บทที่ 1399 เจ้าคนไร้มโนธรรม ตายซะ!
ตี้ฝูอีหยักยิ้มมุมปากนิดๆ เหลือบมองหลีเมิ่งซย่าแวบหนึ่ง “เขาเป็นคนของเจ้า มอบให้เจ้าแล้วกัน”
หลีเมิ่งซย่าเช็ดน้ำตา ลุกขึ้นมา หยิบแส้ยาวขึ้นมาถือ ชี้ไปที่จั่วอิ๋นหู่ “คนแซ่จั่ว มาดวลกันตัวต่อตัว! ถ้าชนะประมุขอย่างข้าได้เจ้าสามารถสะบัดก้นไสหัวไปได้ ถ้าแพ้ก็มอบชีวิตมาซะ!”
จั่วอิ๋นหู่ถอยหลังไป “ข้า…นี่ไม่ยุติธรรม มือข้าบาดเจ็บข้างหนึ่ง…”
หลีเมิ่งซย่าก็เด็ดเดี่ยวเช่นกัน ดึงสายรัดเอวออกมามัดแขนขวาของตนไพล่หลังไว้ ถือแส้ด้วยมือซ้าย “แม่เฒ่าก็จะใช้แขนเดียว!”
จั่วอิ๋นหู่พูดไม่ออกเลย
เขาทราบว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีใจสังหารเขาแล้ว และผู้คนที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่เขาก็ล่วงเกินไปแล้วเช่นกัน ไม่มีผู้ใดเอ่ยขอความเมตตาให้เขา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การเอาชนะหลีเมิ่งซย่าให้ได้คือทางรอดเดียวของเขา
เขาทำได้เพียงตอบรับการดวล ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน
กู้ซีจิ่วยืนมองอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ถอนหายใจเบาๆ “ไม่นึกเลยว่าวิชาแส้มือซ้ายของประมุขหลีจะยอดเยี่ยมปานนี้!”
แขนข้างหนึ่งของตี้ฝูอีโอบเอวเธอไว้ “ประมุขของหอเงาราตรีย่อมมิใช่พวกถือศีลกินเจ”
หลีเมิ่งซย่าที่ยุ่งมือเป็นระวิงยังคงแย้มยิ้มอวดฟันขาวเงางามทีหนึ่ง “ขอบคุณคำชื่นชมของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย!”
จั่วอิ๋นหู่ยิ่งสู้ยิ่งใจฝ่อ ร้องออกมา “ไม่ยุติธรรม! เดิมทีเจ้าก็ถนัดใช้แส้มือซ้ายอยู่แล้ว อีกทั้งไม่ได้รับบาดเจ็บ…”
มีคนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น “จั่วอิ๋นหู่ เจ้าก็ถนัดกระบี่มือซ้ายเหมือนกันไม่ใช่หรือ?! ถึงแม้มือขวาของเจ้าจะบาดเจ็บ แต่ก็มิได้เหนื่อยล้า ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้ออกแรงเลยสักนิดเลยด้วยซ้ำ แต่ก่อนหน้านี้ประมุขหลีต่อสู้มาแล้วยกหนึ่ง แทบจะเสื่อมทรุดเป็นม้าตีนปลายแล้ว เจ้าได้เปรียบมากกว่าด้วยซ้ำ!”
จั่วอิ๋นหู่เงียบไป ไม่พูดอะไรอีก
ถึงแม้หลีเมิ่งซย่าจะอยู่ในสภาพจนตรอก แต่ตัวคนกลับคึกคักฮึกเหิมปานฉีดเลือดไก่มา ราวกับกระบี่ล้ำค่าเล่มหนึ่งที่เพิ่งถูกลับคมเสร็จ แผ่ประกายดุดันออกมา โจมตีใส่จั่วอิ๋นหู่ที่ประหนึ่งลูกเสือน้อยตรงตีนเขา รุนแรงดุจพายุโหมกระหน่ำ…
อันที่จริงพละกำลังของทั้งสองในยามนี้ไม่ต่างกันนัก แต่จั่วอิ๋นหู่กลับไม่มีความสามารถเท่าหลีเมิ่งซย่า
“ไอ้คนไร้มโนธรรม ตายซะ!”
“ไอ้คนสังหารพวกพ้อง ตายซะ!”
“ไอ้คนเนรคุณ ตายซะ!”
“ไอ้คนใจคด ตายซะ!”
ทุกครั้งที่หลีเมิ่งซย่าฟาดแส้ใส่จั่วอิ๋นหู่ จะต้องร้องด่าเสมอ ท้ายที่สุดแล้ว จั่วอิ๋นหู่ก็ถูกนางฟาดจนสิ้นชีพ ร่างคนถูกฟาดจนลายพร้อยเหมือนเสือลายพาดกลอน บนร่างเต็มไปด้วยรอยแส้ตัดสลับกันไปมา แม้แต่ดวงวิญญาณก็ถูกปลิดไปแล้ว หลังจากศพร่วงลงพื้น ดวงวิญญาณก็ค่อยๆ หลุดลอยออกมา
คนอื่นมองไม่เห็น ทว่ากู้ซีจิ่วมองเห็น เธอยื่นมือออกไปหมายจะทำอะไรบางอย่าง ตี้ฝูอีกลับจับมือเธอไว้ “อย่าทำให้มือเจ้าสกปรกเลย” พลางสะบัดแขนเสื้อไปทางดวงวิญญาณนั้น ลำแสงสีขาวโอบล้อมดวงวิญญาณไว้ แผดเผาให้เป็นจุณทันที
ยามนี้พวกผู้อาวุโสเหลียงพากันขอรับโทษจากตี้ฝูอีแล้ว แต่ละคนหวาดหวั่นพรั่นพรึง
ตี้ฝูอีกลับไม่โทษพวกเขา ถึงอย่างไรพวกเขาก็ภักดีต่อตนเช่นกัน เพียงถูกทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมหลอกต้มเท่านั้น
ในที่สุดทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวจริงก็เผยโฉมแล้ว ยังคงแข็งแกร่งเช่นในอดีต และเป็นแบบที่พวกเขาคุ้นเคย ทุกคนย่อมตื่นเต้นคึกคัก อันที่จริงไม่กี่ปีมานี้ทุกคนล้วนกล้ำกลืนฝืนทน กล้าขุ่นเคืองเพียงแต่ไม่กล้าเอ่ยเอื้อนก็เท่านั้น
ตอนนี้ในที่สุดก็ได้พบนายที่แท้จริงของตน ทุกคนมีแกนนำแล้ว ต่างพากันบอกเล่าเรื่องราวอันไร้มนุษยธรรมเหล่านั้นที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมกระทำในไม่กี่ปีมานี้ออกมา
เมื่อตี้ฝูอีทราบจากปากของพวกเขาย่อมจับข้อมูลบางส่วนได้อีกครั้ง
เขาและกู้ซีจิ่วต่างรับฟังอย่างเงียบๆ นานๆ ครั้งจะเอ่ยถามสักประโยคและเป็นการถามอย่างตรงประเด็น
ถึงแม้ยามที่คนเหล่านี้อยู่ที่นั่นจะไม่ฝักใฝ่ในตัวทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอม แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนของหอเงาราตรี ข่าวสารที่ทราบย่อมมากมายกว่าชาวบ้านด้านนอกมากนัก
กู้ซีจิ่วนำข้อมูลเหล่านี้มารวมเข้าด้วยกัน สรุปออกมาได้ไม่กี่ข้อ
———————————————————————-
บทที่ 1400 ชื่อเสียงของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมกับเซียนหญิงลี่หวางนางนั้นมีความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกัน ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมกระทำเรื่องชั่วช้าไร้มนุษยธรรม ทำเรื่องที่สวรรค์ขุ่นมนุษย์เคือง ประการแรกคือเพื่อยึดอำนาจ ท่าทางสังหารล้มล้างคนเก่าๆ ของตี้ฝูอี ผลักดันคนของตนขึ้นมา เตรียมพร้อมสำหรับตำแหน่งที่แท้จริงของเขา
ประการที่สองเขาน่าจะฝึกฝนวิชายุทธ์ชั่วร้ายอันใดสักอย่าง ซึ่งต้องการไอพยาบาทของมนุษย์ อีกทั้งวิชาที่เขาฝึกฝนน่าจะประสบความสำเร็จยิ่งนัก วรยุทธ์ของเขาในตอนนี้อย่างน้อยก็คงบรรลุขั้นสิบแล้ว…
ประการที่สาม พวกมู่เฟิงน่าจะถูกบางอย่างควบคุมไว้ ยังมีชีวิตอยู่ แต่กลายเป็นหุ่นเชิดข้างกายทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมไปแล้ว ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมสั่งให้ทำอะไรพวกเขาก็ทำอย่างนั้น แถมพฤติกรรมของพวกเขาดูเผินๆ แล้วไม่แตกต่างอะไรจากยามปกติ นี่ถึงทำให้ตอนแรกกลุ่มของหลีเมิ่งซย่าหลงกลไปด้วย มอบป้ายหยกคืนให้ และเกือบจะเชื่อฟังคำสั่งกระทำเรื่องเข่นฆ่าสังหารประชาชนบริสุทธิ์ด้วย…
ประการที่สี่ เครื่องจักรสังหารที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมสร้างขึ้นคล้ายคลึงกับเล่ห์กลของหลงฟั่นที่สร้างผีดิบเหล่านั้นขึ้นมาเมื่อแปดปีก่อน และบางทีอาจเป็นรุ่นวิวัฒนาการของผีดิบเหล่านั้นด้วย…
ประการที่ห้า ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมักจะอ้างคำสั่งเทพศักดิ์สิทธิ์มากระทำเรื่องราว ทำให้สานุศิษย์สวรรค์คนอื่นๆ เชื่อฟังเขา ขายชีวิตให้เขา ผู้ที่ไม่เชื่อฟังจะถูกลงทัณฑ์โทษฐานขัดขืนต่อโองการของเทพศักดิ์สิทธิ์ เชียนเยวี่ยหร่านเนื่องจากเคยขัดขืนไปครั้งหนึ่ง จึงถูกปลดออกจากตำแหน่งเจ้าสำนักเก้าดารา จากไปด้วยความโกรธ ไม่ทราบตำแหน่งแห่งหนอีกเลย
ทูตสวรรค์ฝ่ายขวาเทียนจี้เยวี่ยไม่ไถ่ถามเรื่องทางโลกอย่างสิ้นเชิง เร้นกายสันโดษอยู่ในวังของเขา ไม่โผล่หน้าออกมานับปีแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร
สำนักถามสวรรค์ของหลงซือเย่ปีก่อนเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ ถูกเผาวอดวายจนเหลือเพียงที่โล่ง หลงซือเย่กับเหล่าศิษย์ของเขาเร่งรีบสร้างสำนักขึ้นมาใหม่ ไม่ได้เข้าร่วมสงครามอันใดในยุทธภพ
ในบรรดาสำนักเหล่านี้ มีเพียงสำนักหยินหยางที่ไม่ได้รับผลกระทบ เจ้าสำนักฮวาอู๋เหยียนขึ้นตรงต่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอม หากมิได้ปฏิบัติตามด้วยความเต็มใจ ก็น่าจะถูกอะไรบางอย่างควบคุมไว้เช่นกัน
ส่วนสำนักน้อยใหญ่ที่เหลือ ส่วนใหญ่ที่เคยจงรักภักดีต่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ผู้นำตระกูลบ้างก็ถูกลอบสังหารบ้างก็หายสาบสูญ ส่วนใหญ่ล้วนถูกเปลี่ยนตัวแล้ว เหมือนกับหอเงาราตรี เปลี่ยนให้คนที่ภักดีต่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมอย่างสิ้นเชิงขึ้นครองตำแหน่งแทน…
สรุปคือ ทวีปซิงเยวี่ยในยามนี้ร้อนเป็นไฟไปทุกหัวระแหง เดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า โกลาหลวุ่นวายอย่างยิ่ง!
สุดท้ายหลีเมิ่งซย่าทนไม่ไหวร้องไห้ออกมาอีกหน “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย หลายปีนี้สรุปแล้วท่านไปอยู่ที่ไหนมา? เจ้าตัวปลอมนั่นแอบอ้างเป็นท่านกระทำเรื่องชั่วช้ามากมายขนาดนี้ ทำลายชื่อเสียงเกียรติยศของท่านจนป่นปี้ไปหมดแล้ว ชาวบ้านร้านตลาดปากไม่ว่าอะไร แต่ในใจน่าร้องด่าไปถึงมารดาตั้งนานแล้ว!”
ในใจของกู้ซีจิ่วค่อนข้างรู้สึกผิด หากมิใช่เพราะเธอหนีงานแต่งครั้งนั้น ตี้ฝูอีก็คงไม่ต้องติดตามไปด้วยสนใจความเป็นความตาย แล้วถูกขังอยู่ในตาค่ายแห่งนั้นนานถึงแปดปี
นึกไม่ถึงว่าการหนีของเธอในปีนั้น จะก่อให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้นใหญ่โตถึงเพียงนี้…
หากรู้เช่นนี้แต่แรก เธอคง…
เธอมองตี้ฝูอีแวบหนึ่งอย่างอดไม่อยู่ ตี้ฝูอีไม่ได้มองเธอ เอ่ยเรียบๆ ว่า “นี่เป็นเคราะห์จากสวรรค์ โชคดีที่ข้าออกมาไม่สายเกินไป ยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์อยู่ พวกเจ้าจงฟังคำสั่งข้า…”
เขาเริ่มมอบหมายหน้าที่ให้อย่างรวดเร็ว
ยามนี้ฝูงชนมีแกนนำแล้ว แต่ละคนย่อมฮึกเหิมคึกคัก ถึงแม้โลกในยามนี้จะค่อนข้างวุ่นวายจนน่าบัดซบอยู่บ้าง แต่ในเมื่อท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายออกมาแล้ว พวกเขาก็มองเห็นความหวัง! พากันตอบรับคราหนึ่ง แล้วไปปฏิบัติตามคำสั่ง
บ้างก็ไปค้นหาที่อยู่ของเชียนเยวี่ยหร่าน บ้างก็ไปติดต่อกับทูตสวรรค์ฝ่ายขวา บ้างก็ไปที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ บ้างก็ไปติดต่อกับอดีตผู้นำของตระกูลที่สืบทอดกันมานับพันปีเหล่านั้น
แน่นอนว่ายามนี้ทุกคนยังไม่เหมาะจะเผยตัว เรื่องเหล่านี้ต้องกระทำอย่างลับๆ ฉากหน้าจะเผยร่องรอยไม่ได้
หลีเมิ่งซย่าคันไม้คันมืออยากออกโรง ท่าทางพร้อมประจัญบาน “มารดามันเถอะ ไอ้สารเลวผู้นั้นกล้างแอบอ้างเป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย…”
———————————————————————