บทที่ 1229 ไม่หรอก!
กู้ซีจิ่วมั่นใจในการขับร้องของตนมาก ต่อให้ไม่ก้องสะท้อนอยู่สามวัน[1] แต่ถ้าเทียบกับหญิงสาวที่ร้องได้ดีที่สุดบนเวทีในยามนี้แล้ว เธอยังเหนือกว่าอยู่เล็กน้อย
กู้ซีจิ่วรีบไปลงชื่อที่หลังเวที ต้องการประชัน
อันที่จริงถึงแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นการแข่งขันร้องเพลง ผู้ใดก็สามารถเข้าร่วมได้ทั้งนั้น แต่เนื่องจากเป็นการแข่งร้องเพลงในงานชุมนุมบุปผา กติกาย่อมแตกต่างจากยามปกติเป็นธรรมดา ผู้ที่เข้าแข่งขันร้องเพลงล้วนป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงของเผ่าเงือก ชาวเงือกทั่วไปไม่มีทางกล้าไปรนหาที่อับอายขายขี้หน้าเช่นนี้
นักร้องที่อยู่บนเวทีสุ่มเลือกออกมาสักคนก็ล้วนเป็นนักร้องดาวเด่นของเผ่าเงือกทั้งสิ้น ร้องส่งๆ ออกมาสักเพลงก็ก่อให้เกิดเสียงกรีดร้องชื่นชมได้แล้ว
ดังนั้นเมื่อกู้ซีจิ่วเข้าไปลงชื่อ เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเรื่องการรับสมัครจึงประหลาดใจอย่างยิ่ง เนื่องจากพวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเธอมาก่อนเลย…
ยิ่งไปกว่านั้นคือกู้ซีจิ่วยังเป็นชาวมนุษย์ขนานแท้อีกด้วย ชาวมนุษย์ที่เข้าร่วมงานชุมนุมบุปผาว่าพบเห็นได้น้อยยิ่งนักแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมนุษย์ที่แล่นมาแข่งร้องพลงบนเวทีเลย
แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่คนนี้ประหลาดใจก็ส่วนประหลาดใจ ทว่าไม่ได้ขัดขวางเธอ เพียงเกลี้ยกล่อมเธออย่างหวังดีประโยคหนึ่ง “แม่นางน้อย ที่นี่ถ้าร้องดีจะได้เงิน ถ้าร้องไม่ดีจะถูกปาไข่เต่าใส่นะ”
การปาไข่เต่าของที่นี่ไม่ต่างจากการปาไข่เน่าของแดนมนุษย์เลย เป็นการดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น
กู้ซีจิ่วเพียงยิ้มบางๆ แวบหนึ่ง กล่าวสั้นๆ สองคำ “ไม่หรอก!”
เจ้าหน้าที่คนนั้นส่ายหน้า บันทึกลงไปอย่างไม่อาจทำอย่างไรได้
เขาย่อมไม่ได้มองกู้ซีจิ่วในแง่ดี รู้สึกว่าสาวน้อยชาวมนุษย์คนนี้ช่างไม่ประมาณตนเหลือเกิน ประเดี๋ยวยามที่ถูกไข่เต่ากระทบร่างนางก็จะรู้เองว่าอะไรคือการอับอายขายขี้หน้าคน…
ไข่เต่าที่ปาขึ้นไปบนเวทีของที่นี่ล้วนเป็นไข่เน่าของเต่าชนิดหนึ่ง เต่าชนิดนี้ต่อให้ไม่ได้ผสมพันธุ์ก็วางไข่ได้ ไข่ที่วางไม่อาจฟักออกมาเป็นเต่าน้อย และไม่สามารถกินได้ เมื่อแตกจะมีกลิ่นเหม็นที่พิลึกพิลั่นเป็นอย่างยิ่ง ซ้ำยังล้างออกยากด้วย…
เนื่องจากต้องเรียงลำดับ ดังนั้นหลังจากกู้ซีจิ่วลงชื่อแล้ว ก็ชมอยู่ด้านล่างเวลาอีกพักใหญ่ มองเห็นนักร้องคนหนึ่งซึ่งน่าจะประหม่าเกินไป ยามที่ร้องเพลงจึงหลุดทำนองไปช่วงสองช่วง ผลคือไม่เพียงแต่ไม่ได้รับไข่มุกเท่านั้น ยังถูกปาไข่เต่าใส่ด้วย
ไข่ขาวไข่แดงเปื้อนทั่วร่างนักร้องคนนั้นกระโดดลงไปจากเวทีด้วยสีหน้าซีดเซียว หนีไปท่ามกลางเสียงโห่ร้องของผู้คน
อยู่ห่างออกไปก็ยังได้กลิ่นเหม็นนั้นอยู่ เหม็นเน่ายิ่งกว่ากลิ่นซากศพเสียอีก
กู้ซีจิ่วลูบจมูก ระยะนี้เธอค่อนข้างอ่อนไหวต่อกลิ่นเหม็นอยู่บ้าง ได้กลิ่นสิ่งนี้แล้วเธออึดอัดใจ
โชคดีที่คนที่ถูกปาไข่เต่าผู้นั้นจากไปแล้ว ตอนนี้คนที่ยืนอยู่บนเวทีคือหนุ่มหล่อที่ดูรูปงามยิ่งนักผู้หนึ่ง เส้นผมมิได้เป็นสีฟ้าเหมือนชาวเงือก เขามีเรือนผมยาวสีเขียวเข้ม ยาวสยายเหมือนสาหร่ายทะเล เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนดังของที่นี่ พอขึ้นเวทีก็ชนะด้านเสียงปรบมือทันที ยังไม่ทันอ้าปากร้องก็มีสาวน้อยโยนไข่มุกขึ้นมาบนเวทีแล้ว ไข่มุกมีสีขาวน้ำนม โปรยปรายลงบนเวทีดั่งหิมะตก กลิ้งเกลื่อนกลาดเต็มเวที
จากเสียงพูดคุยของฝูงชนรอบข้าง กู้ซีจิ่วจึงทราบว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงที่สุดของเผ่าเงือก และมีความหวังที่สุดว่าจะได้รับรางวัล เป็นขวัญใจของประชาชนชาวเงือก
กล่าวกันว่านอกจากประมุขเงือกแล้ว เขาเป็นคนที่ได้รับความนิยมที่สุดในเผ่าเงือก และเป็นชายในฝันของเหล่าหญิงสาวนับไม่ถ้วน ปกติพบเห็นได้ยากนัก พบเห็นเงาร่างของเขาได้แค่ที่งานชุมนุมบุปผาแห่งนี้เท่านั้น และของรางวัลก็เป็นสิ่งที่เขาสนใจ ร่ำลือกันว่าขอเพียงเขาเข้าร่วมการแข่งร้องเพลงเช่นนี้ คนอื่นก็หมดโอกาสแล้ว
กู้ซีจิ่วมองไปรอบๆ เป็นความจริงที่ว่าพอเด็กหนุ่มคนนี้ขึ้นเวที หน้าเวทีก็มีคนเนืองแน่นมากกว่าเดิม สามารถใช้คำว่าผู้คนล้นหลามมาบรรยายได้ เทียบได้กับคอนเสิร์ตรอบพิเศษของนักร้องชื่อดังยุคปัจจุบันเลย
เด็กหนุ่มคนนั้นนามว่าหลานเฝ่ย เมื่อเขาอ้าปากร้องรอบข้างก็เงียบสงบลง
———————————————————————
บทที่ 1230 มาที่นี่เป็นครั้งแรกใช่หรือไม่?
เขาเป็นบุรุษที่มีเสียงโทนกลาง ใสกระจ่าง แจ่มชัด มีจังหวะจะโคน เสมือนสายลมโชยผ่านคลื่นสมุทร ระลอกคลื่นซัดสู่ฝั่ง ฟองคลื่นสีขาวราวหิมะสาดกระเซ็น
ผู้คนที่อยู่ด้านล่างเวทีฟังจนตกอยู่ในภวังค์หลงลืมตัวตน ทุกคนต่างกลั้นหายใจ ด้วยเกรงว่าถ้าหายใจดังไป จะขัดจังหวะเสียงสวรรค์เช่นนี้เอาได้
ด้านหลังเวทีมีพิณโบราณบรรเลงทำนองให้เขา ทำนองพิณเนิบนาบ เมื่อคลอกับเสียงเพลงของเขาก็ส่งเสริมเต็มกันและกัน
เมื่อบทเพลงจบลง ฝูงชนจึงพ่นลมหายใจออกมา
ไข่มุกมากมายนับไม่ถ้วนร่วงลงบนเวทีประหนึ่งสายฝน เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นมีวรยุทธ์ เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไข่มุกพวกนั้นสาดเทไปทั่วชัดๆ ทว่าไม่มีสักเม็ดเลยที่กระทบโดนตัวเขา
กู้ซีจิ่วยืนอยู่ค่อนไปทางด้านหน้าอยู่บ้าง ผู้คนรอบตัวเธอตะโกนชื่อหลานเฝ่ยออกมาเสมือนบ้าคลั่ง โปรยเงินออกมาอย่างบ้าคลั่ง
และเนื่องจากกู้ซีจิ่วไม่มีเงิน จึงยืนมองอยู่ตรงนั้น ทำได้เพียงปรบมือแปะสองแปะ
เนื่องจากฝูงชนรอบข้างขับให้ดูเด่นชัด กู้ซีจิ่วที่ดูสุขุมเยือกเย็นเช่นนี้จึงดูผิดแผกแปลกแยกไปอย่างเห็นได้ชัด นักร้องนามหลานเฝ่ยผู้นั้นเดิมทีมองทุกสิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย เงินทองมากมายโปรยปรายลงมาเช่นนี้ ขนตาของเขากลับไม่แม้แต่จะขยับเลย จิตใจเยอกเย็น สงบนิ่งดั่งขุนเขา
ทันใดนั้นเอง สายตาเขาพลันร่อนลงบนร่างกู้ซีจิ่ว สบตากับเธอแวบหนึ่ง กู้ซีจิ่วสบตากับเขาอย่างใจกว้างผ่าเผย หยักยิ้มให้เขาแวบหนึ่งอย่างเป็นมิตร
คิ้วของหลานเฝ่ยขยับเล็กน้อย ยกมือขึ้น ทำท่าอย่างหนึ่ง ฝูงชนรอบข้างเงียบลงในทันใด
“แม่นางท่านนั้น…” จู่ๆ หลานเฝ่ยก็เอ่ยขึ้น “มิพึงใจกับบทเพลงที่หลานเฝ่ยขับร้องหรือ?” น้ำเสียงยามพูดของเขาใสพิสุทธิ์ยิ่งนัก ดึงดูดปานก้อนหยกกระทบกัน
กู้ซีจิ่วมองซ้ายมองขวา จากนั้นมือน้อยๆ ก็ชี้เข้าที่ตน “ท่านถามข้าหรือ?”
หลานเฝ่ยพยักหน้า “มิผิด”
กู้ซีจิ่วเอ่ยถามอย่างใสซื่อ “ท่านมองจากตรงไหนว่าข้าไม่พอใจบทเพลงของท่าน?
“เจ้าสงบเยือกเย็นยิ่งนัก เพียงใช้ฝ่ามือกระทบกันสองครั้งจนเกิดเสียงคล้ายว่าเป็นสัญญาณ”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก ที่แท้เขารังเกียจที่เธอไม่บ้าคลั่งเหมือนแฟนคลับของเขานี่เอง
“ข้าไม่มีเงิน” กู้ซีจิ่วตอบไปตามจริง “ดังนั้นจึงโยนไข่มุกให้ท่านไม่ได้”
ฝูงชนเงียบกริบ
นิสัยของชาวเงือกชมชอบความหรูหรา ส่วนใหญ่ล้วนมั่งมีกันทั้งสิ้น ต่อให้เป็นคนที่ยากจนที่สุดก็ยังพกไข่มุกหนึ่งร้อยแปดสิบเม็ดติตัวอยู่เสมอ อีกทั้งพวกเขารักหน้ายิ่งนัก ต่อให้ข้นแค้นจนไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ ก็จะไม่ยอมให้ผู้อื่นมองออกเด็ดขาด ทาน้ำมันปลาลงบนปากสักหน่อยก็สามารถแสดงให้เห็นว่าความเป็นอยู่ของเขาดียิ่งนักได้แล้ว เสื้อผ้าที่สวมก็จะด้อยไม่ได้
ประเภทที่กล่าวออกมาต่อหน้าสาธารณชนว่าตนไม่มีเงินเช่นนี้ เพิ่งมีกู้ซีจิ่วเป็นรายแรก
หลานเฝ่ยไม่ถอดใจ “ไข่มุกสักเม็ดเจ้าก็ไม่มีเลยหรือ?”
กู้ซีจิ่วยิ้มอย่างกระดากยิ่งนัก “ไม่มีสักเม็ดเลยจริงๆ”
หลานเฝ่ยพูดไม่ออกแล้ว
มีเสียง ‘ฮู้’ แว่วมาจากฝูงชน คงจะเป็นเพราะไม่เคยเห็นคนที่ยากจนข้นแค้นก็แสดงออกมาตรงๆ อย่างกู้ซีจิ่วมาก่อน อีกอย่างดูจากเสื้อผ้าที่นางสวมใส่แล้วเห็นได้ชัดว่าเป็นหญิงสาวสูงศักดิ์ แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรสักแดงเดียวก็ไม่มีเลย?
หลานเฝ่ยคล้ายจะนึกอะไรขึ้นได้ “เจ้ามาที่นี่เป็นวันแรกและครั้งแรกใช่หรือไม่?”
“มิผิด”
มีเสียง ‘ฮู้’ ดังมาจากฝูงชนรอบข้างอีกครั้ง
“เช่นนั้นที่แม่นางมาดูการแข่งร้องเพลงก็เป็นการมาชมเรื่องครื้นเครงโดยเฉพาะสินะ?”
“ไม่ ข้ามาหาเงิน” กู้ซีจิ่วยังคงตอบไปตามจริงเช่นเดิม
หลานเฝ่ยยิ้มออกมาอย่างอดไว้ไม่อยู่ “แม่นางคิดจะหาเงินอย่างไรเล่า?”
“ร้องเพลง”
ฝูงชนทึ่มทื่อไปแล้ว…
เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเรื่องการลงสมัครจึงเอ่ยปากขึ้น “แม่นางท่านนี้ก็มาลงชื่อเข้าร่วมการแข่งร้องเพลงเช่นกัน แม่นางกู้ พอดีเลย ตาท่านขึ้นเวทีแล้ว”
สายตานับไม่ถ้วนกวาดผ่านร่างของกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของฝูงชนดังหึ่งๆ หัวข้อวิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าหัวข้อจำพวก ‘เด็กสาวชาวมนุษย์ผู้นี้ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเอาเสียเลย กล้ามาร่วมการแข่งขันร้องเพลงในงานชุมนุมบุปผา’
——————————————————————
[1] วลีนี้มาจากเรื่องเล่าปรัมปราของชาวจีน กล่าวถึงนักร้องสาวชาวเกาหลีในยุคชุนชิวคนหนึ่งที่มีเสียงไพเราะเลิศล้ำ เมื่อได้ฟังบทเพลงของเธอถึงจะผ่านไปสามวันแล้วก็รู้สึกว่าเสียงเพลงนั้นยังกังวานอยู่ในหู ความไพเราะไม่เลือนหายไป