บทที่ 1129 ละครพลิกผัน 4
ทักษะการแสดงของกู้ซีจิ่วยอดเยี่ยมเกินไป ตั้งแต่ต้นจนจบโม่เจ้าแยกไม่ออกเลยว่าสรุปแล้วนางมีความทรงของชาตินี้หรือไม่ หากว่านางไม่มีจริงๆ การกระทำเมื่อครู่ของเขาจะเป็นการเตือนให้นางระลึกถึง!
กู้ซีจิ่วมองเขา “อันที่จริงข้าแคลงใจยิ่งนักอยู่ข้อหนึ่ง ท่านเจ้าจะให้คำอธิบายแก่ข้าหน่อยได้หรือไม่?”
“ว่ามา!”
“ในเมื่อท่านเจ้ามองออกว่าขาคือตี้ฝูอีอะไรนั่น เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ใช่แผนซ้อนแผนอะไรนั่นเล่า? อย่าเพิ่งเปิดโปงเขา รอให้ล่อเขาเข้าไปในตำหนักใต้ดินก่อนแล้วค่อยว่ากัน ตำหนักใต้ดินแห่งนั้นเป็นอาณาเขตของท่านเจ้า เปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาที่นั่น แล้วค่อยหาทางจับตัวเขา เช่นนั้นเขาจะหนีก็หนีไม่รอดแล้ว ท่านว่าใช่หรือไม่เล่า?”
โม่เจ้ายิ้มเย็นคราหนึ่ง “เจ้าช่างไร้เดียงสาเสียจริง เจ้าคิดว่าตี้ฝูอีจะติดตามข้าเข้าไปในตำหนักใต้ดินจริงๆ น่ะหือ? เจ้าคนบัดซบผู้นี้คิดจะกวาดล้างพวกเราในคราวเดียว เพียงติดอยู่ตรงที่ว่าถ้าไม่มีเรือพิเศษก็ไม่สามารถเข้าออกได้ และเรือในตำหนักใต้ดินก็เชื่อฟังเพียงคำสั่งของข้ากับหลงฟั่น ถ้าไม่ได้รับสัญญาณพิเศษจากพวกเรา ไม่มีทางส่งเรือขึ้นมารับเด็ดขาด! พวกเขาจะดูก่อนว่าพวกเราเรียเรือเหินอัคคีในลาวาภูเขาไฟมาได้อย่างไร จากนั้นก็จับกุมพวกเราไว้ แล้วปลอมเป็นตัวเราขึ้นเรือเหินอัคคีไป ดิ่งลงสู่ตำหนักใต้ดินของข้า…”
เขาพูดจาค่อนข้างวกวน กู้ซีจิ่วเฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้ก็ยังเกือบถูกคำพูดวกวนของเขาพันศีรษะเข้า ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงพอจะเข้าหัวอยู่บ้าง อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ท่านเจ้า ความคิดของท่านละเอียดลออเหนือธรรมดาจริงๆ!”
มุมปากของโม่เจ้าหยักเป็นรอยยิ้ม หากว่าความคิดเขาไม่ละเอียดลออ แล้วจะอาศัยอยู่ในร่างของหรงเช่อกว่าสิบปีได้อย่างไร? คงถูกคนจับได้ไปนานแล้ว!
ตี้ฝูอีแข็งแกร่งเกินไปแปรปรวนเกินไป ต่อกรกับคนเช่นนี้ ย่อมต้องเฉลียวฉลาดสุดขีด มีสมองที่รอบคอบถึงจะต่อกรได้
ยังมีอีก ไม่น่าเชื่อว่าตี้ฝูอีสามารถหายตัวไปจากรถม้าที่เดินทางอยู่กลางอากาศได้ วรยุทธ์สูงส่งยิ่งนัก หรือว่าพลังยุทธ์ของเขาจะฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์แล้ว? เพียงแต่เขาหลบหนีอย่างว่องไวเกินไปหน่อย ต่อให้เขาไม่สนใจความปลอดภัยของกู้ซีจิ่ว เช่นนั้นก็ควรจะสนใจความปลอดภัยของเหล่าลูกน้องเขามิใช่หรือ? มีลูกน้องของเขาสามคนตกอยู่ในเงื้อมมือของตัวเขาโม่จ้าว อยู่ในรถม้าอีกสองคันที่อยู่ด้านหลัง…
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หัวใจของโม่เจ้าก็เต้นรัวขึ้นมา แย่แล้ว! รถม้าสองคันนั้น! เกรงว่า…
เขายังคิดไม่ทันจบดี บนรถม้าสองคันหลังที่อยู่ไม่ห่างนักก็มีเสียงต่อสู้แว่วมา แน่นอนว่าเสียงต่อสู้นั้นสั้นยิ่งนัก ระยเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ จากนั้นก็ไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว
โม่เจ้านิ่งงัน จู่ๆ เขาก็สังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา!
ผ่านไปครู่หนึ่ง ลางสังหรณ์ไม่ดีของเขาก็กลายเป็นความจริง
รถม้าสองคันนั้นไล่ตามขึ้นมาจากด้านหลัง ด้านนอกห้องโดยสารของรถม้าคันหนึ่ง มีคนผู้หนึ่งยืนสง่าอยู่ อาภรณ์สีม่วงโบกสะบัด หน้ากากเงินส่องประกายอยู่ท่ามกลางแสงอัสดงยามย่ำค่ำ
ตี้ฝูอี! เขาไม่ได้จากไปจริงๆ แต่ตรงไปช่วยลูกน้องของเขาออกมา!
ยามนี้ตี้ฝูอียืนอยู่ตรงนั้น ในมือจับผู้อาวุโสหลงคนนั้นไว้ ดูเหมือนหลงฟั่นจะได้รับบาดเจ็บแล้ว มีโลหิตไหลซึมตรงมุมปาก ถูกชูไว้ด้านหน้าตี้ฝูอีประหนึ่งท่อนไม้ ทำตัวเป็นโล่ป้องกันที่ว่านอนสอนง่ายชิ้นหนึ่ง
และบนรถม้าอีกคัน สารถีดั้งเดิมผู้นั้นหายไปแล้ว ถูกแทนที่ด้วยใบหน้าอึมครึมเคียดแค้นของกู่ฉานโม่ บัดนี้ได้ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้นปานหอคอยเหล็ก กำลังมองมาที่ด้านในของรถม้าคันนี้อย่างเย็นชา
ชัดเจนยิ่งนักว่ากู่ฉานโม่ก็ซ่อนตัวอยู่ในรถม้าคันนั้นด้วย น่าจะเป็นกำลังลับที่ตี้ฝูอีจัดวางไว้ เห็นได้ชัดว่าลูกน้องที่ได้รับบาดเจ็บสองคนนั้นของตี้ฝูอีก็ได้รับการช่วยเหลือแล้วเช่นกัน…
สถานการณ์ไม่เป็นใจต่อเขายิ่งนัก หัวใจของโม่จ้าวค่อยๆ ดำดิ่งลง หรี่ตามองตี้ฝูอี “ตี้ฝูอี เจ้าจะทำอะไร?”
—————————————–
บทที่ 1130 แม้แต่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยังปลอมเป็นสตรีได้
ตี้ฝูอีก็ตรงไปตรงมาเช่นกัน “พวกเรามาเจรจากัน!”
โม่เยิ้มนิดๆ เห็นได้ชัดว่ายามนี้เขาตกเป็นรองแล้ว ทว่ามิได้ลนลานเลย “เจรจาอะไร?”
ตี้ฝูอีถอนหายใจ “เจ้าก็ดูเฉลียวฉลาดยิ่งนัก เหตุใดจึงถามคำถามโง่ๆ เช่นนี้เล่า? แน่นอนว่าเป็นการเจรจาเรื่องแลกเปลี่ยนตัวประกัน ตอนนี้คนของเจ้าอยู่ในมือข้าสามคน สามคนนี้สำคัญกับเจ้าแค่ไหนคงไม่ต้องให้ข้าพูดมากกระมัง? ข้าจะใช้สามคนนี้แลกตัวกู้ซีจิ่ว เจ้าเห็นว่าอย่างไร?”
โม่เจ้าหลุบตาลง ความสำคัญของหลงฟั่นไม่จำเป็นต้องกล่าวให้มากความ การฟื้นคืนชีพของเขายังขึ้นอยู่กับหลงฟั่น ถ้าไม่มีหลงฟั่นเขาจะไม่มีร่างกายที่เป็นของตนอย่างแท้จริงไปตลอดกาล และอีกสองคนที่เหลือล้วนเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะของฝ่ายเขา พลังยุทธ์เกือบบรรลุขั้นเก้าแล้ว ต่างคนต่างมีความสามารถเฉพาะตัว เป็นกำลังสำคัญในการกรีธาทัพยึดครองใต้หล้าให้เขา
เพื่อมิให้ดึงดูดความสนใจของคนฝ่ายธรรมมะ กองกำลังกว่าร้อยสิบคนที่โม่เจ้าพาไปจึงต้องแยกย้ายกันกลับมา
เนื่องจากรถม้าสามคันนี้ต้องบรรทุกตัวเชลย ดังนั้นภายในรถม้าทุกคันจึงจัดวางลูกน้องไว้สองคน คนหนึ่งบังคับรถ อีกคนจับตามองเชลยในห้องโดยสาร
ในรถม้าของเขาคันนี้จัดวางสารถีไว้เพียงหนึ่งคน รถม้าคันนั้นขงหลงฟั่นก็มีลูกน้องคนเดียวที่คอยบังคับรถม้า
เมื่อนับรวมหลงฟั่นที่อยู่ด้านในด้วย มีลูกน้องติดตามกลับมาทั้งหมดห้าคน
แต่ยามนี้ตกอยู่ในเงื้อมมือของตี้ฝูอีสามคน ไม่จำเป็นต้องถามเลย อีกสองคนที่เหลือถูกลูกน้องทั้งสองคนของตี้ฝูอีสังหารและเข้าแทนที่ไปแล้ว กู่ฉานโม่ที่โผล่มาอย่างกะทันหันก็คือหลักฐานที่ดีที่สุด
เขาเชิดหน้าขึ้น “ครั้งนี้ผู้ที่ปะปนมาในรถของข้าคงจะยังมีอีกคนกระมัง? ออกมาเถิด! ให้ข้าได้ยลว่าเป็นคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ใดกัน!”
บนรถม้าคันนั้นของหลงฟั่น ม่านรถพลันเลิกขึ้น คนผู้หนึ่งเดินออกมาอย่างเอกเย็น สวมอาภรณ์สีดำราวกับน้ำหมึก สวมหน้ากากเงินทรงผีเสื้อ บดบังครึ่งหน้าส่วนบนเหนือริมฝีปากขึ้นไปเอาไว้ เผยให้เห็นเพียงริมสีฝีปากซีดจาง เรือนกายสูงโปร่งดั่งต้นอวี้ หลังจากเขาออกมา ก็มองโม่เจ้าอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร เป็นทูตสวรรค์ฝ่ายขวาเทียนจี้เยวี่ย
โม่เจ้าตะลึง
เขาร้องเหอะคราหนึ่ง ไม่ทราบว่าเป็นการหัวเราะหรือว่าเยาะหยัน “ที่แท้ทูตสวรรค์ซ้ายขวาก็มีช่วงเวลาที่ร่วมมือกันด้วยสินะ!”
ทูตสวรรค์ซ้ายขวาขึ้นชื่อว่าไม่ถูกกัน ก่อนหน้านี้ยังเคยต่อสู้กันด้วย เมื่ออยู่ต่อหน้าทูตสวรรค์ฝ่ายขวาเทียนจี้เยวี่ยแทบจะเอ่ยถึงทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไม่ได้เลย หากกล่าวถึงเขาจะจากไปอย่างไม่ไว้หน้าเลย ตอนที่โม่เจ้าเป็นหรงเช่อ ก็รู้ดียิ่งกว่าใครว่าสองคนนี้เข้ากันไม่ได้ยิ่งกว่าน้ำแข็งกับไฟเสียอีก เมื่อก่อนเขายังคิดกระทั่งว่าจะดึงตัวทูตสวรรค์ฝ่ายขวามาเข้าพวกกับตน เคยตีสนิทกับเขาอย่างเจตนาและไม่เจตนา ที่แท้แล้วเรื่องที่บอกว่าพวกเขาไม่ถูกกันกลับเป็นเรื่องเท็จ ดูเหมือนจะเป็นการแสดงละครเช่นกัน!
เทียนจี้เยวี่ยเอ่ยอย่างเฉยเมย “ความขัดแย้งระหว่างข้ากับเขาเป็นเรื่องส่วนตัว แต่การปราบมารพิทักษ์คุณธรรมกลับเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของข้ากับเขา ร่วมมือกันแล้วมีอันใดน่าประหลาดเล่า?”
โม่เจ้ายกมุมปากขึ้น “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายขวาผู้สูงส่งทะนงตนมาโดยตลอดไม่น่าเชื่อว่าจะยอมลดตัวลงมาปลอมเป็นสารถี ลำบากท่านแล้ว”
น้ำเสียงเทียนจี้เยวี่ยรายเรียบไร้ระลอกอารมณ์ “แม้แต่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยังปลอมเป็นสตรีได้ ข้าปลอมเป็นสารถีแล้วมีอันใดน่าประหลาดกัน?”
โม่เจ้าพูดไม่ออกแล้ว
เขามองเทียนจี้เยวี่ยกับกู่ฉานโม่ เดาได้แล้วว่าพวกเขาเข้าแทนที่ผู้ใด
สองคนนี้เคยปลอมตัวเป็นลูกน้องของเขาสกัดกั้นมู่อวิ๋นและมู่เหล่ยไว้ในภัตตาคาร แทงมู่อวิ๋นกับมู่เหล่ยจนบาดเจ็บแล้วจับตัวไว้…
เนื่องจากลูกน้องสองคนนี้ที่พวกเขาปลอมตัวเป็นยามปกติล้วนเป็นผู้ที่จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ทุกครั้งที่ลงมือหากคนไม่พิการจะไม่เลิกรา ดังนั้นเมื่อสองคนนี้เป็นกำลังหลักที่จับกุมมู่อวิ๋นกับมู่เหล่ย โม่เจ้าจึงวางใจยิ่งนัก ไม่ได้ไปดูอาการของมู่อวิ๋นกับมู่เหล่ยเลย ทราบเพียงว่ายามนั้นพวกเขาโลหิตไหลท่วมร่าง บาดเจ็บสาหัส พร้อมสิ้นชีพได้ทุกเมื่อ
————————————————–