บทที่ 875 ไม่อยากเสียไปเลยสักคน
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้กระทำการเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายคาดเดาได้ยาก กู่ฉานโม่ไม่เคยเดาทางเขาออกเลยจริงๆ เพียงแต่ครั้งนี้เขาไม่พอใจพฤติกรรมของตี้ฝูอีอย่างยิ่ง!
ไม่ว่าบุตรสาวของบ้านอื่นจะรักหรือไม่รักเจ้า แต่ก็ไม่ได้กระทำเรื่องใดที่ผิดต่อเจ้า ซ้ำยังช่วยเจ้าจับศัตรูอีก ไม่ว่าจะด้วยอารมณ์หรือด้วยเหตุผลล้วนสมควรปฏิบัติต่อบุตรสาวของบ้านอื่นให้ดีสักหน่อย ต่อให้ไม่ได้ครองคู่กันได้เป็นสหายกันก็ดีมากแล้ว
ผลคือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้เสมือนรักจนเกิดเป็นความเคียดแค้น จงใจเย็นชาหมางเมินผู้อื่นในชั้นเรียน แถมยังจงใจช้าบเรีบยปฏิบัติจริงมาทำให้ผู้อื่นอับอายขายหน้าด้วย ทำให้เด็กสาวที่เก่งกาจถึงเพียงนี้ต้องกลายเป็นที่น่าขบขัน…
ใจแคบ! ทูตสวรรค์ฝายซ้ายผู้นี้ไม่ใจกว้างต่อกู้ซีจิ่วเลยสักนิด คิดเล็กคิดน้อย เฮอะ!
ยามนี้บุตรสาวของบ้านอื่นทนการก่อกวนไม่ไหวคิดจะหลบฉากแล้ว อืม เพื่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของนาง ห้องเรียนนี้สมควรย้ายจริงๆ!
แต่ว่า…
เขามองหลานไว่หูกับเชียนหลิงอวี่ “ซีจิ่วมีเหตุผลจำเป็นในการย้ายห้อง พวกเจ้าตามมาชมเรื่องครึกครื้นหรือไร?”
จิ้งจอกน้อยเอ่ยออกประโยหนึ่ง “ข้าจะไปกับซีจิ่วด้วยเจ้าค่ะ!”
เชียนหลิงอวี่ก็ตรงไปตรงมาเช่นกัน “เราสามคนจะไม่แยกจากกัน!”
หัวคิ้วกู่ฉานโม่ขมวดแล้ว
การย้ายห้องในชั้นเรียนเมฆาม่วงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ขอเพียงอาจารย์ที่ปรึกษาของทั้งสองห้องเห็นด้วยก็พอ ฝ่ายหนึ่งยินยอมให้ศิษย์ย้ายออก อีกฝ่ายยอมให้ศิษย์ย้ายเข้า
อาจารย์ที่ปรึกษาของห้องหนึ่งคืออาจารย์เริ่น อาจารย์ที่ปรึกษาของห้องสองคืออาจารย์เฉียน อาจารย์ทั้งสองท่านนี้ถึงแม้เกณฑ์การรับศิษย์จะเข้มงวดมาโดยตลอด แต่ล้วนให้ความสำคัญต่อศิษย์ในห้องเรียนของตนดั่งแก้วตา ไม่อยากเสียไปเลยสักคน
อีกทั้งลูกศิษย์อย่างกู้ซีจิ่วก็เป็นเป้าหมายที่ทุกห้องต่อสู้แย่งชิง อาจารย์ที่ปรึกษาของห้องสองย่อมยินดีรับนางไว้ แต่อาจารย์ที่ปรึกษาของห้องหนึ่งจะยอมปล่อยหรือ? เกรงว่าจะยากเย็นยิ่งกว่าเฉือนเนื้อเขาเสียอีก!
นับประสาอะไรกับตัวแถมอีกสองตัวเล่า?
เกรงว่าอาจารย์เริ่นผู้นั้นคงบ้าคลั่งขึ้นมาทันที!
ถึงแม้อาจารย์ใหญ่กู่จะมีสิทธิ์โยกย้ายลูกศิษย์ในชั้นเรียนได้ตามใจนึก แต่ก็ไม่ต้องการจะโยกย้ายให้ใหญ่โตถึงเพียงนั้น หากถึงเวลาแล้วอาจารย์ที่ปรึกษาของห้องหนึ่งโมโหจนคลั่งขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า? ไม่เป็นผลดีต่อความสงบกลมเกลียวของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เลย!
ดังนั้นกู่ฉานโม่จึงใคร่ครญอยู่ครู่หนึ่ง ยื่นทางเลือกให้กู้ซีจิ่วสองทาง
ข้อแรก กู้ซีจิ่วกับหลานไว่หู้ย้ายไปห้องสอง เชียนหลิงอวี่รั้งอยู่ห้องหนึ่ง
ข้อสอง ทั้งสามคนรั้งอยู่ห้องหนึ่งให้หมด ไม่ต้องย้ายสักคน
กู่ฉานโม่กล่าวอย่างรวบรัดเบ็ดเสร็จ ไม่เหลือช่องว่างให้ต่อรองได้อีก
ท้ายที่สุด เชียนหลิงอวี่เห็นแก่อนาคตของกู้ซีจิ่ว ทำได้เพียงยอมรั้งอยู่ เขาอยู่ห้องหนึ่ง พวกกู้ซีจิ่วทั้งสองย้ายไป…
ด้วยเหตุนี้กู่ฉานโม่ก็ตอบรับอย่างปีติยิ่งเช่นกัน เพียงแต่เรื่องย้ายห้องมิใช่พูดจาประโยคเดียวก็ย้ายได้ ยังต้องประสานงานบางอย่างด้วย ดังนั้นกู่ฉานโม่จึงให้กู้ซีจิ่วรออีกสองวัน ถ้าขัดการทุกอ่างเรียบ้อยแล้วจะให้นางย้าย
พอออกมาจากห้องของกู่ฉานโม่ กู้ซีจิ่วถอนหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง สำเร็จแล้ว! ในที่สุดเธอก็สามารถกระทำการโดยไม่ต้องมองสีหน้าผู้ใดได้แล้ว!
เธอจะอุทิศแรงายแรงใจทั้งหมดให้การฝึกฝนวรยุทธ์!
ตอนนี้เธอเพิ่งอายุสิบห้า เป็นช่วงวัยรุ่งโรจนในการศึกษาเล่าเรียน ส่วนเรื่องอื่นๆ พากันลงนรกไปให้หมดซะ!
เนื่องจากเรื่องนี้ต้องรอการประสานงานจากกู่ฉานโม่ ก่อนจะได้ย้ายห้องไม่ควรบอกให้ผู้อื่นทราบ ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงกำชับทั้งสองคนที่อยู่ข้างกายว่าต้องเก็บไว้เป็นความลับ
จิ้งจอกน้อยมะไรอยู่แล้ว ขอเพียงนางได้ติดตามอยู่ข้างกายกู้ซีจิ่วก็พอ
เชียนหลิงอวี่กลับหดหู่เซื่องซึมยิ่งนัก เขาไม่เต็มใจที่จะแยกจากสหายทั้งสอง แต่เพื่ออนาคตของสหายทั้งสองจึงไม่อาจเลือกเหนี่ยวรั้งไว้ได้
กู้ซีจิ่วก็ตัดใจแยกจากเขาไม่ลงอยู่บ้างเช่นกัน ถึงอย่างไรก็เป็นสหายที่ต่อสู้ร่วมกันมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ แยกกันหนนี้ภายในก็ต้องอยู่คนละกลุ่มแล้ว
แต่ว่าด้วยฝีมือของเชียนหลิงอวี่ ไม่ว่าเขาจะจับกลุ่มกับใครล้วนสามารถเจิดจรัสออกมาได้ เธอไม่จำเป็นต้องกังวลแทนเขาเกินไป
————————————————————————————-
บทที่ 876 คิดจะหลอกล่อให้เผยข้อมูล
ถึงแม้เรื่องการย้ายห้องโดยภาพรวมจะได้รับการอนุมัติแล้ว แต่ชั้นเรียนที่ควรเข้าก็ยังต้องเข้าอยู่
ดังนั้นทั้งสามคนจงเข้าเรียนตามปกติ ไม่เผยสีหน้าอันใดอกมา
เพียงแต่เชียนหลิงอวี่ชอบไปวอแวที่โต๊ะของกู้ซีจิ่วยิ่งกว่าเดิม แถมยังทำตาแดงๆ เป็นครั้งคราว
โต๊ะข้างเคียงของเชียนหลิงอวี่คือเล่อจื่อซิ่ง นางมองเชียนหลิงอวี่หลายหนแล้ว ต่อมาเมื่อเห็นว่ายามที่เชียนหลิงอวี่กลับมาหน้าโต๊ะนัยน์ตาแดงระเรื่อเล็กน้อย จึงเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “เจ้าเป็นชายชาตรีผู้หนึ่งเหตุใดจึงทำท่าเหมือนจะร้องไห้เล่า? เล่นบทโศกลาจากยากจะได้พานพบกับผู้ใดอยู่หรือไง?”
เชียนหลิงอวี่เห็นนางขัดหูขัดตาเป็นพิเศษ ตอบกลับนางอย่างพาลพาโลยิ่งนัก “เจ้ายุ่งอะไรด้วย?!”
เล่อจื่อซิ่งยิ้มแล้วส่งเสียงดังชิ “ข้าก็คร้านจะยุ่งกับเจ้า!” นางมองกู้ซีจิ่วอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง กู้ซีจิ่วสีหนาสงบนิ่งเช่นเคย เข้าเรียนฟังการบรรยายอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่สนใจผู้อื่นที่อยู่รอบข้าง จากนั้นนางก็มองหลานไว่หูอีกแวบหนึ่ง หลานไว่หูเป็นสาวน้อยอ่อนไหวคนหนึ่ง ถึงแม้นางจะอยู่กับกู้ซีจิ่ว แต่นางก็ค่อนข้างตัดใจแยกจากเชียนหลิงอวี่ไม่ลง ถึงแม้เจ้าคนผู้นี้จะเขกหัวด่านางว่าตัวโง่งมอยู่เสมอ แต่ยามปกติก็ปกป้องนางยิ่งนัก
เธอถูกรังแกแค่เล็กน้อย เขาก็จะพุ่งเข้าไปทันที ราวกับเทพน้อยผู้อารักขาประตูทำให้อีกฝ่ายหนีกระเจิงไป…
ยามนี้กลับต้องแยกกันแล้ว
เล่อจื่อซิ่งมองเชียนหลิงอวี่แล้วก็มองหลานไว่หู สัมผัสได้ว่าพวกเขามีเรื่องบางอย่าง
จิ้งจอกน้อยใสซื่อไร้เดียงสา ยากจะปิดบังเรื่องราว ดังนั้นเล่อจื่อซิ่งจึงครุ่นคิดแวบหนึ่ง คิดจะหาความจริงจากร่างจิ้งจอกน้อย
ยามเลิกเรียน นางหาข้ออ้างเพื่อคุยกับจิ้งจอกน้อยตามลำพัง คิดจะหลอกล่อให้เผยข้อมูล
ผลปรากฏฏว่าจิ้งจอกน้อยที่ดูไร้เดียงสายิ่งนัก หนนี้ปากน้อยๆ กลับปิดสนิทยิ่งกว่าฝาหอย!
ไม่ยอมเผยอะไรออกมาเลย ซั้งคุยกับนางด้วยสีหน้าระแวดระแวง เสมือนนางเป็นจิ้งจอกที่หมายจะขโมยไก่…
เล่อจื่อซิ่งก็ไม่พูดจาเป็นอื่นอีก เพียงลอบสังเกตความเคลื่อนไหวของสามคนนี้ พอยามเที่ยงนางก็ไปขอพบตี้ฝูอีที่เรือนทันที
เรือนของตี้ฝูอีสำหรับคนนอกแล้วถือเป็นเขตหวงห้าม คนทั่วไปจะเข้าไปง่ายๆ ไม่ได้ ต่อให้เป็นกู่ฉานโม่จะเข้าก็ต้องได้รับอนุญาตจาทูตสรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ก่อน แต่เห็นได้ชัดว่าเล่อจื่อซิ่งมีสิทธิพิเศษอะไรบางอย่าง เคาะประตูเพียงครู่เดียว มู่เฟิงก็ปล่อยให้เข้าไปในเรือนแล้ว
และฉากนี้ก็ถูกเชียนอวี่หลิงอวี่ที่บังเอิญผ่านทางมาเห็นเข้าพอดี เจ้าเด็กคนนี้โมโหนัก ตอนกินข้าวกลางวันจึงบอกกับกู้ซีจิ่ว
ถึงแม้ในใจกู้ซีจิ่วตัดสินใจว่าจะตัดขาดกับตี้ฝูอีอย่างสิ้นเชิงแล้ว จะขุดเขาออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่บางครั้งอารมณ์กับเหตุผลก็ยังสวนทางกันอยู่เสมอ เมื่อเธอได้ยินข่าวนี้อันที่จริงค่อนข้างอึดอัด แต่ก็ไม่ได้เผยสีหน้าใดออกมา
ถึงอย่างไรระยะนี้ตี้ฝูอีก็สนิทสนมกับเล่อจื่อซิ่งอยู่ตลอด เล่อจื่อซิ่งกลายเป็นคนพิเศษของที่นั่นได้รับการปฏิบัติแบบพิเศษจากเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เธอคาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้ว
หลังจากเข้าเรียนทั้งวัน กินข้าวเย็นเสร็จ กู้ซีจิ่วก็ตรงไปที่ใต้หน้าผานั้นทันที
แม้ว่าไม่ถึงวันมะรืนเธอก็จะย้ายห้องแล้ว แต่บทลงโทษที่ควรรับเธอก็ยังต้องรับอยู่
สิ่งที่เธอคิดไม่ถึงคือ ตี้ฝูอีมาถึงเร็วกว่าเธอเสียีก ตอนที่เธอมาถึงเขากำลังนั่งก่อไฟย่างสัตว์อยู่ใต้หน้าผา
เมื่อเห็นเธอมาถึง เข้าเลิกคิ้วแล้วกวัวกมือเรียกเธอ “เข้ามาสิ”
กู้ซีจิ่วไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่เพื่อกันไม่ให้เขาเล่นลูกไม้อีก เธอจึงเดินไป ทำความเคารพเขา ยังคงเป็นการทำความเคารพตามที่ศิษย์พึงทำ
ตี้ฝูอีโบกมือเรียกม้านั่งตัวหนึ่งออกมา “นั่งสิ”
กู้ซีจิ่วไม่อยากนั่ง “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ซีจิ่วยังต้องใช้วิชาเหินหาวเหาะขึ้นหน้าผาอีกสิบรอบ เวลามีจำกัดยิ่งซีจิ่วไม่อยากอดนอนทั้งคืน…”
————————————————————————————-