บทที่ 963 ทับจนข้าปวดอกแล้ว
“เจ้าเป็นใคร?!” คนยักษ์เกราะทองทั้งตะลึงทั้งเกรี้ยวโกรธ น่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาถูกจับจุดต่อต้านได้ ภายใต้แรงโทสะจึงคิดจะโต้กลับอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใด นึกไม่ถึงว่าเพิ่งจะขยับมือเล็กน้อย ข้อมือของเขาก็ถูกบางสิ่งบิดหมุน…
ด้วยเหตุนี้ง้าวจันทร์เสี้ยวของเขาจึงหลุดมือไป…
คนยักษ์เกราะทองพูดอะไรไม่ออกแล้ว
เขาหันกลับไป มองเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนเฉียงๆ อยู่บนศีรษะสัตว์พาหนะของเขา เด็กหนุ่มคนนี้สวมอาภรณ์สีฟ้าวารี รูปโฉมล้ำเลิศเป็นเอก เรือนกายสูงโปร่งดั่งลำไผ่ ถือง้าวจันทร์เสี้ยวเล่มนั้นของเขาไว้ในมือ ยิ้มอย่างไร้พิษภัย “ชายร่างใหญ่ อารมณ์เสียบ่อยๆ ไม่ดีกระมัง?”
ปลายนิ้วเขาดีดง้าวจันทร์เสี้ยวเล่มนั้นคราหนึ่ง “ท่านจะใช้อาวุธนี้ทำร้ายเด็กน้อยงั้นหรือ?”
นิ้วมือเขาขาวสล้างดั่งหยก ราวกับบีบเบาๆ ก็หักได้ กลับนึกไม่ถึงว่าการดีดเบาๆ เช่นนี้ของเขา จะทำให้ง้าวจันทร์เสี้ยวเหล็กไหลที่หนาเท่าถ้วยชาโค้งงอราวกับจะหักลงได้
คนยักษ์เกราะทองหน้าเปลี่ยนสีแล้ว!
ง้าวจันทร์เสี้ยวเล่มนี้ของเขาหนายิ่ง ต่อให้นำถูเขาลูกหนึ่งมากดหัวท้ายก็ยังไม่อาจกดให้งอได้ ยามนี้ถูกเด็กหนุ่มคนนี้ดีดเพียงหนเดียวกลับโค้งงอประหนึ่งคันธนู…
โลกมนุษย์มีวรยุทธ์ล้ำเลิศถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?!
แถมอีกฝ่ายยังเป็นเด็กหนุ่มที่ดูแล้วยังไม่สวมกวาน[1]ด้วยซ้ำ!
เมื่อครู่ยามที่เด็กหนุ่มคนนี้ใช้กลยุทธ์ชนิดหนึ่งชิงง้าวจันทร์เสี้ยวไปจากเขา นับเป็นสี่ตำลึงปาดพันชั่ง[2]ไม่ว่าจะเป็นความแม่นยำหรือพละกำลังล้วนควบคุมได้เหมาะเจาะพอดี ดังนั้นคนยักษ์เกราะทองถึงทราบวิธีของเขา
ยามนี้ลำคอเขามีกระบี่เล่มหนึ่งพาดอยู่ ซ้ำยังถูกชิงอาวุธไป ทั้งกายจึงแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
กู้ซีจิ่วก็นึกไม่ถึงว่าอิงเหยียนนั่วจะตามมาอยู่ข้างกายเธอได้ทันกาลขนาดนี้ ขณะที่กำลังพูดบางอย่าง สีหน้าอิงเหยียนนั่วพลันแปรเปลี่ยนเล็กน้อย พุ่งตรงเข้ามา ในขณะเดียวกัน ง้าวจันทร์เสี้ยวในมือเขาฟาดออกไปด้วย!
ช่วงที่กู้ซีจิ่วตะลึงไปชั่วขณะ เขาก็อุ้มเธอไว้แล้วเหินกายขึ้นทันที…
แถบแพรเส้นหนึ่งเฉียดผ่านใต้เท้าคนทั้งสองดั่งอสรพิษ เลื้อยพันง้าวจันทร์เสี้ยวเล่มนั้นไว้…
ที่แท้เป็นการลงมือของสตรีชุดชาววังที่ขี่มังกรเจียวนางนั้น นางลงมือว่องไวนัก แถบแพรบนร่างเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าอสรพิษ นึกไม่ถึงว่าจะฉวยโอกาสยามที่กู้ซีจิ่วหันหลังให้นางโผลอยเข้ามา หากมิใช่อิงเหยียนนั่วลงมือได้ทันท่วงที อุ้มกู้ซีจิ่วหลีกหนี ขาของกู้ซีจิ่วคงถูกแถบแพรเส้นนั้นรัดเข้าแล้ว!
อิงเหยียนนั่วโยนง้าวจันทร์เสี้ยวออกไป ถึงชะลอความเร็วของแถบแพรเส้นนั้นได้บ้าง ทำให้ทั้งสองมีโอกาสปลีกตัวออกมา
อิงเหยียนนั่วที่อยู่กลางอากาศยกมือเป่าปากคราหนึ่ง รถม้าคันนั้นปรากฏตัวออกมาจากชั้นมฆ ร่างของพวกอิงเหยียนนั่วทั้งสองมุดเข้าไปในรถม้า ล้มกลิ้งอยู่บนผ้านวมหนานุ่มในรถม้า
กู้ซีจิ่วกำลังนอนคว่ำอยู่ในอ้อมกอดของอิงเหยียนนั่ว
บนร่างเขามีกลิ่นอายหอมอบอุ่นแผ่ออกมา คล้ายว่าคุ้นเคยแต่ก็คล้ายว่าไม่คุ้ยเคยด้วย…
หัวใจของกู้ซีจิ่วบีบรัดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เธอลุกพรวดทันที มองอิงเหยียนนั่วที่นอนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง “เจ้า…”
วรยุทธ์ของไอ้เด็กนี้ประหลาดเกินไปแล้ว! ปฏิกิริยาตอบสนองว่องไวกว่าเธอเสียอีก!
วิชาตัวเบาของเขาอาจไม่ดีเท่าเธอ แต่การควบคุมของเขาแม่นยำเหลือเกิน! ต่อให้เป็นคนที่บรรลุพลังวิญญาณขั้นสิบก็ยังไม่แน่ว่าจะสำแดงออกมาในระดับเดียวกับเขาได้!
แน่นอน กลิ่นอายบนร่างเขาก็คล้ายว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง ยามที่เข้าใกล้เขาหัวใจเธอจะสั่นไหวขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยคิดมากเกินไปหลายครั้งแล้ว ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่สงสัยอะไรอีกแล้ว แค่รู้สึกว่าเจ้าเด็กนี้ไม่ธรรมดายิ่งนักจริงๆ!
สีหน้าอิงเหยียนนั่วซีดเซียวเล็กน้อย เขานอนเกียจคร้านอยู่ตรงนั้น ยิ้มขื่นๆ “เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว เรี่ยวแรงที่สะสมมาตั้งแต่เกิดใช้ออกมาจนสิ้นแล้ว!”
แล้วเขาก็ยื่นมือข้างหนึ่งมาทางเธอ “ซีจิ่ว ข้ารู้สึกว่าตัวเจ้าหนักยิ่ง ทับจนข้าปวดอกแล้ว…ดึงข้าทีสิ พยุงข้าลุกหน่อย”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย
————————————————————————————-
บทที่ 964 ข้าคิดว่าบางครั้งก็สามารถผ่อนปรนได้
เธอมองมือเรียวงามปานเครื่องลายครามหยกที่ยื่นมาเบื้องหน้าตน แต่ไม่ได้ดึงขึ้นมา “เจ้ามิถือเรื่องชายหญิงมิพึงชิดใกล้แล้วหรือ?”
อิงเหยียนนั่วไม่ได้หดมือกลับ มองเธออย่างน่าสงสาร “สถานการณ์ฉุกละหุก ข้าคิดว่าบางครั้งก็สามารถผ่อนปรนได้”
กู้ซีจิ่วหันกลับไปอย่างใจแข็งยิ่ง “ข้ารู้สึกว่ายามนี้มิได้อยู่ในช่วงสถานการณ์ฉุกละหุก”
ดูเหมือนบุคลิกที่สองของเจ้าเด็กนี่จะตื่นขึ้นมาควบคุมสถานการณ์หลักแล้ว บุคลิกนี้ของเขาชอบทำตัวกระเง้ากระงอดแอ๊บแบ้ว กู้ซีจิ่วก็เคยชินแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่เก็บมาใส่ใจ
ช่วงเวลาเช่นนี้เธอย่อมไม่มีเวลามาถกเถียงกับอิงเหยียนนั่วให้มากความ เธอเลิกม่านรถมองออกไปแวบหนึ่ง พบว่ารถม้าคันที่ตนโดยสารอยู่ในยามนี้คือรถม้าที่โดยสารมาคันนั้น สิงโตตัวนั้นก็เป็นสิงโตเวหาตัวเดิม
เห็นทีว่าอิงเหยียนนั่วจะเตรียมการไว้ตั้งแต่แรก ตอนที่เธอกระโดดลงจากรถไปทำลายเขตแดนนั้น เขาก็ให้สิงโตลากรถคันนี้ไปซ่อนอยู่ในกลุ่มเมฆแล้ว…
ถึงปรากฏตัวออกมาช่วยเหลือพวกเขาไว้ได้ทันกาล
กู้ซีจิ่วเห็นด้วยว่าห่างออกไปไม่ไกล สตรีที่ขี่มังกรเจียวตัวนั้นมิได้ฉวยโอกาสที่เป็นต่อแล้วไล่ตามมาโจมตี แถบแพรของนางพันง้าวจันทร์เสี้ยวเล่มนั้นไว้แล้วโยนให้คนยักษ์ชุดเกราะทองผู้นั้น “แม้แต่เด็กน้อยของแดนมนุษย์ก็ต้านไม่อยู่ แล้วข้าจะเอาเจ้าไว้ทำอันใด?”
คนยักษ์เกราะทองผู้นั้นหน้าดำหน้าแดง รับง้าวจันทร์เสี้ยวไป “ราชินีสั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว”
เขาแกว่งง้าวจันทร์เสี้ยวทันที มองมาทางกู้ซีจิ่วที่อยู่ด้านนี้ด้วยสายตาโหดเหี้ยม ขณะที่กำลังจะทำอะไรบางอย่าง ดรุณีที่ขี่มังกรเจียวผู้นั้นก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ช่างเถิด แค่เด็กน้อยไม่กี่คน ไม่จำเป็นต้องถือสาหาความกับพวกเขา ยังต้องทำธุระสำคัญอีก”
เมื่อเห็นกู้ซีจิ่วโผล่หน้าออกมาจากรถม้า ดรุณีนางนั้นก็เชิดหน้าขึ้น “สาวน้อย เราผู้เป็นเซียนจะไม่ถือสาหาความกับพวกเจ้า รีบไปให้พ้นซะ! อย่าถ่วงรั้งการปราบมารกำจัดปีศาจของเราผู้เป็นเซียน!”
น้ำเสียงของดรุณีขี่มังกรเจียวนางนี้ใสกระจ่าง สำเนียงและท่าทีเปี่ยมด้วยความเย่อหยิ่งของชนชั้นสูงที่ไม่คิดจะถือสาหาความกับคนที่วรรณะต่ำกว่า แทบไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา
กู้ซีจิ่วเอ่ยขัดวาจาวางอำนาจของนางโดยตรง “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นเทพเซียนจากหนใด แต่สิ่งที่ข้าจะบอกเจ้าคือ ด้านล่างมีผีดิบอยู่เรือนพันเรือนหมื่น! การที่เจ้าทำลายเขตแดนเท่ากับเป็นการปล่อยพวกมันออกมา! เจ้าคิดว่าอาศัยตัวเจ้าคนเดียวก็สามารถหยุดยั้งพวกมันได้งั้นหรือ?”
ดรุณีขี่มังกรนางนั้นตะลึงงัน “อะไรนะ…ผีดิบเรือนพันเรือนหมื่นอันใด…” นางเอ่ยยังไม่ทันขาดคำ ในพื้นหิมะด้านล่างคล้ายว่าจะปั่นป่วนขึ้นมาแล้ว ผีดิบชุดขาวนับไม่ถ้วนโผล่หัวออกมา…
“น่าตายนัก!” กู้ซีจิ่วสบถคราหนึ่ง ไม่เสียเวลาพูดจาไร้สาระกับดรุณีนางนั้นอีก บังคับรถตรงดิ่งลงไป…
ผีดิบชุดขาวเหล่านั้นกระโจนออกมาอย่างรวดเร็วยิ่ง จำนวนก็มากมายนัก พริบตาเดียวก็แทบจะเต็มพื้นที่ไปหมด หลั่งไหลไปยังทิศทางหนึ่งปานกระแสน้ำ
ผีดิบชนิดนี้ชอบไล่ล่าตามกลิ่นไอของคนเป็น ถึงแม้เพื่อนๆ ของเธอจะยืนอยู่บนหน้าผาที่ห่างออกไปเจ็ดแปดลี้ แต่ผีดิบเหล่านี้ก็ยังคงได้กลิ่นของพวกเขาอย่างรวดเร็ว รีบกรูกันไปทางเนินเขาทันที…
ผีดิบเหล่านี้มีจำนวนหลายพันตัว หากว่าถูกผีดิบเหล่านี้ล้อมไว้ เกรงว่าทวยเทพเหล่าเซียนก็ช่วยออกมาไม่ได้!
โชคดีที่รถม้าของเธอดิ่งลงไปเร็วพอ ไปถึงหน้าผาแห่งนั้นก่อนที่คลื่นผีดิบจะมาถึง หยุดอยู่เบื้องหน้าพวกเยี่ยนเฉิน “เร็วเข้า ขึ้นมาให้หมด!”
พวกเยี่ยนเฉินก็ทราบความร้ายกาจของผีดิบดี พากันกระโดดขึ้นรถไป
ความเร็วของผีดิบเหล่านั้นรวดเร็วนัก ระยะเวลาเพียงครู่เดียวนี้ มีผีดิบโผล่หน้าขึ้นมาบนหน้าผาแล้ว
สิงโตเวหากระพือปีกสุดกำลังในที่สุดก็โบยบินขึ้นสู่นภาก่อนที่คลื่นผีดิบจะมาถึง
“กรรซ์! กรรซ์ กรรซ์” เสียงคำรามแหบห้าวด้วยความโกรธของเหล่าผีดิบแว่วมาจากด้านล่าง
ห้องโดยสารของรถม้าคันที่พวกกู้ซีจิ่วนั่งอยู่นี้กว้างขวางมาก…
————————————————————————————-
[1] กวาน เป็นเครื่องประดับศีรษะของผู้ชาย เปรียบได้กับรัดเกล้าที่สวมครอบมวยผม ถือเป็นสัญลักษณ์บอกสถานะอีกด้วย ชายชาวจีนเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ก็จะเข้าพิธีสวมกวานเพื่อยืนยันว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ในบางพื้นที่อายุครบ 16 ปีก็เข้าพิธีสวมกวานได้แล้ว
[2] สี่ตำลึงปาดพันชั่ง เป็นศิลปะการใช้แรงขั้นสูง เน้นไม่ให้แรงตนเข้าปะทะกับแรงของคู่ต่อสู้ ดึงพลังของคู่ต่อสู้ไปสู่ความว่างเปล่า หลีกเลี่ยงแรงปะทะทางตรง ตัดกำลังคู่ต่อสู้ไม่ให้ปลดปล่อยพลังออกมาได้ ภายหลังการเป็นสำนวนที่สื่อถึงใช้แรงเพียงเล็กน้อยเพื่อเอาชนะแรงที่มากกว่า