะมัน ‘เสี่ยวชาง เสี่ยวชาง…’
หยกนภาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง มันคงมิได้พังอีกแล้วกระมัง? เมื่อก่อนมันก็เคยพังมาแล้ว ครั้งนั้นเป็นเพราะมันดูดซับลำแสงพลังวิญญาณบนแท่นเบิกสวรรค์เข้าไป ทำให้มันอิ่มเกินไป จำศีลไปหลายเดือน…
ครั้งนี้มันไม่ได้อิ่มสักหน่อย แล้วเกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ?
หรือจะเกี่ยวข้องกับการที่ตี้ฝูอีเคยอยู่ในร่างนี้? ดวงวิญญาณของเขาทรงพลังเกินไป เลยทำให้หยกนภาเครื่องช็อตโดยตรงหรือ?
เธอตรวจสอบหยกนภาครู่หนึ่ง ภายในร่างมันยังคงเปี่ยมด้วยพลังงาน แต่หนนี้มันทำให้เธอรู้สึกแตกต่างจากครั้งที่แล้ว ดูไม่คล้ายการจำศีลหลังจากเต็มอิ่ม
หลังจากที่เธอทะลุมิติมาหยกนภาก็เปรียบเสมือนระบบติดตัว เธอมองว่ามันเป็นคู่หูที่ดีที่สุดของเธอมาตลอด แถมหยกนถายังเคยบอกไว้ว่า มันแค่สามารถสื่อสารกับเธอได้ และสื่อสารได้แค่กับเธอเท่านั้น ซ้ำยังกำชับเธอไว้ไม่ให้บอกคนอื่นเรื่องที่มันสามารถสื่อสารกับเธอได้ ดังนั้นนี่คือความลับของเธอเพียงผู้เดียว คนอื่นล้วนไม่ทราบ
ยามนี้จู่ๆ หยกนภาก็ไม่ไหวติง กู้ซีจิ่วเป็นกังวลยิ่งนัก เมื่อเห็นว่าสภาพหยกนภาสมบูรณ์พร้อม รอยแตกสักนิดก็ไม่มี สีสันก็ปกติ ต่อให้เธอถามตี้ฝูอีก็คงหาข้ออ้างที่ยอดเยี่ยมไม่ได้ในระยะเวลาสั้นๆ…
ยามนี้ขณะที่เธอกำลังลองใช้สารพัดวิธีเพื่อสื่อสารกับหยกนภา จู่ๆ ผ้าห่มที่คลุมศีรษะไว้ก็ถูกดึงออก
เธอสะดุ้งโหยง เห็นตี้ฝูอีกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงเธอ สองคนสบตากัน กู้ซีจิ่วลดแขนลงตามสัญชาตญาณ “มีอะไร?”
ตี้ฝูอีมองดวงจากระจ่างแจ่มใสคู่นั้นของนาง เอ่ยขึ้นว่า “กระปรี้ประเปร่าถึงเพียงนี้ ไยไม่ออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อยเล่า?”
เธอมองนาฬิกาแวบหนึ่งตามสัญชาตญาณ เป็นยามจื่อ[1]แล้ว ถ้าเป็นยุคปัจจุบันนี่ก็ใกล้จะล่วงเข้าช่วงใกล้รุ่งแล้ว เธอจึงปฏิเสธ “ดึกเกินไปกระมัง? ข้าคิดว่าท่านควรจะพักผ่อนดีๆ สักหน่อย อย่างไรเสียวันพรุ่งนี้ก็มีงานหนักต้องจัดการ…”
“จะอย่างไรก็นอนไม่หลับแล้ว ไปเถอะ ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้า” ตี้ฝูอีดึงเธอขึ้นจากเตียง
“ไปไหนล่ะ” กู้ซีจิ่วถูกเขาลากออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“เดินไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน” ตี้ฝูอีจูงเธอหมายจะออกประตูไป
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว ดึงแขนเสื้อเขาไว้ “ข้าว่า นี่มันยามกะสามครึ่งแล้ว พวกเราออกไปเดินท่อมๆ เช่นนี้จะทำให้ผู้อื่นเกิดความสงสัยได้ พวกเราอย่าได้ล้มเหลวในขั้นสุดท้ายเลย”
ตี้ฝูอีหลุบตามองมือนาง สุดท้ายก็ข่มความคิดที่จะดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดไว้ เพียงสาวเท้าก้าวไปด้านหน้า “ไม่เป็นไร ข้ามีแผนของตัวเอง”
————————————————————————————-
บทที่ 812 ท่านเคยมีความแค้นอะไรกับข้าไหม
เอาเถอะ เขารู้ว่าทำอะไรอยู่ก็แล้วไป
กู้ซีจิ่วตามเขาออกประตูไป
หลายวันมานี้เพื่อล่อหลอกให้ศัตรูสับสน เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นพวกเขาจะรักใคร่กันยิ่งนัก เดินถนนบางครั้งก้จูงมือบางครั้งโอบเอว
แน่นอน เนื่องจากหลายวันนั้นกู้ซีจิ่วอยู่ในร่างตี้ฝูอีตลอด ดังนั้นคนที่โอบจึงเป็นเธอตลอดอาจเป็นผลข้างเคียงที่ก่อตัวขึ้นจากการอยู่ร่วมกันมาหลายวัน เมื่อกู้ซีจิ่วพ้นประตูมาก็ยื่นแขนไปหมายจะโอบเอวเขาตามสัญชาตญาณ เพิ่งจะแตะถูกเอวของอีกฝ่ายถึงนึกขึ้นได้ว่าไม่ถูกต้อง รีบหดกลับไปทันที
ตี้ฝูอีราวกับไม่ได้สังเกต ก้าวตรงไปด้านหน้า
….
ดวงจันทร์เหนือศีรษะกลมมนดั่งแผ่นจาน มันมีวงโคจรเป็นของตัวเอง
กู้ซีจิ่วพบว่า ตี้ฝูอีกำลังพาเธอเดินเล่นไปตามถนน…
ทั้งสองคนเดินเลียบไปตามลำธาร สายน้ำไหลเอื่อยๆ อยู่ด้านข้าง ต้นเฟิงที่อยู่สองฟากฝั่งลำธารมีใบเฟิงร่วงหล่นลงมาบ้างเป็นครั้งคราว ปลิวลงไปในสายธารไหลริน ล่องลอยไปตามกระแสน้ำอย่างไม่ทราบจุดหมายปลายทาง…
กู้ซีจิ่วรู้สึกรางๆ ว่าฉากนี้ค่อนข้างคุ้นตาอยู่บ้าง เดินไปครู่หนึ่งในที่สุดเธอก็นึกออกว่าเมื่อก่อนเธอก็เคยมาเดินเล่นที่นี่กับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน
เมื่อนึกถึงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ จู่ๆ หัวใจเธอเต้นรัวทันที!
กลิ่นอายบนร่างท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กับตี้ฝูอีถึงแม้จะแตกต่างทว่าดูเหมือนจะคล้ายคลึงกัน!
แน่นอน กลิ่นอายบนร่างพวกเขาก็ไม่ได้เหมือนกันไปเสียทั้งหมด ยังมีจุดต่างอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าทำไม กลับทำให้เธอรู้สึกว่าทั้งสองคนเหมือนกันมาก
เธอหลอนไปเองเหรอ? หรือว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้จะมีอะไรเกี่ยวข้องกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จริงๆ?
วิชาแปลงโฉมของตี้ฝูอีล้ำเลิศยิ่ง หนึ่งบุคคลแปลงโฉมได้นับพันหน้า เช่นนั้นเขาจะเคยปลอมตัวเป็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไหมนะ? หรือบางที ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ที่เธอเคยพบจะเป็นเขาที่ปลอมตัวมา?
เธอถูกความคิดนี้ของตัวเองทำให้ตกตะลึงแล้ว
ไม่ใช่กระมัง?! ต่อให้สนิทชิดเชื้อกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหนก็คงไม่กล้าสวมรอยเป็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กระมัง?! นั่นคือโทษมหันต์ฐานหมิ่นเบื้องสูงเชียวนะ อาจถูกประหารล้างตระกูลก็ได้! วังค้ำนภาของเขาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ล้วนหนีไม่พ้นสักราย
แต่ว่า…
โอ้ ใช่แล้ว เธอจำได้ว่าเเคยได้กลิ่นที่คล้ายคลึงกันนี้จากร่างของหรงเจียหลัวด้วย…
ยังมีอีกคนลึกลับผู้กล่าวว่ามีความแค้นกับเธอที่ริมแม่น้ำคนนั้นก็ดูเหมือนจะมีกลิ่นนี้เช่นกัน…
สวรรค์! จมูกเธอพังแล้วหรือ? หรือว่าในนี้จะมีมนต์วิเศษอะไรอยู่?!
เธอคิดจนค่อนข้างเหม่อลอยอยู่บ้าง จู่ๆ ตี้ฝูอีที่ก้าวอยู่ด้านหน้าเธอก็หยุดลง ศีรษะเธอพลันชนใส่ ชนถูกแผ่นหลังของเขา…
เธอรีบถอยหลังก้าวหนึ่ง จมูกชนจนเจ็บไปหมด อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นนวดคลึง
“ใจลอยอีกแล้วหรือ?” ตี้ฝูอีหันกลับมามองเธอพลางถอนหายใจ “ยามที่เจ้าอยู่กับข้า ดูเหมือนจะชอบใจลอยเหลือเกินนะ คิดอะไรอีกล่ะ?”
กู้ซีจิ่วโพล่งถามไปว่า “ท่านเคยมีความแค้นอะไรกับข้าไหม?”
ตี้ฝูอีเลิกคิ้วมองนาง “หมายความว่าอย่างไร?”
กู้ซีจิ่วถามอีกครั้ง “ท่านเคยปลอมเป็นองค์รัชทายาทหรงเจียหลัวแล้วไปที่จวนแม่ทัพใช่หรือไม่?”
จิตใจตี้ฝูอีสั่นไหวเล็กน้อย หากนางไม่เอ่ยถึงเขาก็แทบจะลืมเลือนอดีตเหล่านั้นไปแล้ว ตอนนั้นเขาแค่รู้สึกสนใจในตัวนาง คิดจะปั่นหัวนาง หยอกล้อนาง เอาคืนที่นางลอกคราบเขาอย่างไร้เหตุผลในถ้ำบนเขา กลับนึกไม่ถึงเลยว่า…
เพียงแต่ความคิดของสาวน้อยผู้นี้แล่นไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร?! พิสดารเกินไปแล้วกระมัง?!
“เหตุใดจึงถามเช่นนี้?” ตี้ฝูอีไม่ตอบคำถามนาง แถมเขายังถามกลับด้วย
กู้ซีจิ่วเม้มปากแน่น “ท่านแค่บอกมาว่าใช่หรือไม่ใช่…”
ตี้ฝูอีเงียบไปครู่หนึ่ง “ใช่”
กู้ซีจิ่วกุมขมับ ถามต่ออีก “เพราะอะไร? ตอนนั้นข้ายังไม่ได้บอกว่าตัวเองคือสานุศิษย์สวรรค์สักหน่อย เหตุใดท่านต้อง…ต้องไปตรวจสอบข้าด้วย?”
ตี้ฝูอีถอนหายใจ บอกไปตามจริงคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงเอ่อยถ้อยคำที่จะไม่ถูกนางจับได้ง่ายๆ ออกไป “ตอนนั้นเจ้าค่อนข้างพิเศษ ข้าเลยต้องไปตรวจสอบดูสักหน่อย”
————————————————————————————-
[1] ยามจื่อ คือ ช่วง 23:00 – 24:59