บทที่ 1251 อันที่จริงแล้วต้องการครอบครองยิ่งนักจริงๆ!
กู้ซีจิ่วดึงแขนเสื้อเขาไว้ “ท่านหาทางคืนร่างเดิมให้ข้าได้หรือไม่? ข้ายังคงชอบร่างนั้นที่สุดจริงๆ ข้าไม่ได้คุยกับเสี่ยวชางมานานมากแล้ว มีเพียงข้าใช้ร่างนั้นถึงจะสื่อสารกับมันได้สะดวก…”
แววตาตี้ฝูอีมืดมนลงเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มออกมาทันทีแล้วเอ่ยว่า “เด็กโง่ ร่างในยามนี้ของเจ้าเหนือกว่าร่างนั้นมากแล้ว ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก เจ้าดูสิรูปลักษณ์ของเจ้าในยามนี้สิถึงจะเข้ากับจิตวิญญาณเดิมของเจ้า เหมาะสมกับเจ้าแล้ว…”
กู้ซีจิ่วเม้มปากนิดๆ “แต่ข้าชอบร่างนั้น ร่างนั้นสิถึงจะเป็นร่างเดิมของข้าไม่ใช่หรือไง?”
ตี้ฝูอีเงียบไปครู่หนึ่ง แววตาที่มองเธอค่อนข้างลุ่มลึก “ซีจิ่ว อย่าได้ขุ่นเคืองที่ข้าพูดความจริง ร่างนั้นเคยเป็นของคุณหนูแห่งจวนแม่ทัพ แล้วจะเป็นร่างของเจ้าได้อย่างไร?”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกแล้ว เธอสูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง กล่าวอย่างทีเล่นทีจริง “ถึงอย่างไรข้าก็ลำบากลำบนฝึกฝนจนร่างบรรลุขั้นแปดนะ ยิ่งไปกว่านั้นคือคุณหนูแห่งจวนแม่ทัพคนนั้นตายไปแล้ว ตามธรรมชาติแล้วร่างนั้นก็น่าจะตกเป็นของข้า…อีกอย่างท่านรักษามันไว้ดีขนาดนี้ หรือว่าท่านคิดจะส่งมอบให้ผู้อื่น?”
เห็นได้ชัดว่าตี้ฝูอีไม่อยากสนทนาหัวข้อนี้ “สิ่งที่เจ้าต้องฝึกฝนคือดวงวิญญาณของเจ้า เหตุใดจึงดื้อดึงยึดติดกับสังขารเล่า? ตอนนี้เจ้ายอดเยี่ยมมากแล้ว งดงามกว่าร่างเดิมด้วย…”
เขาดึงเธอเข้าสู่อ้อมอก จุมพิตปลายจมูกเธอเบาๆ ทีหนึ่ง “ข้ารู้สึกว่าเจ้าในยามนี้ดึงดูดข้ามากกว่าเดิม…”
แล้วหัวเราะอยู่ริมหูเธอคราหนึ่ง “เด็กน้อย ตอนนี้ข้าตั้งตารอพิธีวิวาห์ในอีกสิบวันให้หลังยิ่งนัก…อยากไปดูห้องหอนั้นกับข้าหน่อยหรือไม่?”
ลมหยใจเขาร้อนผ่าว ทว่าหัวใจกู้ซีจิ่วกลับหนาวเหน็บ
เธอผลักเขาออกทันที “เหลวไหล!”
ตี้ฝูอีหัวเราะแล้ว “ดูห้องหอก็เหลวไหลหรือ? ห้องหอนั้นข้าตกแต่งด้วยตัวเองเลยนะ เจ้าเห็นแล้วต้องพอใจแน่นอน! เป็นยังไง? อยากดูขึ้นมาหรือยัง?”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ดูห้องหอล่วงหน้าคงไม่ดีกระมัง? จะขาดความน่าตื่นเต้นไป…”
เธอไม่อยากไปดู เธอกลัวว่าถ้าเธอเห็นแล้วลุ่มหลงอยู่ด้านในหักใจจากไปไม่ลง
ตี้ฝูอีไม่สงสัยอะไร รู้สึกว่านางพูดจามีเหตุผล จึงไม่ฝืนบังคับนางอีก
ทั้งสองคนเดินไปด้วยกันอีกพักหนึ่ง กู้ซีจิ่วก็นั่งลงบนขั้นบันไดศิลาเสียดื้อๆ “พักหน่อยเถอะ เท้าเป็นเหน็บบ้างแล้ว”
ตี้ฝูอีมองแพขนตายาวงอนของนาง นึกขำขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ สาวน้อยผู้ไล่ตามความหวานแหวว คนที่พลังวิญญาณบรรลุขั้นแปดแล้วแบบนางจะเดินลงเขาจนเท้าเป้นเหน็บได้อย่างไร?
เขานั่งยองๆ ลงไป “เท้าข้างไหนล่ะที่เป็นเหน็บ? มา ข้าจะนวดให้”
น้ำเสียงที่อ่อนโยน ทำให้โพรงจมูกของกู้ซีจิ่วแสบร้อนขึ้นมา รู้สึกว่าอยากโผเข้าสู่อ้อมอกของเขาขึ้นมาอีกวูบหนึ่ง แต่เธอทำได้เพียงยื่นเท้าทั้งสองข้างไปหา “เป็นเหน็บทั้งคู่เลย”
ตี้ฝูอีจึงนั่งลงข้างกายนางเสียเลย โอบเท้าทั้งสองข้างของนางมาวางไว้บนตัก ถอดถุงเท้ารองเท้าของนางออก แล้วนวดเท้าให้นาง
รูปเท้าของนางยอดเยี่ยมนัก เท้าโค้งงอนดั่งจันทร์เสี้ยว ผิวพรรณเรียบเนียนเกลี้ยงเกลา ผิวหนังเย็นเฉียบ เล็บเทามันเงาอมชมพู
นี่นางเจตนาดึงดูดเขาอยู่หรือ? อยากให้เขาครอบครองนางก่อนถึงเวลาหรือไง?
อันที่จริงแล้วต้องการครอบครองยิ่งนักจริงๆ!
เขาทำตามใจตนมาทั้งชีวิต แต่ในเรื่องนี้เขาต้องการความสมบูรณ์แบบ
ยามที่ส่งตัวเข้าเรือนหอ จารึกนามบนป้ายทอง[1] ถือเป็นสองความสุขที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตคนเรา
เขาไม่สนใจการจารึกนามบนป้ายทอง ตอนนี้ความรื่นรมย์เพียงหนึ่งเดียวของเขาก็คือคืนเข้าหอ…
เขาสูดหายใจเล็กน้อย ระงับจิตใจที่เตลิดเปิดเปิงของตน เหลืออีกสิบวัน เขารอได้!
เขาตั้งใจนวดเท้าให้นาง ทักษะการนวดยังคงเป็นมืออาชีพยิ่งนัก กระแสอบอุ่นสายหนึ่งซึมเข้าสู่ฝ่าเท้าเธอ คล้ายจะสามารถไหลไปตามเส้นลมปราณแทรกซึมเข้าสู่หัวใจคนได้
จันทร์เสี้ยวบนนภาปานคมเคียว ดวงดาวสุกสกาวปานน้ำค้างแข็ง
ในสมองของกู้ซีจิ่วมีเนื้อเพลงสองประโยคผุดขึ้นมา “ราตรีสวยสด ผู้คนงดงาม…”
————————————————————————————-
บทที่ 1252 ราตรีสวยสด ผู้คนงดงาม
เธอฮัมเพลงออกมาอย่างอดใจไว้ไม่อยู่
เธอร้องเป็นภาษากวางตุ้ง
ตี้ฝูอีฟังอยู่ครู่หนึ่ง ฟังไม่ออกว่าเนื้อเพลงคืออะไร รู้สึกเพียงว่าทำนองไม่เลวเลย เพียงแต่ค่อนข้างเศร้าสร้อย
นางมักจะฮัมเพลงที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนอยู่บ่อยครั้ง ยามนี้จึงไม่ได้ใส่ใจอะไร ถามเพียงประโยคเดียว “ร้องอะไรน่ะ? ฟังไม่เป็นคำเลย”
กู้ซีจิ่วหัวเราะฮ่าๆ “เป็นเพลงเก่าๆ เพลงหนึ่งของพวกเราในโลกนั้น จำทำนองไม่ได้แล้ว จำได้แค่เนื้อไม่กี่ประโยค ค่ำคืนสวยสด ผู้คนงดงาม เรื่องราวที่สวยงามทำให้ข้าอยากร้องเพลง…” ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อ “ข้าปรารถนาให้เป็นเช่นนี้ไปชั่วฟ้าสิ้นดินสลายจริงๆ พวกเราอยู่ด้วยกันตลอดไป”
มือของตี้ฝูอีนิ่งไปแวบหนึ่ง สักพักก็หัวเราะเบาๆ “เจ้าไม่ใช่คนสบายๆ หรอกหรือ? พูดไว้มิใช่หรือว่าสนใจเพียงเคยได้มี ไม่สนใจชั่วนิรันดร์…”
กู้ซีจิ่วเขยิบเข้าใกล้เขา ท่ามกลางรัตติกาลดวงตาของเธอเสมือนทะเลสาบที่กระเพื่อมไหว “ข้าใส่ใจนะ ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ข้าอยากอยู่กับท่านไปตราบนานแสนนาน แค่พวกเราสองคนอยู่เคียงข้างกัน…”
เธอยกสองแขนโอบคอเขาไว้ เสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย “คนอย่างข้างค่อนข้างละโมบ เมื่อรักคนผู้หนึ่งก็อยากอยู่ด้วยกันตลอดไป…”
เธอสัมผัสได้ชัดเจนว่าร่างกายเขาแข็งทื่อไปแวบหนึ่ง แต่เขาก็ตบหลังเธอเบาๆ “พูดจาเป็นเด็กไปได้ เอาล่ะ เท้าของเจ้ายังเป็นเหน็บอยู่ไหม? ดีขึ้นบ้างหรือยัง?”
กู้ซีจิ่วหลับตาลงเล็กน้อย
ใช่แล้ว เขาไม่ยินดีจะอยู่กับเธอไปชั่วชีวิต เมื่ออดีตประมุขเผ่าเงือกผู้นั้นฟื้นขึ้นมา เขาก็จะกลับไปอยู่ข้างกายคนผู้นั้น…
สุดท้ายก็เป็นเธอที่ละโมบไปหน่อย
ความขมปร่าผุดขึ้นมาในใจเธอ จู่โจมให้กระบอกตาของเธอค่อนข้างร้อนผ่าว
ตี้ฝูอีดึงนางลุกขึ้น มองเห็นดวงตาของนางแดงเรื่ออยู่บ้าง “เหตุใดจึงดูเหมือนจะร้องไห้เล่า?”
ความขมปร่าในใจกู้ซีจิ่วหนักขึ้นยิ่งกว่าเดิม ทว่าร้องเฮอะคราหนึ่ง เสมือนสาวน้อยที่แง่งอน “ใครใช้ให้ท่านไม่แม้แต่จะโอ๋ข้าให้ดีใจสักคำเล่า! แม้จะเป็นการหลอกข้าก็ยังดี”
ตี้ฝูอีคล้ายจะนึกไม่ถึงว่าเธอก็มีอารมณ์เด็กๆ แบบนี้ด้วย ถึงแม้จะเอาแต่ไร้เหตุผลไปบ้าง แต่ยังคงทำให้ในใจของเขาอบอุ่นอยู่ดี
สาวน้อย ต่อให้นางจะแข็งแกร่งสักเพียงใดก็ยังเป็นเด็กสาวอยู่ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนรักก็อยากอ่อนแอบ้าง อยากให้คนโอ๋
เขาดึงมือเธอให้ยืนขึ้นมา แล้วโอ๋เธอ “ดูเหมือนเท้าของเจ้ายังเป็นเหน็บอยู่นะ ให้ข้าแบกเจ้าไหม?”
“เอา!” กู้ซีจิ่วตอบรับอย่างเบิกานยิ่ง โผขึ้นหลังของเขาจริงๆ
น่าจะเป็นครั้งแรกที่ตี้ฝูอีแบกเด็กสาวขึ้นหลัง เขาเหยียดเอวตรงแล้วสาวเท้าก้าวลงไปประหนึ่งดาวตก กู้ซีจิ่วที่อยู่บนหลังเขาเกือบจะหล่นลงไปแล้ว รีบใช้สองแขนโอบคอเขาไว้ทันที ลมหายใจสดชื่นปานดอกกล้วยไม้เป่ารดริมหูเขา “นี่ เมื่อผู้อื่นแบกคนไว้บนหลังล้วนต้องค้อมเอวเล็กน้อย เดินช้าลงหน่อย”
สาวน้อยช่างเรื่องมากเสียจริง
ตี้ฝูอีจนปัญญา ทว่ายังคงขบขัน
หากปล่อยให้ผู้อื่นมาเห็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้สูงส่งอย่างเขาแบกเด็กสาวคนหนึ่งไต่ไปตามเส้นทางภูเขา คาดว่าคงตกใจจนอ้าปากค้าง
เพียงแต่ เขายินดีทำเพื่อนาง ด้วยเหตุนี้ตี้ฝูอีจึงค้อมเอว เริ่มก้าวลงไปช้าๆ ทีละก้าวๆ
ตลอดทางกู้ซีจิ่วไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงซบใบหน้าน้อยๆ ไว้บนหลังเขา ราวกับกำลังซึมซับกลิ่นอายบนร่างเขา
เขารู้ว่านางโหยหากลิ่นอายบนร่างตน ยามที่โผใส่อ้อมอกเขาก็มักจะดมฟุดฟิดเหมือนสุนัขน้อยอยู่เสมอ นี่เป็นความน่ารักอย่างหนึ่งของนาง เขาไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ปล่อยให้นางดมตามสบาย
นางเริ่มร้องเพลงที่เขาฟังเนื้อไม่ออกอีกครั้ง
ความฝันเก่ายากจะเล่าให้กระจ่าง
ใครเล่ายินดีจะทำลายความผูกพันเก่าก่อน
จุมพิตอำลาเรื่องราวแต่หนหลัง
บอกลามรสุมความรักใคร่ชิงชังครั้งวันวาน
ภายใต้แสงดาว ท่ามกลางแสงจันทร์
ความรักล้ำลึกในตอนนี้สิถึงจะเป็นฉันจริงๆ
ราตรีสวยสด ผู้คนงดงาม
เรื่องราวที่สวยงามทำให้ฉันอยากร้องเพลง…
….
กู้ซีจิ่วจากไปแล้ว ยามที่จากไปได้พาสัตว์เลี้ยงทั้งสามตัวไปด้วย
————————————————————————————-
[1] จารึกนามบนป้ายทอง การสอบคัดเลือกขุนนางได้สมัยโบราณ ผู้ที่สอบได้อับดับหนึ่งจะได้จารึกนามลงบนป้ายทอง ถือว่ามีเกียรติยิ่งนักทำให้ญาติพี่น้องและวงส์ตระกูลได้มีหน้ามีตาไปด้วย