ลำนำบุปผาพิษ – บทที่ 1039+1040

บทที่ 1039+1040

บทที่ 1039 ชั่วช้าเกินไปแล้ว

เมื่อจิ้งจอกดำเห็นเจ้านายของตนก็ทึ่มทื่อไปนาน ยามนี้ถึงได้สติกลับมา เมื่อได้ยินหรงเช่อเอ่ยเช่นนี้ เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง “องค์รัชทายาท องค์ชายแปดและกระหม่อมพยายามตามหาพระองค์อย่างสุดชีวิตจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ…”

หรงเจียหลัวไม่แยแสหรงเช่ออีก ทำความเคาพรจักรพรรดิซวนก่อน ธารน้ำตาของจักรพรรดิซวนหลั่งริน กวักมือให้เขาเข้าไปใกล้ๆ โอรสที่เกือบพลัดพรากหายไปผู้นี้หวนกลับมา เขาย่อมยินดีเป็นล้นพ้น เอ่ยออกมาไม่ขาดปาก “กลับมาก็ดีแล้ว! กลับมาก็ดีแล้ว! เรารู้ว่าเจ้าเป็นคนดีย่อมมีสวรรค์คอยคุ้มครอง ได้รับกรปกปักษ์จากท่านเทพศักดิ์สิทธิ…ที่แท้เจ้ารอดพ้นจากอันตรายมาได้อย่างไร?”

“ลูกโชคดี ได้ท่านทูตทั้งสี่ช่วยเหลือไว้ เสด็จพ่อ ประเดี๋ยวลูกจะอธิบายกับพระองค์อีกทีนะพ่ะย่ะค่ะ”

ยามนี้ปฏิกิริยาตอบสนองของพรรคพวกฝ่ายหรงฉู่กลบมาแล้ว พวกเขารีบนึกถึงการตายของหรงฉู่ขึ้นมาอีกครั้ง พากันก้าวเข้ามาของคำอธิบายจากหรงเจียหลัว เสียงดังเซ็งแซ่ วุ่นวายอย่างยิ่ง

กรงเจียหลัวก็ไม่พูดอะไร รอให้ฝ่ายหรงฉู่พากันพุดให้จบ เขาถึงยกมือขึ้น “เปิ่นกงย่อมให้คำอธิบายแก่พวกท่าน จะไม่ทำให้พวกท่านผิดหวังเด็ดขาด! ทุกท่านเชื่อฟังคำของเปิ่นกงเถิด ไปยืนอยู่ที่สี่มุมตำหนักก่อน เปิดพื้นที่สักหน่อย เปิ่นกงจะต้องคิดบัญชีกับเจ้าแปดให้ดีเสียก่อน!”

นี่คือพี่น้องจะต่อสู้กันงั้นหรือ?

เหล่าขุนนางต่างเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า บ้างก็จัดสินใจจะรอดูก่อนค่อยว่ากัน บ้างก็คิดจะไกล่เกลี่ย ถึงอย่างไรวรยุทธ์ของพี่น้องคู่นี้ล้วนไม่ต่ำต้อยเลย หากสู้กันขึ้นมาจะต้องอึกทึกครึกโครมเป็นแน่ อาจทำให้ตำหนักบรรทมแห่งนี้ถล่มได้!

แต่เพิ่งอ้าปากหมายจะไกล่เกลี่ย ก็ถูกทูตส่างซั่นระงับไว้ “ทุกท่าน หากไม่หวั่นเกรงความตายก็ยืนอยู่ตรงกลางต่อเถิด!”

เหล่าขุนนางเงียบงัน เกิดเสียงดังพรึ่บพรึ่บ เหล่าขุนนางเมือวิหคแตกรัง ล้วนหลบไปอยู่ห่างๆ

แววตาหรงเช่อวูบไหวเล็กน้อย ยิ้มขื่นๆ เอ่ยขึ้นว่า “เสด็จพี่ พระองค์เข้าใจผู้น้องผิดไปไม่น้อย หากพระองค์ขุ่นเคืองที่ผู้น้องอารักขาพระองค์ไม่รอบคอบ ผู้น้องยินดีรับโทษ ตามแต่เสด็จพี่จะลงทัณฑ์”

หรงเจียหลัวตัดบทเขา “หรงเช่อ เจ้าคงจะนึกไม่ถึงกระมังว่าสิ่งเหล่านั้นที่เจ้าพูดในรถม้าเมื่อวานนี้เปิ่นกงใช้ยันต์บันทึกเสียงบันทึกไว้หมดแล้ว?”

ยันต์สีม่วงอ่อนแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นบนฝ่ามือเขา พลังวิญญาณถ่ายเทเข้าไป แผ่นยันต์เปล่งแสงวาบ บทสนทนาของทั้งสองแว่วออกมาจากยันต์

หรงเช่อตกตะลึง

เสียงที่บันทึกชัดเจนยิ่งนัก ผู้คนทั้งตำหนักล้วนได้ยิน ความลับที่พัวพันอยู่ด้านในน่าตกตะลึงมากเหลือเกิน ขุนนางทั้งหลายฟังจนแทบจะทึ่มทื่อไปหมดแล้ว!

ในที่สุดใบหน้าหล่อเหลาของหรงเช่อก็ฉายแววประหลาดใจ

อย่างไรเสียช่วงที่หรงเจียหลัวป่วย หรงเช่อก็คอยเฝ้าอยู่ข้างกายเขาตลอด สิ่งของจำพวกยันต์บันทึกเสียงอันใดที่อยู่บนร่างเขาล้วนถูกกำจัดทิ้งไปนานแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะเหลืออยู่อีกแผ่น!

แถมดูจากลักษณะของยันต์บันทึกเสียงแผ่นนี้แล้ว เป็นยันต์ระดับสูง ยันต์บันทึกเสียงระดับสูงเช่นนั้นก็มีเพียงเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่มี เห็นได้ชัดเจนยิ่งนักว่าเป็นคนของเทพศักดิสิทธิ์ที่ติดตั้งยันต์บันทึกเสียงแผ่นนี้ไว้บนร่างของหรงเจียหลัว…

ทูตส่างซั่นก็เอ่ยขึ้นมาเช่นกัน “หรงเช่อ ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์สงสัยเจ้ามานานแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงส่งคนมาจับตามองเจ้าอยู่ตลอด เจ้าวางแผนปองร้ายองค์รัชทายาทได้แยบยลนัก หารู้ไม่ว่าพวกเราแฝงกายติดตามเจ้าอยู่ ย่อมให้ความช่วยเขาได้ทันท่วงที…”

มียันต์บันทึกเสียง ซ้ำยังมีสี่ทูตเป็นพยาน ความจริงของเรื่องราวทั้งหดจึงกระจ่างแล้ว

แผนร้ายทั้งหมดของหรงเช่อถูกเปิดโปงแล้ว ฐานะก็เปิดเผยแล้วเช่นกัน เขาวางกลอุบายมากมายอย่างกระเหี้ยนกระหือมานานหลายปี ทว่ายามที่ใกล้จะประสบความสำเร็จแล้วทุกอย่างกลับกลายเป็นความว่างเปล่า!

การพลาดท่าเช่นนี้สามารถทำคนธรรมดาสิ้นหวังจนคุ้มคลั่งได้เลย!

“เจ้าเป็นใคร?”

“ที่แท้เจ้าคือผู้ใดกันแน่?”

“ไม่น่าเชื่อว่าเขาไม่ใช่องค์ชายแปดตัวจริง! และไม่รู้ว่าเป็นวิญญาณเร่ร่อนอันใดที่มาสิงร่าง! สวรรค์ น่ากลัวเหลือเกิน!”

“เป็นเขาที่ส่งคนมาลอบสังหารองค์ชายหรงฉู่ ซ้ำยังป้ายความผิดให้องค์รัชทายาทอีก! ชั่วช้าเกินไปแล้ว!”

————————————————————————————-

บทที่ 1040 ที่แท้พวกเจ้าก็เตรียมการไว้ก่อนแล้ว

“ฝ่าบาท คนผู้นี้ที่มาไม่ชัดเจน เกรงว่าจะเป็นคนของลัทธิมาร จะต้องเอตัวเขาไปไต่สวนอย่างเข้มงวดนะพ่ะย่ะค่ะ!”

เหล่าขุนนางเปี่ยมด้วยความแค้นเคือง พากันก่นประณาม มีขุนนางฝ่ายบู๊เริ่มตั้งท่ารอแล้ว เตรียมจะจับกุมเขา แต่หรงเช่อกลับหลุบตาลงเล็กน้อย มาถึงขั้นนี้แล้วปฏิกิริยาของเขากลับสงบนิ่ง เขาไม่สนใจเสียงเอะอะของฝูงชน มองไปทางสี่ทูต ซ้ำยังยิ้มแวบหนึ่งด้วย “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยข้องเกี่ยวกับเรื่องการเมืองของอาณาจักรต่างๆ ที่แท้ก็เป็นเรื่องเท็จทั้งเพ!”

ทูตส่างซั่นกล่าวอย่างเฉยชาว่า “ท่านเทพศักด์สิทธิ์ไม่เคยข้องเกี่ยวกับเรื่องการเมืองของแต่ละอาณาจักรจริงๆ หากว่าเป็นเพียงสงครามแย่งบัลลังก์ชิงไหวชิงพริบกันระหว่างพวกเจ้าเหล่าองค์ชาย ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะไม่สอดมือเข้ายุ่งเลย แต่เจ้าไม่ใช่! เจ้าวางแผนปองร้ายจักรพรรดิซวน ให้เขาเสพพิษร้ายชนิดหนึ่งเข้าไป ทำให้นิสัยแปรปรวนทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรมก่อสงครามขึ้น แถมเจ้ายังมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนของลัทธิมาร อาศัยเหตุสงครามส่งทหารผู้บริสุทธิ์มากมายไปให้ผู้นำลัทธิมารทำการทดลองให้เขาสร้างผีดิบออกมา ก่อภัยพิบัติครั้งใหญ่…เจ้าทำเช่นนี้มิใช่เพื่อชิงบัลลังก์อย่างเดียวเป็นแน่ ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ย่อมตรวจสอบจนถึงที่สุด!”

ฝูงชนคาดไม่ถึงว่าเบื้องหลังหรงเช่อจะก่อเรื่องราวมากมายถึงเพียงนี้ไว้ จึงตะลึงงันกันถ้วนหน้าไปชั่วขณะหนึ่ง! แม่ทัพบางท่านได้เรียกรวมพลทหารองครักษ์ทั้งหมดที่อยู่ด้านนอกแล้ว เตรียมจับกุมคน

ทว่าหรงเช่อกลับไม่ตื่นตระหนกร้อนรนเลย เขาถอนหายใจลึกๆ “นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะรู้มากถึงเพียงนี้แล้ว ช่างอยู่เหนือความคาดหมายของข้านัก” ประโยคนี้ถือเป็นการยอมรับความผิดทั้งหมดกลายๆ

ทุกคนย่อมเดือดดาลยิ่งนัก จักรพรรดิซวนก็ออกคำสั่งให้จับกุมแล้ว

ทหารรักษาพระองค์กำลังจะรุดเข้าไป หรงเช่อยิ้มน้อยๆ “อาศัยพวกเจ้าคิดว่าจะจับข้าได้หรือ?” ตัวคนประหนึ่งผีเสื้อ เหินทะยานขึ้นไป ซัดฝ่ามือทำลายหลังคาตำหนัก หมายจะเหินออกไป

แต่นึกไม่ถึงว่าร่างเขาเพิ่งเหินออกไปได้ครึ่งเดียว ก็ร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว ลำแสงสีฟ้ากระจ่างสายหนึ่งตามลงมาจากหลังคาตำหนักครอบคลุมร่างเขาไว้ทันที นั่นคือระฆังยักษ์ใบหนึ่ง ระฆังใบนั้นว่องไวปานสายฟ้าแลบ พริบตาเดียวก็ครอบร่างเขาไว้ด้านล่าง เขาม้วนกายทันที ตัวคนปลิวปานกระดาษ พุ่งไปทางหรงเจียหลัว!

การเคลื่อนไหวของเขาว่องไวเกินไป วรยุทธ์ที่ใช้เห็นได้ชัดว่ามิใช่อย่างที่เขาเคยสำแดงต่อหน้าผู้อื่นเป็นประจำ แปลกประหลาดยิ่ง ทำให้คนยากจะป้องกันได้

แต่นึกไม่ถึงว่าขณะที่กำลังจะคว้าตัวหรงเจียหลัวที่อยู่เบื้องหน้าได้ แสงสีเขียวสายหนึ่งก็วาบขึ้นมา เขาคว้าถูกแสงสีเขียว ถูกแสงสีเขียวนั้นดีดสะท้อนกลับไป

เขาอาศัยแรงดีดสะท้อนนี้ทะยานไปทางฝูงชนอย่างรวดเร็ว คิดจะจับขุนนางสำคัญของราชสำนักสักคนมาเป็นตัวประกัน แต่ก็ชนเข้ากับแสงสีเขียวที่ปรากฏขึ้นมากะทันหันอีกครั้ง! ถูกดีดสะท้อนกลับไปอีกครา

หรงเช่อหยัดกายยืน มองสี่ทูตที่แยกกันยืนอยู่สี่มุม หรี่ตาลงนิดๆ “ที่แท้พวกเจ้าก็เตรียมการไว้ก่อนแล้ว!”

แสงสีเขียวนั้นมิใช่สิ่งอื่นใด แต่เป็นเขตแดนที่สี่ทูตติดตั้งไว้ เห็นกันอยู่ชัดเจนว่าเมื่อครู่พวกเขาไม่ได้ย้ายที่ นึกไม่ถึงว่าจะติดตั้งสิ่งนี้ไว้ก่อนแล้ว ชัดเจนยิ่งนักว่าสิ่งนี้ถูกจัดเตรียมไว้ที่นี่นานแล้ว และมียามที่เพียงสี่ทูตเคลื่อนไหวเท่านั้นเขตแดนนี้ถึงจะปรากฏขึ้น…

นี้เสียงทูตส่างซั่นเรียบเรื่อย “จะจับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ย่อมต้องปิดล้อมให้แน่นหนา”

หรงเช่อมองระฆังยักษ์สีฟ้าโปร่งใสใบนั้น เงยหน้ามองหลังคาตำหนัก “ด้านบนคือเชียนเยวี่ยหร่านกระมัง?” ระฆังฟ้าดินใบนี้เป็นสมบัติประจำกายของเจ้าสำนักเชียนเยวี่ยหร่าน

มีคนหัวเราะฮ่าๆ อยู่บนหลังคาตำหนัก “องค์ชายหรงเช่อช่างจดจำผู้อื่นได้ดียิ่ง เป็นเจ้าสำนักอย่างข้าเอง! เสี่ยวหรงเช่อ วันนี้เจ้าหนีไม่รอดแล้ว! มิใช่เพียงข้าเท่านั้นที่มา เจ้าสำนักฮวาก็อยู่เช่นกัน เจ้าคนเดียวเดือดร้อนผู้อาวุโสอย่างพวกเราต้องลงมือพร้อมกัน มีฝีมือไม่เบานี่ เจ้าสำนักอย่างข้าขอแนะนำให้เจ้ายอมแพ้แต่โดยดี บางทีอาจจะรักษาชีวิตน้อยๆ ของเจ้าไว้ได้!”

แววตาหรงเช่อไหววูบ จู่ๆ เขาก็เชิดหน้ายิ้มออกมาแวบหนึ่ง “ไม่น่าเชื่อว่าเพื่อจับกุมข้าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะส่งคนมามากมายถึงเพียงนี้ ช่างเป็นเกียรติจริงๆ เพียงแต่ พวกเจ้าหมายจะจับกุมข้าก็ยังคงคว้าน้ำเหลวอยู่ดี!”

————————————————————————————-

ลำนำบุปผาพิษ

ลำนำบุปผาพิษ

เธอคือนักฆ่าสาวผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการมืด แต่ดันตายเพราะโดนคนที่เชื่อใจตลบหลัง! ไม่รู้ว่านรกชังหรือสวรรค์เป็นใจ เธอถึงตื่นขึ้นมาอีกครั้งในร่างเด็กสาวอัปลักษณ์ที่ถูกลวงให้เอาชีวิตมาทิ้ง ผู้คนในโลกนี้ยึดถือในเรื่องของพลังวิญญาณ ทว่าร่างนี้ไม่มีพลังวิญญาณอยู่เลยสักนิด เป็นสวะไร้ค่าชิ้นใหญ่ที่พบเจอได้ยากยิ่ง!! แต่ไม่มีพลังวิญญาณก็ไม่เห็นเป็นไร ร่างนี้มีเธอมารับช่วงต่อแล้ว เธอจะทวงคืนทุกอย่างแทนเจ้าของร่างเดิม ทวงเอาทุกสิ่งที่ควรมีกลับมา!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset