บทที่ 1432 ล่อนจ้อน 4
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมไม่พูดอะไร เรื่องที่เขาได้รับการถ่ายทอดวรยุทธ์จาก ‘เทพเซียน’ ในความฝันแม้แต่เซียนหญิงลี่หวางก็ทราบเช่นกัน ยามนี้ย่อมไม่อาจใช้เหตุผลข้อนี้มาท้าทายเซียนหญิงลี่หวางผู้นี้ได้ เพียงแต่เขาสนใจในตัวกู้ซีจิ่วที่ร่ำลือกันผู้นั้นยิ่งนัก สตรีที่สามารถทำให้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวจริงหวั่นไหวได้จะต้องงามล่มเมืองปานใดกัน?
หากว่านางยังมีชีวิตอยู่จริงๆ…
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมหลุบตาอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมา ถ้าอยากรู้ว่ากู้ซีจิ่วผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่จริงหรือข้ามีอยู่วิธีหนึ่ง ขอเพียงนางยังอยู่ในโลกนี้จะต้องถูกวิธีนี้บีบให้ออกมา!
ดวงตาของเซียนหญิงลี่หวางเปล่งประกาย “วิธีใด?”
….
หลงฟั่นนั่งสมาธิอยู่ในห้องประมาณหนึ่งชั่วยาม ยังคงรอให้เมิ่งเถียนเอ๋อร์รายงานผลกลับมา
เขาสงบใจไม่ลงอยู่บ้าง จึงลองใช้วิธีพิเศษติดต่อกับเมิ่งเถียนเอ๋อร์ดู ผลคือเสมือนวัวดินจมสมุทร แผ่นยันต์สีโลหิตในมือเขาไม่เปล่งแสงเลย หนำซ้ำในขณะที่เชื่อมต่อยู่ได้มอดไหม้ไปด้วยตัวเอง เมื่อปรากฏสถานการณ์เช่นนี้มีความเป็นไปได้อยู่เพียงอย่างเดียว คือผู้ถูกติดต่อถูกพิษจนสิ้นชีพร่างกายหลอมละลายเป็นน้ำเหลืองแล้ว
เขาค่อยๆ นั่งลงไป
ล้มเหลว! ไม่น่าเชื่อว่าจะล้มเหลว!
ล้มเหลวได้อย่างไรกัน? เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าน่าจะไม่พลาดเด็ดขาด!
เขานั่งเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง เริ่มใคร่ครวญถึงก้าวต่อไป ผ่านไปสักครู่ ดูเหมือนเขาจะตัดสินใจอะไรได้แล้ว นั่งขัดสมาธิบนเตียง มือขวาทำมุทราร่ายอาคม ค่อยๆ เข้าสู่ความสงบ คิดจะเข้าฝันไปสืบข่าวของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นั้น…
แต่เขามานะอยู่พักหนึ่งก็ไม่ประสบผล เห็นได้ชัดว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นั้นยังไม่ได้พักผ่อน เขาย่อมไม่สามารถเข้าฝันของอีกฝ่ายได้
เขาสถบเสียงต่ำครานึ่ง ขณะที่กำลังจะทำบางอย่างต่อพลันมีเสียงไก่ขันรับอรุณแว่วมาจากด้านนอก
ร่างกายเขาสะท้านคราหนึ่ง ทำได้เพียงจรดนิ้วทำมุทราใส่ร่าง ตัวคนเอนกายนอนลงไป หลับตาลง
ไม่ทราบเช่นกันว่าเวลาผันผ่านไปเท่าใด หลงซือเย่ที่นอนอยู่บนเตียงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เขากวาดตามองรอบข้าง
เมื่อเห็นเครื่องเรือนภายในห้องนัยน์ตาก็ชะงักเล็กน้อย! พลางถอนหายใจเบาๆ ลุกขึ้นนั่ง แล้วนวดคลึงหว่างคิ้ว
ทันใดนั้นเขาคล้ายจะสัมผัสถึงอะไรได้ จึงเงยหน้ามองเสาคานห้องทันที
ยามนี้บนเสาคานมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ อาภรณ์ม่วงเกศาดำ แถบแพรนัยน์ตาจิ้งจอกส่องประกายเล็กน้อย ขับเน้นให้ดวงตาของคนผู้นั้นดูพราวระยับดั่งระลอกคลื่น คนผู้นั้นนั่งอย่างผ่อนคลายยิ่งนัก ข้าหนึ่งห้อยลงมา อีกข้างหนึ่งคู้ไว้ แขนข้างหนึ่งเท้าศีรษะ กำลังมองเขาอย่างยิ้มมิเชิงยิ้ม
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอี!
หลงซือเย่แข็งทื่อไปครู่หนึ่ง “ท่านผู้สูงศักดิ์ชอบกระทำตัวเยี่ยงพวกตีนแมวเช่นนี้หรือ? เจ้ามาทำไม?”
ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ “ไม่ได้พบกันแปดปี จึงมาเยี่ยมเยือนเจ้าโดยเฉพาะ”
หลงซือเย่ร้องเฮอะคราหนึ่ง “ไม่มีอันใดให้เจ้าต้องกังวล! ยามนี้เยี่ยมเยือนเสร็จแล้ว เจ้าไสหัวไปได้แล้ว!”
เขาลุกลงมาจากเตียง จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย อดไม่ได้ที่จะเพ่งพิศรอบข้างอีกข้าง ตี้ฝูอีกระโดดลงมาจากคานแล้ว “พบพานสหายเก่า ต้องการดื่มสักจอกหรือไม่?”
หงซือเย่มองเขาเหมือรมองคนวิกลจริต “จะดื่มสุราตั้งแต่รุ่งสางเชียวหรือ?”
ตี้ฝูอีดีดนิ้วเปาะ “การดื่มที่ข้าพูดหมายถึงดื่มชา เจ้าคิดมากไปแล้ว!”
หลงซือเย่เงียบงัน เขาไม่อยากคุยกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ต่อแล้ว! เขารู้สึกว่าเขาคุยกับเขาดีๆ ได้ไม่เคยเกินครึ่งประโยคเลย!
ตี้ฝูอีหยิบอุปกรณ์ชงชาชุดหนึ่งออกมา หยิบถ้วยชาออกมา เริ่มชงชาอย่างช้างๆ
หลงซือเย่มองการเคลื่อนไหวที่พลิ้วไหวดั่งเมฆาเลื่อนลอยธาราไหลรินของเขา ข่มใจเอาไว้ “สรุปแล้วเจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใด?”
ตี้ฝูอีสื่อท่าทางให้เขานั่งลง ย้อนถามเขาประโยคหนึ่ง “ซีจิ่วล่ะ?”
หลงซือเย่ตะลึงงัน ขมวดคิ้วนิดๆ “นางยังไม่กลับไปอีกหรือ?”
ตี้ฝูอีดันน้ำชายถ้วยหนึ่งให้เขา “เจ้ากับนางแยกย้ายกันยามไหน?”
—————————————————————
บทที่ 1433 ล่อนจ้อน 5
หลงซือเย่ตะลึงงันอีกครั้ง นวดหว่างคิ้ว “เมื่อคืนดื่มมากไปหน่อย…”
ว่ากันตามจริงแล้วความทรงจำของเขาค่อนข้างเลือนราง เขาจำได้ว่าพากู้ซีจิ่วกับหลีเมิ่งซย่าไปร่ำสุราที่ร้านอาหาร เขาดื่มมากไป หลีเมิ่งซย่าก็ดื่มมากไป กู้ซีจิ่วพานางออกไปสำรอกสุรา จากนั้น…เรื่องหลังจากนั้นเขาก็จำได้ไม่ชัดเจนแล้ว จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าพวกกู้ซีจิ่วบอกจะไปพักโรงเตี๊ยม และดูเหมือนตนก็ไปพักโรงเตี๊ยมกับพวกนางด้วย…
เพียงแต่เรื่องพักโรงเตี๊ยมเหล่านี้เขามีความทรงจำเลือนรางยิ่งนัก ราวกับมีกระจกฝ้าหนาๆ ชั้นหนึ่งกั้นไว้ มีเพียงความทรงจำที่สับสนงงงวยเท่านั้น และความทรงจำนี้ก็ราวกับเป็นสิ่งที่ผู้อื่นยัดเยียดให้เขาด้วย ทำให้รู้สึกว่าไม่ใช่ความจริง
ตี้ฝูอีมองเขา “จำไม่ได้แล้วหรือ?”
หลงซือเย่เอ่ยอย่างเยือกเย็น “ดื่มสุรามากเกินจนเมามาย จำไม่ได้ก็ปกติยิ่งนักมิใช่หรือ? วางใจเถอะ นางไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอก” เขามอสำรวจรอบข้างอีกครั้ง เพื่อยืนยันว่านี่คือห้องพักในโรงเตี๊ยม “นางน่าจะอยู่ในโรงเตี๊ยมนี้เหมือนกัน…”
เขาลุกขึ้นมาคิดจะออกไปหาดู
ตี้ฝูอีเอ่ยถามประโยคนหนึ่ง “เมื่อเจ้าดื่มจนเมาเลยกระมัง? เช่นนั้นเหตุใดบนร่างเจ้าไม่มีกลิ่นสุราเลยเล่า?”
หลงซือเย่ชะงักฝีเท้า “นี่ท่านผู้สูงศักดิ์หมายความว่าอย่างไร? ข้าฝึกฝนทักษะสลายสุราอย่างหนึ่งมิได้หรือไร?” ระยะนี้ดูเหมือนร่างกายจะมีทักษะพิเศษ ไม่ว่าจะดื่มจนเมามากแค่ไหน นอนหลับไปซักงีบพอตื่นมาก็จะไม่เป็นอะไรเลย บนร่างไม่เหลือกลิ่นสุราอยู่เลย และไม่มีผลข้างเคียงจากอาการเมาค้างด้วย…
ตี้ฝูอียิ้มแล้ว “ทักษะนี้ยอดยี่ยมนัก! ข้าก็ชอบร่ำสุรา อยากเรียนรู้ทักษะนี้ของเจ้ายิ่งนัก มิสู้ถ่ายทอดให้สักหน่อย?”
หลงซือเย่เอ่ยอย่างเฉยเมย “ข้าไม่ได้มีหน้าที่สอนเจ้า!”
ตี้ฝูอีมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมา “หลงซือเย่ เจ้าเป็นโรคแล้ว!”
หลงซือเย่ใช้สายที่สื่อว่า ‘เจ้าสิเป็นโรค’ มองดูเขา ตี้ฝูอีเพ่งพิศสีหน้าเขาอย่างละเอียด เอ่ยช้าๆ “สองปีมานี้เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเจ้านอนอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง แต่พอตื่นมากลับพบว่าตนอยู่ในสถานที่อีกแห่งหนึ่งใช่หรือไม่? ไม่ว่าจะดื่มสุราจนเมามากแค่ไหน แต่ตื่นมาอีกวันก็ไม่มีฤทธิ์สุราเหลือเลยใช่ไหม? ยามกลางคืนหลังจากนอนหลับไปคล้ายจะประสบเรื่องราวบางอย่าง แต่เช้าวันถัดมากลับจำได้ไม่ชัดเจน มีเพียงความทรงจำที่ค่อนข้างสับสนเลอะเลือนสินะ?”
สีหน้าของหลงซือเย่แปรเปลี่ยนเล็กน้อย ตี้ฝูอีกล่าวไม่ผิดเลยสักนิด!
เขาทราบว่าตี้ฝูอีรู้วิชาแพทย์ แถมวิชาแพทย์ยังล้ำเลิศด้วย เพียงแต่คนผู้นี้ไม่ตรวจอาการให้ผู้ใดง่ายๆ เท่านั้น ส่วนใหญ่เมื่อออกโรงแล้วจะนับว่ายาถึงโรคหาย
ถึงแม้ตี้ฝูอีจะกล่าวอาการได้ถูกต้อง แต่หลงซือเย่ก็ไม่สนใจ
เขารู้สึกว่าเนื่องจากตนมีแรงกดดันมากไป จิตใจมีภาระหนักอึ้งจึงเป็นโรคนอนละเมอ ดังนั้นเมื่อเขาตรวจอาการตัวเองดูก็พบว่าไม่ส่งผลต่อร่างกายถึงขั้นที่พลังยุทธ์ยังกระเตื้องขึ้นมาอีกด้วย เขาจึงไม่เก็บมาใส่ใจ
ดังนั้นเขาเลยมองหลงซือเย่แวบหนึ่ง ทราบว่าปิดบังไว้ไม่ได้ จึงเอ่ยอย่างเฉยเมยประโยคหนึ่ง “เช่นนั้นแล้วอย่างไร? ข้าเพียงนอนละเมอไปบ้างเท่านั้น”
ตี้ฝูอียิ้ม “นอนละเมอนี่เอง! ไม่ต้องการให้ข้าตรวจอาการเจ้าหน่อยหรือ? เจ้าอย่าเสียใจภายหลังนะ!”
หัวใจหลงซือเย่เต้นแรงนิดๆ ชะงักไปครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “ข้ามีอะไรให้เสียใจภายหลังกัน ก็แค่นอนละเมอ…”
ตี้ฝูอีเอ่ยอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “หากว่าการนอนละเมอนี้ค่อยๆ ร้ายแรงขึ้น จนสุดท้ายทำให้เจ้าเปลี่ยนไปเป็นอีกคนอย่างสิ้นเชิงเล่า?”
หลงซือเย่นิ่งค้าง “วาจานี้ของเจ้าหมายความว่ายังไง?”
ตี้ฝูอีถอนหายใจเบาๆ “จวงจื่อฝันถึงผีเสื้อ ผู้ใดจริงผู้ใดเท็จ? จวงจื่อฝันว่ากลายเป็นผีเสื้อ เขารู้สึกว่ายามทิวาตนเป็นจวงจื่อยามราตรีเป็นผีเสื้อ หากว่าผีเสื้อค่อยๆ กัดเซาะเขา ทำให้เขากลายเป็นผีเสื้ออย่างสมบูรณ์ล่ะ? เขาจะเต็มใจหรือเปล่า?”
ถ้อยคำสั้นๆ ของเขาค่อนข้างแฝงปุจฉาธรรม โชคดีที่หลงซือเย่ยังคงฟังรู้ความ เขาเงียบไปครู่หนึ่ง “ความหมายของเจ้าคือถ้าข้าเป็นแบบนี้ต่อไป สุดท้ายจะมีสักวันที่ถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์สินะ?”
———————————————————————-