บทที่ 1191 จากไป (1)
ทั่วทั้งวังใต้พิภพเริ่มมีลาวาไหลหลากแล้ว เวลานี้ไม่มีเวลามาพูดนอกเรื่อง ทุกคนทยอยขึ้นเรือ ในที่สุดกู้ซีจิ่วโล่งอกทันทีที่ปิดประตูเรือเรียบร้อย
แผนการของตี้ฝูอีรอบคอบยิ่งนัก แม้แต่เรือพวกนี้ก็ควบคุมไว้ได้เช่นกัน ไม่แปลกใจเลยที่จนถึงตอนนี้ เขาเพิ่งจะเริ่มต่อสู้กลับ
เธอมองออกไปด้านนอก วังใต้พิภพจมอยู่ภายใต้ลาวา รอบด้านล้วนเป็นเสียงระเบิดกับเสียงกะเทาะ ความรุนแรงแผ่ซ่านทำให้คนตกตะลึง
วังใต้พิภพแห่งนี้นับได้ว่าเป็นน้ำพักน้ำแรงของหลงฟั่น บัดนี้กลับถูกทำลายในชั่วข้ามคืน…
พวกองครักษ์ภายในวังใต้พิภพส่วนมากถูกฝังอยู่ในนี้ ลูกน้องที่ตี้ฝูอีช่วยออกมามีเพียงหกคน ตอนนี้อยู่ในเรืออีกลำ…
บนเรือลำนี้ของกู้ซีจิ่วมีสี่คน มีเธอ ตี้ฝูอี หลงซือเย่ และแม่นางชุดเหลืองท่านนั้น
แม่นางชุดเหลืองท่านนั้นเป็นคนกระฉับกระเฉง ทำการสิ่งใดแคล่วคล่องว่องไว นางขับเรือนั้นได้ไม่เลวเลยทีเดียว แต่มีโคลงเคลงไปบ้าง
“นายท่าน ศึกครั้งนี้ปรีดายิ่งนัก! แทบจะนับได้ว่าทำลายฐานลับมารสวรรค์ได้โดยไม่เสียเลือดเสียเนื้อ! วันนี้ข้าน้อยมาบังคับเรือที่ซับซ้อนนี้ให้ ข้าน้อยศึกษาอยู่หนึ่งวันเต็มในที่สุดก็ขับเป็นแล้ว!” นี่คือคำพูดแรกที่นางพูดกับตี้ฝูอีหลังจากขึ้นเรือ
คำพูดที่สองคือพูดกับกู้ซีจิ่ว “แม่นางกู้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก! ลอบสังหารมารสวรรค์นั้นได้ หากไม่ใช่เพราะแม่นางแทงเขานั้น คาดว่าเขาคงไม่ยอมแพ้อย่างง่ายดายขนาดนั้น พวกเรายังต้องออกแรงกันอีกไม่น้อยทีเดียว”
นางสนใจวิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาของกู้ซีจิ่วอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์คึกคัก “ตอนแม่นางกู้แย่งกระบี่มาจากสองคนนั้นใช้วิชาตัวเบาใช่หรือไม่? รวดเร็วเหลือเกิน! ข้าไม่เคยเห็นวิชาไหนรวดเร็วขนาดนี้มาก่อน…”
“หุบปาก ขับเรือ!” กู้ซีจิ่วยังไม่ทันได้ตอบรับการทักทายของแม่นางผู้นี้ ตี้ฝูอีก็เอ่ยปากอย่างอ่อนเพลีย
แม่นางชุดเหลืองลูบจมูกเล็กน้อย ตอบรับไปหนึ่งที “เจ้าค่ะ นายท่าน”
นางยังไม่ลืมแนะนำตัวเองต่อกู้ซีจิ่วก่อนหันหลังกลับไป “แม่นางกู้ ข้าชื่อหลีเมิ่งซย่า ท่านเรียกข้าว่าเสี่ยวหลีหรือเสี่ยวซย่าก็ได้”
หลังจากแนะนำตัว นางก็ไม่กล้าพูดมากอีกแล้ว หันกลับไปขับเรือทันใด
ถึงตอนนี้ กู้ซีจิ่วเพิ่งจะมีเวลาพูดคุยกับหลงซือเย่ “ครูฝึกหลง ครั้งนี้ลำบากท่านแล้วจริงๆ บุญคุณครั้งนี้ยิ่งใหญ่นัก ข้าจะจดจำไว้…”
สิ่งที่หลงซือเย่ใช้แปลงโฉมในครั้งนี้ยากที่จะขจัดออก ดังนั้น เขายังคงมีหน้าตาอัปลักษณ์ของหมอหลี่อยู่ แต่ท่าทางเปลี่ยนไปแล้ว รูปลักษณ์ที่เดิมทีอัปลักษณ์กลับมีความโดดเด่นเยือกเย็นอยู่ลางๆ
หลังจากขึ้นเรือมาก็ก้มหน้าก้มตา เสมือนภิกษุเฒ่าผู้เข้าสู่ห้วงสมาธิ
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของกู้ซีจิ่ว เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “ซีจิ่ว เจ้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจ เรื่องราวครั้งนี้เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ข้าก่อขึ้น ต่อให้ต้องเสี่ยงชีวิตนี้ก็เหมาะสมแล้ว”
กู้ซีจิ่วรู้สึกสับสน แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกพึงพอใจเช่นกัน
เธอถูกหลงซือเย่ทรยศถึงสองครั้ง หากบอกว่าไม่เสียใจก็โกหกแล้ว
ต่อให้ความรู้สึกที่เธอมีต่อเขาไม่ใช่ความรัก แต่นั่นก็เป็นมิตรภาพอันลึกซึ้ง ไม่มีใครไม่เสียใจเมื่อถูกเพื่อนทรยศ เพียงแต่เธอไม่เคยแสดงมันออกมาก็เท่านั้น
ด้วยเหตุที่ถูกทรยศถึงสองครั้ง เธอจึงไม่มีทางใจเชื่อใจเขาได้อีก ดังนั้นหลังจากที่หนีออกไปครั้งที่แล้ว เธอจึงรีบไล่หลงซือเย่ไป เพราะไม่อยากข้องเกี่ยวกับเขาและไม่อยากคอยระแวดระวังเขา แค่อยากลืมเลือนกันอย่างสิ้นซากที่เจียงหู ไม่ต้องพบเจอกันอีกนับแต่นี้ต่อไป
คาดไม่ถึงว่าเขายังกลับมา และยังกลับมาด้วยรูปโฉมเช่นนี้
ตอนเขาปลอมตัวเป็นหมอหลี่ กู้ซีจิ่วเคยเจอเขาอยู่สองสามครั้ง ยังเคยพูดคุยกับเขาสองสามคำอีกต่างหาก แต่กลับจำเขาไม่ได้ แสดงให้เห็นว่าเขามุมานะบากบั่นมากจริงๆ
—————————————————-
บทที่ 1192 จากไป (2)
“นั่นเพราะเจ้าถูกควบคุม จะโทษเจ้าไม่ได้” กู้ซีจิ่วพูดพลางยื่นมือออกไปทางหลงซือเย่ “ข้าเพียงหวังว่าเรายังคงเป็นเพื่อนกันได้!”
หลงซือเย่ดึงริมฝีปาก ส่งเสียงอืม ยื่นมือไปจับมือเธอเบาๆ “ยังคงเป็นเพื่อนกัน!”
ถึงแม้เขาไม่ต้องการเป็นเพื่อนของเธอมาก่อน แต่วันนี้เมื่อเห็นปฏิกิริยาโต้ตอบของเธอกับตี้ฝูอี เขาก็เข้าใจว่าเขาคงไม่มีความหวังใดอีกแล้ว
บางทีเขาอาจไม่เคยมีความหวังมาก่อนก็ได้
ไม่ว่าเขาทำไปเพราะอะไร ทั้งหมดของเขาและเธอถูกกำหนดให้ไม่มีวันหวนกลับคืนตั้งแต่วินาทีที่เธอถูกวางยาสลบ หลอกขึ้นเตียงผ่าตัดในชาติก่อนแล้ว
ชาตินี้ถึงแม้ว่าเขาจะได้พบกับเธออีก แต่กลับหมดบุญวาสนาต่อกันแล้วจริงๆ
เมื่อจับมือจบสิ้นบุญคุณและความแค้น จากนี้ไปพวกเขาก็เป็นได้เพียงแค่เพื่อนกัน
ตี้ฝูอีที่นั่งอยู่ด้านข้างมองเห็นกู้ซีจิ่วจับมือกับหลงซือเย่ เขาไม่ได้หึงหวง เพียงแค่เท้าคางมองดู จ้องมองสายตาของกู้ซีจิ่วฉายแววแห่งความสนุก
เมื่อสักครู่ ภายใต้สถานการณ์อันตรายขนาดนั้น เด็กคนนี้ปกป้องเขาราวกับแม่ไก่ปกป้องลูกน้อย หาญกล้าต่อกรกับนกเหยี่ยว
แม้หลังจากลาวาปะทุ นางลากเขาวิ่งหนีอย่างตื่นตระหนก ไม่ยอมลดละแม้แต่น้อย แทบจะเคลื่อนย้ายในพริบตาออกมา ทว่าหลังจากขึ้นเรือแล้วเขาสงบลง นางก็ไม่สนใจเขาอีกเลย พูดคุยกับหลีเมิ่งซย่า ทักทายหลงซือเย่…
ไม่ชายตามองเขาเลย!
เหมือนว่าเด็กคนนี้จะโกรธเขา ตี้ฝูอียกมือขึ้นเคาะหว่างคิ้ว นางคงจะโกรธที่เขาวางหมากไว้มากมายขนาดนี้แต่กลับไม่เผยความลับให้นางรู้แม้แต่น้อยกระมัง?
เช่นนั้น เขาต้องปลอบโยนนางก่อนหรือไม่? นางจะได้ไม่วิ่งหนีไปทันทีที่ขึ้นฝั่ง…
เขากระแอมเสียงเบาๆ หนึ่งครั้ง “ซีจิ่ว หมากครั้งนี้ข้าไม่ได้ตั้งใจปิดบังเจ้า…”
กู้ซีจิ่วหันหลังกลับมามองเขาแล้วเลิกคิ้วสูง “เอ๊ะ?”
ขณะที่ตี้ฝูอีกำลังเรียบเรียงคำพูด กู้ซีจิ่วพูดพลางคล้ายจะยิ้มมิเชิงยิ้ม “ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้ตั้งใจปิดบังข้า เนื่องด้วยหมากนี้ท่านก็ค่อยๆ วางแผนมันออกมาเช่นกัน ไม่ได้วางแผนอย่างดีไว้แต่แรกเหมือนที่โม่เจ้าพูด อีกทั้งข้าในตอนนั้นก็ยังโง่เขลา ถ้าหากบอกหมากนี้กับข้า ข้าอาจไปบอกโม่เจ้า สิ่งเหล่านี้ข้ารู้และข้าก็เข้าใจได้ ท่านไม่จำเป็นต้องอธิบาย”
ตี้ฝูอีกโล่งอกไปที คลายคิ้วขมวด “ช่างเป็นแม่นางที่เฉลียวฉลาดอย่างที่คิด! เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าหมากนี้ข้าค่อยๆ คิดออกมา?”
กู้ซีจิ่วดึงริมฝีปาก “มันก็ไม่ยากที่จะคาดเดา หากคนของท่านแทรกซึมมานานแล้ว พวกเราคงไม่เสียเวลาด้านในมากมายขนาดนี้ ท่านก็ไม่ต้องถูกตรึงด้วยตรวนสลายวิญญาณไปเก้าวัน”
เธอกอดอก วิเคราะห์ตั้งแต่แรกเริ่ม “ข้าว่าคนที่แทรกซึมเข้ามาตอนแรกคงมีแต่ครูฝึกหลงกระมัง?”
เพิ่งเริ่มก็คาดเดาถูกเสียแล้ว! ตี้ฝูอีเริ่มสนใจขึ้นมา “พูดต่อไป”
“โม่เจ้าผู้นี้ขี้สงสัยนัก ในเมื่อเขาดูออกก่อนแล้วว่าตอนนั้นท่านปลอมตัวเป็นสตรีบรรเลงผีผา ย่อมคาดเดาได้ว่าคนของท่านแทรกซึมเข้ามาในหมู่ลูกน้องเขาแล้ว เมื่อกลับถึงวังใต้พิภพ ก็ต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวด ลูกน้องท่านต่อให้แทรกซึมเข้ามาได้ก็ยากที่จะผ่านการตรวจสอบ ดังนั้น ก่อนที่ท่านจะโดนจับตัวมาต้องออกคำสั่งให้ลูกน้องที่แทรกซึมเข้ามาเหล่านั้นไม่ต้องปลอมตัวอีกต่อไป เมื่อเรื่องราวคลี่คลายค่อยหาโอกาสเคลื่อนไหวใหม่อีกครั้ง…”
ตี้ฝูอีพยักหน้า “ไม่เลว! ข้าเคยออกคำสั่งเช่นนี้จริง หลังจากนั้นเล่า?”
“ลูกน้องท่านอาจจะฟังคำสั่งท่าน แต่ครูฝึกหลงไม่ฟัง เขายังแทรกซึมเข้ามา พวกที่ติดตามโม่เจ้าออกจากวังใต้พิภพไปเคยถูกขังไว้ที่ห้องโถงแล้วสามถึงห้าวัน เพื่อการตรวจสอบอย่างละเอียด ดังนั้น หลังจากครูฝึกหลงออกมาได้ค่อยเริ่มติดต่อท่าน…”
ตี้ฝูอีทอดถอนใจ “เขาติดต่อข้ามาในวันที่สี่ เขาเข้ามาเยาะเย้ยท่าทางน่าสมเพชของข้าไม่กี่คำ ทำให้ข้าจำเขาได้…”
——————————————-