บทที่ 981 นิสัยเจ้าสำราญของเจ้านี้ปรับเปลี่ยนเสียบ้างเถอะ
มู่เหล่ยมองเขาอย่างเห็นใจ “เจ้าเล่นอยู่ในแดนสุขาวดีปแห่งนั้นจนเพี้ยนไปแล้วสินะ? ถูกสตรีในนั้นสูบหยินเสริมหยางหนักหน่วงเกินไปกระมัง? แค่จุดเพลิงก็สามารถเผาตนได้เช่นนี้…เฮ้อ ข้าบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ นิสัยเจ้าสำราญของเจ้านี้ปรับเปลี่ยนเสียบ้างเถอะ” ส่ายหน้าแล้วก็เข้าห้องโดยสารไป
มู่อวิ๋นปรารถนาจะร่ำไห้ทว่าไร้น้ำตา ใบหน้าเขาเปื้อนเขม่าดำ ไม่อาจหมดจดได้ด้วยการล้างหน้าเพียงครู่เดียว…
ตามปกติเขาชอบปล่อยผมสยาย เนื่องจากเขารู้สึกว่าแบบนั้นสง่างามมีมาด ยามนี้ถูกเผาจนกลายเป็นเช่นนี้ บางทีเขาควรจะเกล้าผมขึ้นเสีย
แต่บนร่างเขาไม่มีสิ่งของจำพวกที่ผูกผมเลย…
เขาพลันกัดฟัน ฉีกชายชุดออกมาแถบหนึ่ง รวบเส้นผมเข้ามา ขณะที่กำลังจะเกล้าขึ้น ก็มีเสียงลมดังขึ้นอีกครั้ง คนผู้หนึ่งร่อนลงข้างกายเขา
มู่อวิ๋นเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทีคล้ายว่าเป็นเหน็บชา สบกับสายตามีความนัยทว่ามิได้เอื้อนเอ่ยของมู่เตี่ยนเข้า
มู่อวิ๋นไม่รอให้เขาได้เปิดปากก็กล่าวออกมาทันที “พี่ชายหาได้ปีนปล่องควันบ้านผู้อื่นไม่! พี่ชายไปจุดไฟด้านล่างมา! เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าหล่มนั้นจะระเบิดได้ พี่ชายจึงหลบหลีกไม่ทัน…”
มู่เตี่ยนชะงักไปครู่หนึ่ง กลืนน้ำลายแล้วเอ่ยออกมา “มู่อวิ๋น ความจริงแล้วที่ข้าอยากถามคือ เหตุใดเจ้าถึงหักใจเกล้าผมขึ้นเล่า? เจ้ากล่าวไว้ว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่ผูกผมเด็ดขาดมิใช่หรือ?”
มู่อวิ๋นพูดอะไรไม่ออกแล้ว
….
มู่อวิ๋นรู้สึกว่า ใต้หล้านี้เขาคือคนที่อาภัพที่สุดแน่นอน เนื่องจากทั้งสามคนที่เข้าไปรายงานล้วนไม่แสดงอาการประหลาดใจต่อเรื่องของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เลย ต่างรายงานผลภารกิจของตนอย่างสงบนิ่งยิ่ง
มู่เตี่ยนเห็นผู้อาวุโสหลงหนีไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างไปประมาณร้อยลี้ หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย ที่นั่นน่าจะมีฐานที่มั่นของเขาเช่นกัน
มู่เฟิงในที่สุดก็เก็บสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ต้องการมาได้ ซึ่งยามนี้ได้ส่งมอบให้แล้ว
มู่เหล่ยก็ได้แจ้งเรื่องราวที่นี่แก่พวกอาจารย์ใหญ่กู่แล้ว
จารย์ใหญ่กู่ ฮวาอู๋เหยียน เชียนเยวี่ยหร่าน เทียนจี้เยวี่ยทั้งหมดล้วนมาถึงแล้ว บัดนี้ดักซุ่มอยู่รอบด้าน กำลังสังเกตความเคลื่อนไหวของดรุณีขี่เจียวกับสัตว์ร้ายสองตัวนั้นอย่างใกล้ชิดอยู่ ขอเพียงมู่เหล่ยสั่งการ พวกเขาก็จะลงมือ…
และมู่เหล่ยกำลังขอให้ตี้ฝูอีออกคำสั่ง สอบถามว่าเขาควรลงมือตอนไหน
ตี้ฝูอีมองด้านนอกครู่หนึ่ง ต่อให้อยู่ห่างไกล แต่สายตาของเขายอดเยี่ยมมาก มองออกว่าดรุณีขี่เจียวนางนั้นที่ถูกสัตว์ร้ายทั้งสองไล่ล่าอยู่กำลังตกที่นั่งลำบาก
เขายิ้มบางๆ คราหนึ่ง “ในเมื่อเซียนท่านนั้นเป็นผู้ที่ดินแดนเบื้องบนส่งลงมา คิดว่าจะต้องมีฝีมืออย่างแท้จริงอยู่บ้าง ภัยพิบัตินี้นางเป็นผู้ก่อขึ้น ก็ให้นางจัดการเองเถอะ อย่างไรก็ต้องให้โอกาสนางได้แสดงฝีมือบ้างมิใช่หรือ? ถ้านางจัดการไม่ได้จริงๆ ค่อยให้คนอื่นลงมือก็ได้”
ถึงแม้พลังวิญญาณของตี้ฝูอีจะสูญหายไปมาก แต่สายตานั้นเฉียบคมยิ่ง ประสบการณ์มากมายหลากหลายเหนือธรรมดา เขามองความสามารถที่แท้จริงของดรุนีขี่เจียวนางนี้ออกแล้ว น่าจะรับมือกับสัตว์ประหลาดสองตัวนั้นต่อไปได้กว่าสามร้อยกระบวนท่าเท่านั้น เมื่อถึงเวลาให้พวกกู่ฉานโม่ลงมืออีกครั้ง ย่อมกำจัดสัตว์ประหลาดสองตัวนี้อย่างสมบูรณ์ได้
เดิมทีเขาได้รับกระแสเสียงจากมู่เตี่ยน ทราบว่าสถานที่แห่งนี้คือแหล่งกบดานของผู้อาวุโสลง และทราบว่าที่นี่ซุกซ่อนผีดิบไว้มหาศาล ดังนั้นก่อนมาเขาจึงจัดการกำลังคนอย่างรวดเร็ว เตรียมไว้รอให้พวกกู้ซีจิ่วออกมาจากเขตแดน คนอื่นๆ ก็จะมารวมตัวกันแล้วทำลายล้างอีกครั้ง ทำให้ผีดิบเหล่านี้ที่เชื่อมโยงกับผู้อาวุโสหลงคนนั้นติดอยู่ด้านในด้วยกัน กลายเป็นตะพาบในไห นึกไม่ถึงว่าเรื่องราวที่กำลังดำเนินไปด้วยดีกลับมีสตรีขี่เจียวนางนี้เข้ามาขวาง…
นางเซียนผู้นี้นอกจากจะทำให้งานสำเร็จไม่ได้ยังทำลายให้เสียหายกว่าเดิมอีก ทำให้เสี่ยวซีจิ่วของเขาชุลมุนวุ่นวายไม่ได้หยุด ทำให้เขาจำเป็นต้องใช้กระบวนท่าที่เผาผลาญพลังวิญญาณเพื่อล่อผีดิบลงหล่ม เป็นเหตุให้กลายเป็นเด็กน้อย ทำให้เขาต้องปรับเปลี่ยนแผนการกะทันหัน…
ดังนั้นเขาจะสั่งสอนบทเรียนชุดใหญ่ให้นางเซียนผู้นี้!
ทุกอย่างที่นี่ส่วนใหญ่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมแล้ว ตี้ฝูอีจึงคิดจะจากไป…
————————————————————————————-
บทที่ 982 เกรงว่าไม่สะดวกจะพบนาง…
เขาเหลือบมองด้านล่างแวบหนึ่ง ยามนี้สถานที่ที่เขาอยู่คือภายในหมู่เมฆ มีระยะห่างจากพื้นดินห้าพันเมตร มองเห็นเพียงกองเพลิงที่พวกพุ่งขึ้นสู่ฟ้าเท่านั้น ไม่เห็นคนเบื้องล่าง
หลังจากเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ที่นี่ สาวน้อยคนนั้นจะมาตามหาตนหรือเปล่านะ?
น่าจะมากระมัง?
ถึงอย่างไรนางก็เห็นอิงเหยียนนั่วเป็นสหายแล้ว
เมื่อนางเห็นการระเบิดครั้งใหญ่นี้อาจจะรีบกลับมาก็ได้ หากนางตามหาอิงเหยียนนั่วไม่พบ เกรงว่าจะนึกว่าเขาประสบเหตุสิ้นชีพไปแล้ว…
ตี้ฝูอีถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง ขณะที่กำลังจะสั่งการมู่เตี่ยนอีกครั้ง ให้ลงไปรับบทเป็นอิงเหยียนนั่ว เลี่ยงไม่ให้สาวน้อยผู้นั้นหาเขาไม่พบโศกเศร้ารู้สึกผิด
รับมือกับนางไปสักสองสามวันก่อน ทำให้จิตใจของนางผ่อนคลาย ผ่านไปสักระยะค่อยให้มู่เตี่ยนออกจากสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เสีย เช่นนี้ก็สามารถทำให้อิงเหยียนนั่วหายตัวไปได้แล้ว…
เขายังไม่ทันได้สั่งการอะไร ก็ได้ยินเสียงตะโกนของกู้ซีจิ่วดังมาจากข้างล่าง
หัวใจเขาพลันสั่นสะท้าน!
น้ำเสียงของกู้ซีจิ่วเต็มไปด้วยวิตกกังวล เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น แฝงความสั่นเครือไว้รางๆ…
เสียงตะโกนนั้นดุจเข็มแหลมที่ทิ่มแทงสู่หัวใจ ทำให้อดไม่ได้ที่จะกำมือ
เขายิ้มขื่นพลางนวดคลึงหว่างคิ้วตน เขาสามารถทำให้ผู้อื่นเศร้าหมองได้ แต่ไม่อาจทนมองนางเศร้าหมองได้…
เมื่ออยู่ต่อหน้านาง หลักการของเขา ความเย่อหยิ่งของเขา ล้วนเป็นดั่งเมฆหมอก กระจายหายไปง่ายดายยิ่ง
แต่เป็นนางที่ทอดทิ้งเขาอย่างง่ายดายถึงเพียงนั้น ซ้ำยังทำให้เขาเกิดปมในใจด้วย…
สี่ทูตที่เดิมทีกำลังรอรับคำสั่งจากเขาอยู่ คาดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งจะเอ่ยขึ้นก็หยุดไปเสีย สีหน้าบนดวงหน้าน้อยๆ ค่อนข้างซับซ้อน
พวกมู่เตี่ยนย่อมได้ยินเสียงตะโกนของกู้ซีจิ่วที่ดังมาจากด้านล่างเช่นกัน แถมมู่เตี่ยนยังเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี จึงกล่าวว่า “นายท่าน ต้องการให้ข้าน้อยปลอมเป็นอิงเหยียนนั่วลงไปปลอบนางอีกครั้งไหมขอรับ?”
ตี้ฝูอีเงียบไปครู่หนึ่ง ถอนหายใจแล้วเอ่ย “เดี๋ยวข้าจะลงไปเอง”
สี่ทูตตกตะลึง มู่เฟิงขมวดคิ้ว “นายท่าน ยามนี้ท่านเป็นเช่นนี้…เกรงว่าไม่สะดวกจะพบนาง…”
นัยน์ตาตี้ฝูอีวูบไหวเล็กน้อย เงี่ยหูฟังเสียงตะโกนของกู้ซีจิ่วอีกครู่หนึ่ง เส้นเสียงนางเริ่มแหบแห้งแล้ว…
ตี้ฝูอีเป็นบุคคลประเภทที่ว่าเมื่อตัดสินใจจะทำเรื่องใดแล้วก็จะทำให้ถึงที่สุด ดังนั้นในที่สุดเขาก็ตัดสินได้แล้ว “ข้าจะลงไป พวกเจ้าไม่ต้องตามมา!”
มู่เตี่ยนอดกลั้นไว้ไม่อยู่สุดท้ายก็เอ่ยออกมาว่า “นายท่าน เช่นนั้นต่อไปข้าน้อยยังต้องปลอมเป็นท่านเหมือนยามนี้อีกไหมขอรับ?”
ตี้ฝูอีในยามนี้สูงแค่หนึ่งร้อยสามสิบเซนติเมตรเท่านั้น กระจ้อยร่อยนัก
ตี้ฝูอีส่ายหน้า “สภาพนี้ของข้าน่าจะคงอยู่ไม่นานนัก ไม่จำเป็นต้องใช้เจ้า”
ขณะที่มู่เตี่ยนกำลังจะถอนหายใจอย่างโล่งอก ฝ่ามือของตี้ฝูอีก็ตบลงบนไหล่เขาคราหนึ่ง “เพียงแต่เจ้ายังต้องหมั่นฝึกฝนวิชาดัดกระดูกอยู่ เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน”
มู่เตี่ยนพูดไม่ออก รูปร่างเขาสูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบต้องดัดกระดูกให้กลายเป็นหนึ่งร้อนสามสิบเซนติเมตร ช่างเป็นแรงกดดันปานขุนเขาโดยแท้!
….
กู้ซีจิ่วตามหาจนจะบ้าแล้ว!
เธอวนเป็นวงอยู่รอบสถานที่เกิดเพลิงสองรอบแล้วยังไม่พบเห็นเงาร่างของอิงเหยียนนั่วเช่นเคย และไม่ได้รับการตอบกลับจากเขาเลย
อุณหภูมิรอบสถานที่เกิดเพลิงย่อมสูงยิ่งนักเป็นธรรมดา ทว่าบนหน้าผากเธอกลับมีหยาดเหงื่อเย็นเฉียบผุดออกมา เท้าก็อ่อนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่เธอตระเวนไปทั่วด้วยฝีเท้าหนักบ้างเบาบ้าง ก็มีเสียงครางแผ่วๆ เสียงหนึ่งแว่วออกมาจากพุ่มไม้ด้านข้างที่ถูกเผาจนแทบเกรียม
เสียงนั้นแผ่วเบา ทว่าทำให้กูซีจิ่วหันกลับไปทันที แทบจะโผเข้าไป มือที่สั่นนิดๆ แหวกพุ่มไม้ออก จากนั้นก็ตะลึงงัน!
ในพุ่มไม้มีเด็กคนหนึ่งนอนอยู่ เด็กคนนั้นอายุราวแปดเก้าขวบ ใบหน้าน้อยๆ ค่อนข้างมอมแมม แต่กลับซ่อนเครื่องหน้าที่งดงามดั่งวาดแต้มของเขาไว้ไม่ได้ ยามนี้เด็กน้อยคนนี้กำลังเบิกดวงตาชุ่มฉ่ำแวววาวมองเธออยู่ เรียกชื่อเธออย่างขลาดๆ “ซีจิ่ว…”
เดิมทีกู้ซีจิ่วค่อนข้างสิ้นหวังแล้ว แต่หลังจากได้ยินเสียงนี้ของเขาก็ราวกับถูกฟ้าผ่า!
————————————————————————————-