บทที่ 855 เขารังเกียจคนๆ นั้น!
กู้ซีจิ่วไม่คิดจะเปิดเผยความลับของตี้ฝูอี ดังนั้นเธอจึงส่ายหน้า “ฉันแค่พูดสมมุติ สมมุติเท่านั้น”
หลงซือเย่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ ยกมือลูบผมเธอ “เด็กน้อย ข้อสมมุตินี้ของเธอไม่สมเหตุสมผลเลย เธอลองเทียบกับตัวเธอดูสิ กลิ่นตัวของเธอในชาติก่อนก็ไม่ใช่กลิ่นตัวแบบตอนนี้ นั่นเป็นเพราะเธอย้ายร่างแล้ว ร่างนี้เป็นแค่น่างที่เธอสิงสู่เท่านั้น ไม่ใช่ร่างจริงของเธอ ฉันกล้าวางพนันเลย กลิ่นร่างโคลนนิ่งในตำหนักน้ำแข็งที่หุบเขาถามสวรรค์ของฉันยังเหมือนตัวเธอในอดีตมากกว่ากลิ่นบนร่างเธอเลย…”
น้อยนักที่หลงซือเย่จะกระทำต่อเธออย่างสนิทชิดเชื้อ ดังนั้นยามนี้พอจู่ๆ เขาก็ลูบไล้เส้นผมเธอ ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะขนลุกซู่ พอได้ยินเขาเรียกว่า ‘เด็กน้อย’ ก็ขนลุกยิ่งกว่าเดิม!
เธอเคลื่อนไปด้านข้าง เอ่ยว่า “อย่าเรียกฉันว่าเด็กน้อย มันทำให้รู้สึกเหมือนคุณถูกนักรักผู้ยิ่งใหญ่อะไรสิงร่างเข้าให้แล้ว”
หลงซือเย่ก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ “เด็กโง่ ระหว่างคู่รักไม่ใช่ว่าควรเป็นแบบนี้หรอกหรือ?”
กู้ซีจิ่วใจเต้นแรง กระแอมไอคราหนึ่ง “ครูฝึกหลง ฉันยังไม่ได้ตอบรับคุณเลย พวกเรา..ฬก็ไม่นับว่าเป็นคู่รัก”
แววตาหลงซือเย่พลันหมองลงเล็กน้อย แต่ต่อมาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไร ฉันรอได้ ซีจิ่ว เธอให้โอกาสนี้กับฉันฉันก็ดีใจมากแล้ว พวกเรายังไม่เคยอยู่ด้วยกันในรูปแบบของคนรักเลย เธอไม่เคยชินก็เป็นเรื่องปกติ เดี๋ยวเธอจะค่อยๆ ชินไปเอง”
ค่อยๆ ชินไปเอง? จะค่อยๆ ชินไปเองได้จริงๆ น่ะหรือ?
ตัวกู้ซีจิ่วเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เธอถึงขั้นไม่วาดหวังไว้ด้วยซ้ำ
สายตาที่หลงซือเย่มองเธอช่างอ่นโยนและเปล่งประกายเหลือเกิน นอกจากทำให้เธอซาบซึ้งเล็กน้อยแล้วยังทำให้หนังศีรษะชาหนึบอยู่บ้าง ดังนั้นเธอจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คุณยังเก็บร่างโคลนร่างนั้นไว้อีกเหรอ? นึกไม่ถึงว่าคุณอยู่ในยุคนี้ก็สามารถทำของแบบนี้ออกมาได้”
หลงซือเย่ชะงักไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยขึ้น “ร่างโคลนนั้นยังถูกแช่แข็งไว้ในโลงน้ำแข็งใบนั้น…ฉันไม่ได้คิดจะให้เธอใช้แล้ว แต่ระยะนี้ฉันยุ่งวุ่นวายอยู่ข้างนอกตลอด ยังไม่ทันได้กลับไปทำลายทิ้ง ถ้าเธอไม่ชอบมันจริงๆ รอวันหลังเธอกลับไปกับฉัน แล้วพวกเราไปทำลายมันด้วยกันก็ได้”
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วนิดๆ ความหมายในคำพูดประโยคนี้ของเขาคือเธอต้องกลับเขาถามสวรรค์กับเขาเท่านั้น เขาถึงจะยอมทำลายซากแช่แข็งเหรอ?
ช่างเถอะ อันที่จริงเธอก็ไม่ได้สนใจซากแช่แข็งนั้น ขอเพียงเขาไม่หาวิธีทำให้เธอไปอยู่ในร่างโคลนนิ่งร่างนั้นอีกก็พอ เธอเกิดเงามืดต่อร่างโคลนนิ่งแล้ว
ทันใดนั้นเธอคล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว คุณบอกว่าเมื่อก่อนคุณก็เป็นร่างโคลนนิ่งเหมือนกัน คือคุณ…เป็นร่างโคลนนิ่งของพ่อคุณ ถ้างั้นรูปร่างหน้าตาของคุณก็น่าจะเหมือนเขาทุกอย่างใช่ไหม?”
หลงซือเย่ขมวดคิ้ว เขารังเกียจคนๆ นั้น!
“เขาไม่ใช่พ่อฉัน! เขาเป็นคนวิปริต! บ้าวิทยาศาสตร์! รูปร่างหน้าตาของฉันในชาติก่อนน่าจะเหมือนเขาทุกอย่างนั่นแหละ แต่เขาคงกลัวว่าฉันจะมองออก ดังนั้นเมื่อก่อนเขาเลยไว้หนวดไว้เคราตลอด หนวดเครารุงรังปกปิดเครื่องหน้าของเขาไว้มิดชิดมาก ด้วยเหตุนี้ตัวฉันในชาติก่อนเลยมองไม่ออก”
หัวใจกู้ซีจิ่วโหวงวูบ
หนวดเครารุงรัง? ดูเหมือนปรจารย์กู่ที่เธอรู้จักที่เผ่าม้งก็ไว้หนวดเครารุงรังเหมือนกัน ทั้งสองคนมีอะไรสัมพันธ์กันหรือเปล่า? บังเอิญเหรอ? หรือว่าทั้งสองจะเป็นคนๆ เดียวกัน?
สุดท้ายยามที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา ตัวเธอก็สะดุ้งโหยง!
เป็นไปไม่ได้หรอกน่า?!
เธอเริ่มจินตนาการสุดกำลังว่าหากหลงซีในชาติก่อนไว้หนวดหน้าตาจะเป็นอย่างไร แต่คิดอยู่พักหนึ่ง ก็พบว่าจินตนาการไม่ออก
ถึงอย่างไรหลงซีในชาติก่อนก็สะอาดสะอ้านหล่อเหลา สุภาพสง่างาม ไม่เฉียดใกล้กับชายมีเครารุงรังแต่งตัวมอซอเช่นนั้นเลย
เธอหวนนึกอีกครั้งว่าปรมาจารย์กู่คนนั้นรูปร่างสูงเท่าไหร่ หัวใจพลันไหววูบทันที!
ดูเหมือนความสูงของปรมาจารย์กู่คนนั้นจะเท่ากับความสูงของหลงซือเย่จริงๆ
————————————————————————————-
บทที่ 856 แถมยังเรียนรู้ผสมผสานจนเข้าขั้นปรมาจารย์แล้ว!
ดูเหมือนความสูงของปรมาจารย์กู่คนนั้นจะเท่ากับความสูงของหลงซือเย่จริงๆ แต่รูปร่างดูเหมือนค่อนข้างต่างกัน ปรมาจารย์กู่คนนั้นอ้วนกว่าหลงซีเล็กน้อย
แต่ความอ้วนความผอมของขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตในช่วงนั้น ต่อให้เป็นคนๆ เดียวกันก็ไม่สามารถรักษารูปร่างให้คงเดิมได้ตลอด ถึงอย่างไรก็ยังมีความแตกต่างระหว่างวัยหนุ่มและวัยชรา…
เมื่อเข้าสู่วัยกลางคนมนุษย์จะอวบท้วมได้ง่าย ปรมาจารย์กู่คนนั้นจะใช่นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นไหมนะ?
ดังนั้นเธอจึงถามอีกว่าในปีนั้นที่เธอไปศึกษาวิชากู่ที่เผ่าม้งนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นมีความเคลื่อนไหวอย่างไร
ความจำของหลงซือเย่ดีจนน่าตะลึง เขาบอกเธอว่า ปีนั้นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องป่วยหนัก หลบไปรักษาตัวในสถานที่ลับแห่งหนึ่งตลอดปี ไม่พบปะใคร รวมถึงหลงซีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกชายด้วย…
กู้ซีจิ่วเชี่ยวชาญการวิเคราะห์หาเหตุผล ตามพื้นฐานแล้วสามารถอนุมานต่อยอดออกไปได้ ดังนั้นเธอประมวลอยู่ในสมองพักหนึ่ง พบว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องจะเป็นปรมาจารย์กู่คนนั้น!
หรือว่านักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นไม่เพียงแต่วิจัยเรื่องการโคลนนิ่งเท่านั้น ยังวิจัยวิชากู่ด้วย?! แถมยังเรียนรู้ผสมผสานจนเข้าขั้นปรมาจารย์แล้ว!
คนผู้นี้ทำถึงขนาดนี้เพราะกระตือรือร้นอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น หรือว่ามีแผนการอื่นอยู่?
เธอนึกถึงหุ่นเชิดชุดม่วงที่คล้ายคลึงกับตี้ฝูอีของอวิ๋นชิงตัวนั้นอีกครั้ง หนก่อนที่หุ่นเชิดชุดม่วงตัวนั้นเดินเที่ยวเทศกาลความเป็นเพื่อนอวิ๋นชิงหลัว แม้แต่เจ้าหอยยักษ์ก็แยกแยะกลิ่นอายเจ้าของเก๊ตัวนี้ไม่ออก หรือว่ามันจะไม่ใช่หุ่นเชิดที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่เป็นร่างโคลนนิ่งของตี้ฝูอี?!
ยิ่งคิดถึงข้อนี้ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าหนังศีรษะค่อนข้างด้านชาแล้ว หันไปถามหลงซือเย่ “คุณว่าหุ่นเชิดชุดม่วงตัวนั้นจะใช่ร่างโคลนนิ่งของตี้ฝูอีหรือเปล่า?”
หลงซือเย่ไม่ทราบว่าความคิดของเธอดำเนินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร จึงตะลึงไปครู่หนึ่ง ส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ไม่น่าใช่มั้ง? ฉันได้ยินอวิ๋นชิงหลัวพูดแว่วๆ ว่าเขาไม่มีองคาพยพทั้งหน้าบนใบหน้าเหมือนปกติ ทั้งหน้ามีแค่ตากับปาก ต้องสวมหน้ากากไว้ถึงจะเหมือนกันมาก…โดยทั่วไปแล้วร่างโคลนจะเหมือนร่างต้นแบบอย่างสมบูรณ์ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีเครื่องหน้า นอกเสียจากว่ามนุษย์โคลนตัวนี้พอสร้างออกมาอวัยวะบนใบหน้าส่วนอื่นๆ ของเขาก็ถูกทำลายทิ้งทันที…เพียงแต่ข้อนี้มีความเป็นไปได้ไม่มาก เธอดูปฏิกิริยาของอวิ๋นชิงหลัวสิ เขาเป็นแค่หุ่นเชิดเท่านั้นแหละ…”
“ถ้างั้นเป็นไปได้ไหมที่เขาจะเป็นร่างผสมระหว่างหุ่นเชิดกับการโคลนนิ่ง? เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่พวกเราไม่รู้จัก?”
หลงซือเย่ชะงักแล้ว หน้าซีดเล็กน้อย เขาศึกษาค้นคว้าเรื่องการโคลนนิ่งอย่างลึกซึ้งยิ่ง แต่ไม่ได้ค้นคว้าเรื่องหุ่นเชิดเลย แม้กระทั่งวิชากู่เขาก็ไม่รู้ แต่สถานการณ์อย่างที่กู้ซีจิ่วพูดมาก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้…
เขาก็เป็นบุคลฉลาดล้ำเลิศ มีความสามารถในการเชื่อมโยงวิเคราะห์ เมื่อนำเรื่องราวที่เคยประสบมารวมเข้าด้วยกัน ประมวลอยู่ในใจพักหนึ่ง หัวใจก็เริ่มหนาวสะท้านขึ้นมาเช่นกัน!
เขาทราบเรื่องราวมากกว่ากู้ซีจิ่วนัก เขายังทราบเหตุผลที่นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นวิจัยเรื่องการโคลนนิ่งด้วยนั้นเป็นเพราะเขาต้องการเป็นอมตะ สร้างร่างโคลนนิ่งที่เหมือนตัวเองทุกประการแถมยังอ่อนเยาว์อย่างยิ่งออกมาสักร่าง จากนั้นก็ยืมสวมร่างกำเนิดใหม่ เช่นนี้ดวงวิญญาณของเขาก็คงอยู่ได้ตลอดกาล แค่เปลี่ยนร่างบ่อยๆ ก็พอ
แน่นอนว่านี่เป็นแค่ความคิดเพ้อฝันของนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นเท่านั้น จวบจนหลงซือเย่ตาย เขาก็ยังไม่ได้ยินว่าชายคนนั้นประสบความสำเร็จเลย
บางทีปรมาจารย์กู่คนนั้นอาจเป็นบิดาผู้คลั่งวิทยาศาสตร์ของเขาก็ได้?!
เขานั่งไม่ติดบ้างแล้ว “ซีจิ่ว เธอยังจำหน้าตาของปรมาจารย์กู่คนนั้นได้ไหม? เธอวาดให้ฉันดูหน่อยสิ!”
ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงวาดออกมา
พอวาดเสร็จก็ส่งให้หลงซือเย่ดู หลงซือเย่ก็ไม่กล้ายืนยันอยู่บ้าง
ชายเคราเฟิ้มที่กู้ซีจิ่ววาดออกมาไม่ค่อยเหมือนนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องในความทรงจำของเขาเลย อย่างไรเสียรูปร่างและการแต่งกายก็เปลี่ยนไปมากเหลือเกิน!
เพียงแต่ทั้งสองก็มีจุดที่คล้ายกันอยู่จริงๆ
————————————————————————————-