บทที่ 865 ข้าไม่อยากลงโทษเจ้า
ไม่ว่าจะฝึกฝนเคล็ดวิชาอันใด ล้วนต้องกระทำอย่างสงบเยือกเย็น แต่ตอนนี้เธอสงบใจไม่ลงชั่วขณะ
โดยเฉพาะหลังจากล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งทำให้จิตใจของเธอย่ำแย่ลงไปอีก
เธอรู้ดีว่าตัวเองขึ้นไม่ได้ แต่กลับไม่ต้องการยอมรับควาพ่ายแพ้ ไม่ว่าทำอะไรเธอล้วนทุ่มเทสุดกำลัง ถ้าตนเพียรพยายามสุดกำลังแล้วหากว่ายังทำไม่ได้ ต่อให้ท้ายที่สุดแล้วไม่ประสบความสำเร็จ อย่างน้อยเธอก็จะไม่เสียใจในภายหลัง
หลังจากเพื่อนร่วมชั้นที่อยู่รอบข้างล้วนขึ้นไปจนสิ้น หัวใจที่เคยสงบเยือกเย็นของเธอก็ดั่งมีเพลิงผลาญ
ตัวเธอทราบว่าตี้ฝูอีที่อยู่ที่นั่นจุดธูปไว้ และทราบว่าธูปดอกนั้นจวนจะไหม้หมดก้านแล้ว
เช่นนั้นก็แล้วไปเถอะ อย่างมากก็รับบทลงโทษจากเขาเท่านั้น จำอย่างไรได้อีกเล่า? คงไม่เอาชีวิตเธอกระมัง? อย่างมากก็ถลกหนัง…
เนื่องจากใจเย็นลงแล้ว สมองเธอจึงเริ่มวิเคราะห์สาเหตุที่ตนผิดครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สรุปผลจากบทเรียนที่ประสบแล้วทดลองต่อ
คนอื่นเห็นเพียงว่าเธอเหินขึ้นแล้วก็ร่วงลงไปซ้ำๆ เห็นความล้มเหลวของเธอ แต่เธอทราบดีว่าตนเองยังคงมีพัฒนาการอยู่ อย่างน้อยก็ยิ่งเหาะก็ยิ่งสูงขึ้น!
เธอย่อมได้ยินกระแสเสียงของเชียนหลิงอวี่ แต่เธอไม่คิดจะทำตามที่เขาแนะนำ
ระหว่างที่ศึกษาเธอมุ่งมั่นแน่วแน่อยู่เสมอ ไม่คิดจะลอบใช้กลโกง เนื่องจากที่สิ่งเรียนรู้เป็นความรู้ของเธอเอง ถ้าเธอหลอกลวงก็เท่ากับหลอกตัวเอง…
อีกอย่างต่อให้เธอใช้วิธีอื่นเหาะขึ้นแล้วไปแล้วอย่างไรเล่า? คนผู้นั้นสายตาดั่งคบเพลิง ไม่แน่อาจจะรอจับผิดเธออยู่ที่นั่นก็ได้ ถ้าหากเธอใช้วิชาเคลื่อนย้ายขึ้นไปแล้วถูกคนผู้นั้นเปิดโปงออกมาซึ่งๆ หน้า แบบนั้นยิ่งขายหน้าไปกันใหญ่!
ขณะที่เธอกำลังลองอยู่ ทันใดนั้นกระแสเสียงของตี้ฝูอีก็แว่วขึ้นในหู ‘ข้าไม่อยากลงโทษเจ้า ใช้วิชาเคลื่อนย้ายผสานกับวิชาตัวเบาเหินขึ้นมาเสีย!
กู้ซีจิ่วไม่ตอบโต้ ใครจะทราบได้ว่าเขาจะมีเจตนาร้ายอันใดอีกหรือไม่? ความคิดคนผู้นี้ซับซ้อนเกินไป ตอนนี้เธอไม่อยากคาดเดาอีกแล้ว!
‘กู้ซีจิ่ว อย่าได้ฝืน ขึ้นมาก่อนค่อยว่ากัน!’ เขาส่งกระแสเสียงมาอีกครา
กู้ซีจิ่วยังคงทำเป็นไม่ได้ยินเหมือนเดิม เธอก็บ้าบิ่นขึ้นมาแล้วเช่นกัน เธอจะอาศัยฝีมือที่แท้จริงของตนเข้าว่า!
ถ้าชนะเธอก็จะชนะอย่างผ่าเผย ถ้าแพ้ก็จะแพ้อย่างซื่อตรง!
ครานี้เธอสงบจิตใจ โคจรพลังยุทธ์ทั้งร่างอย่างรวดเร็ว ยามที่เธอสำแดงวิชาเหินหาวอีกครั้ง พลันพุ่งทะยานขึ้นมาถึงริมหน้าผา อีกสิบเซนติเมตรเธอก็จะเหยียบลงบนหน้าผาอย่างมั่นคงได้แล้ว!
แต่ระยะห่างสิบเซนติเมตรนีเอง ทำให้เธอพลาดจากปลายหน้าผา ร่างกายร่วงดิ่งลงอีกครา…
ฝูงชนอุทานด้วยความตกใจ กู้ซีจิ่วหลับตาลงนิดๆ เมื่อครู่นี้ในขณะที่เธอขึ้นไป ได้มองเห็นธูปดอกนั้น ไหม้จนถึงก้านแล้ว…
ดังนั้นเธอไม่มีโอกาสลองอีกครั้งแล้ว
สุดท้ายแล้วยังคงล้มเหลวสินะ…
ขณะที่เธอกำลังร่วงลงมาอย่างยอมรับชะตากรรม ทันใดนั้นก็มีสายลมหอบหนึ่งพยุงอยู่ใต้ร่างเธออย่างฉับพลัน ทำให้ร่างกายที่เพิ่งร่วงดิ่งของเธอทะยานขึ้นมาอีกครั้งทันที…
ในที่สุดเธอก็ยืนอยู่บนหน้าผาอย่างมั่นคง
วินาทีที่สองเท้าของเธอแตะลงบนพื้น ธูปดอกนั้นก็ลุกวาบพอดี แล้ววอดดับไป
“ซีจิ่ว เจ้ายอดเยี่ยมที่สุดเลย!” หลานไว่หูพุ่งเข้ามาทันที วนเป็นวงอยู่รอบกายเธอ
“ซีจิ่ว ไม่เลวเลย! ยอดเยี่ยม! เจ้าสามารถเหาะขึ้นมาได้ด้วยพลังวิญญาณขั้นหก น่าทึ่งเหลือเกิน!” เชียนหลิงอวี่สีหน้าเบิกบาน
สหายร่วมชั้นมากมายก้ล้อมวงเข้ามาเช่นกัน เอ่ยยินดีกับเธอ
แน่นอนว่าบางคนก็อดชมเรื่องน่าขบขันเช่นกัน ในใจค่อนข้างไม่พอใจ บ้างก็ยืนไม่พูดไม่จาอยู่ด้านข้าง บ้างก็พูดจาแดกดันสองสามประโยค
สาเหตุที่คนเหล่านั้นพูดจาเหลวไหลก็เป็นเพราะเห็นว่าตี้ฝูอีท่าทีที่ตี้ฝูอีมีต่อกู้ซีจิ่วค่อนข้างคลุมเครือ คล้ายว่าต้องการเล่นงานนางยิ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงไร้ซึ่งความกังวล
————————————————————————————-
บทที่ 866 เมื่อคืนมิได้นอนเลยหรือ
“ที่แท้ขึ้นมาเป็นที่โหล่ก็ได้รับคำยินดีด้วยเช่นกัน เหอะๆ”
“นางก็ทำได้ดีมากมาตลดมิใช่หรือ? ทำไมหนนี้ปล่อยไก่ซะแล้ว? ความจริงก็ไม่เท่าไหร่นี่นา”
“ดูเหมือนนางจะมิใช่การขึ้นมาได้ในรวดเดียวนะ แบบนี้ก็นับหรือ?”
“ต้องนับแน่นอนอยู่แล้ว! ต่อให้นางชะงักไปเล็กน้อยก็ยังเหาะขึ้นมาได้! ทักษะเช่นนี้ร้ายกาจกว่าการขึ้นมาได้ในรวดเดียวเสียอีก! ถ้าเจ้าไม่รู้ก็อย่ามาพูดจาเหลวไหล!” หลานไว่หูที่ใจฝ่อมาตลอดต่อล้อต่เอถียงกับผู้อื่นจนหน้าดำหน้าแดงอย่างพบเห็นได้ยาก
คนผู้นั้นไม่คิดจะลดตัวมาหาความกับจิ้งจอกน้อย ดังนั้นเขาจึงมองไปที่ตี้ฝูอี
เนื่องจากการตัดสินสุดท้ายอยู่ในมือตี้ฝูอี จะนับหรือไม่นับล้นขึ้นอยู่กับเขา
สายตาของตี้ฝูอีร่อนลงบนร่างกู้ซีจิ่ว
ครั้งนี้นางทุ่มเทจริงๆ ทั้งร่างแทบจะชุ่มไปด้วยเหงื่อ ยืนอยู่ตรงนั้นร่างกายเหยียดตรงราวกับหลาวก็มิปาน นางเม้มริมปากจิ้มลิ้มนิดๆ มองดูเขา แววตากระจ่างเยือกเย็น
นะยะนี้ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานางหลบเลี่ยงการสบตากับเขาเสมอ คล้ายว่าพยายามหลีกเลี่ยงเขาสุดกำลัง แต่ครั้งนี้ในที่สุดนางก็บสบตาเขา ทว่ากลับมองเห็นความยินดีเบิกบาน
เขาสูดลมหายใจเบาๆ ลุกขึ้นมาแล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “ท้ายที่สุดเจ้าสามารถขึ้นมาได้ในขณะที่ธูปดอกนั้นวอดดับลง พอจะนับได้ว่าผ่านแล้ว…”
เมื่อเขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา จิ้งจอกน้อยเป็นคนแรกที่ไชโยโห่ร้องขึ้นมา “ซีจิ่วๆ เจ้าผ่านแล้วนะ! ยินดีด้วย!”
มองไปทางคนที่พูดจาเหลวไหลเมื่อครู่ผู้นั้นอย่างข่มๆ แวบหนึ่ง “ข้าก็บอกแล้วว่านับ! จตใจของบางคนก็มืดบอดเสียจนมองไม่เห็นความดีของผู้อื่น…”
คนผู้นั้นหน้าแดงก่ำ ไม่ได้พูดอะไรอีก
ตี้ฝูอีมองใบหน้าน้อยๆ ที่ซีดเซียวของกู้ซีจิ่ว เส้นผมยุ่งเหยิงชุ่มเหงื่อ ในที่สุดก็เหยียดกายขึ้น โบกแขนเสื้อพรึ่บ ในที่สุดผลไม้ลูกสุดท้ายบนโต๊ะยางก็ลอยไปทางกู้ซีจิ่ว “นี่คือรางวัลของเจ้า”
ผลไม้ลูกนั้นย่อมเป็นลูกที่เล็กที่สุด สีสันก็ไม่สดฉ่ำมากมายอะไร แต่อย่างไรเสียกเป็นผลไม้ล้ำค่าหายาก ซ้ำยังมีประโยชน์มากมาย
ผลไม้ลูกนั้นลอยไปถึงเบื้องหน้ากู้ซีจิ่ว กู้ซีจิ่วหลุบตาลงนิดๆ ไม่ได้เอื้อมไปรับ ผลไม้จึงตกลงพื้นทันที หล่นลงบนพื้นศิลาเขียวใต้เท้าเธอเสียงดังตุบ แตกกระจายเป็นชิ้นๆ ทันที
ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมพิสดารของผลไม้ลูกนั้นในทันใด
ตี้ฝูอีหรี่ตามองนางเล็กน้อย “เจ้า…”
กู้ซีจิ่วเงยหน้าขึ้น กล่าวอย่างเฉยเมย “เมื่อรู่ข้ามิได้ขึ้นมาด้วยความสามารถของตนเอง ตอนที่ข้าร่วงหล่นมีคนลอบช่วยเหลือข้า ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ประสบความสำเร็จ ผลไม้นี้ของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายซีจิ่วไม่อาจรับได้!”
ฝูงชนทึ่มทื่อทันที! นึกไม่ถึงว่าเธอจะพูดออกมาเช่นนี้ ตะลึงกันไปครู่หนึ่ง
มิใช่ทุกคนที่จะมีความกล้าหาญในการเผชิญหน้ากับความล้มเหลวตรงๆ เช่นนี้ มิใช่ทุกคนที่สามารถพูดออกมาว่ามีผู้อื่นให้การช่วยเหลือในช่วงเวลาเช่นนี้…
อย่างเสียสายลมที่โอบพยุงเธอขึ้นมาก็ไร้รูปไร้ลักษณ์ ศิษย์มากมายที่อยู่ที่นี่มองไม่ออกเลยสักคน
แม่นางผู้นี้กล้าหาญมากจริงๆ!
สหายร่วมชั้นเหล่านั้นที่นินทาเธอก่อนหน้านี้ล้วนปิดปากเงียบเช่นกัน ในใจรู้สึกชื่นชมเธออยู่บ้าง
ดูเหมือนตี้ฝูอีก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าเธอจะทำแบบนี้ สายตาร่อนลงบนร่างเธอ “กู้ซีจิ่ว เจ้าทราบหรือไม่ว่าถ้าทำภารกิจในคาบนี้ไม่สำเร็จจะได้รับบทลงโทษอันใด?”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้านิดๆ น้ำเสียงยังคงเฉยชายิ่งนัก “ไม่ทราบ แต่ในเมื่อมีกฎเช่นนี้ ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็จัดารลงโทษตามสมควรเถิด”
ตี้ฝูอีเงียบไป
เขามองสีหน้าของเธอ เนื่องจากหยาดเหงื่อเปียกโชก ทำให้เครื่องสำอางที่เธอแต่งแต้มไว้บางๆหลุดลอกไป เผยให้เห็นผิวหน้าดั้งเดิม
สีผิวเธอค่อนข้างซีดเขียว ริมฝีปากน้อยๆ ค่อนข้างซีดเซียว แม้กระทั่งใต้ตาก็มีรอยคล้ำจางๆ ถึงแม้เธอจะพยายามเหยียดตัวตรง แต่กยังทำให้คนมองเห็นความอ่อนล้าของเธอ…
จู่ๆ เขาก็เอ่ยถามว่า “เมื่อคืนมิได้นอนเลยหรือ?”
————————————————————————————-