บทที่ 1454 อันที่จริงก็ไม่ได้ด่าบ่อยขนาดนั้น…
“พวกเจ้าด่าผิดคนแล้ว! แปดปีนี้เขาอยู่กับข้าตลอด ผู้ที่ก่อกรรมทำเข็ญอยู่ด้านนอกทำให้ทุกคนต้องพลัดถิ่นฐานเป็นตัวปลอมจริงๆ!” เสียงใสกระจ่างสายหนึ่งดังออกมาจากป่าตรงทางเข้าหมู่บ้าน เมื่อกะพริบตาอีกครั้ง สตรีนางหนึ่งก็ปรากฏขึ้นข้างกายตี้ฝูอีแล้ว…
พวกกู่ฉานโม่เบิกตากว้าง
ถึงแม้เวลาจะผ่านไปแปดปีแล้วแต่กู้ซีจิ่วไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไหร่ ดูเหมือนอายุสิบแปดสิบเก้าเท่านั้น พวกกู่ฉานโม่ย่อมจดจำได้ด้วยการมองเพียงแวบเดียว
“ซีจิ่ว!”
“ซีจิ่ว!”
“กู้ซีจิ่ว…”
ท่ามกลางฝูงชนไม่รู้ว่ามีคนมากน้อยเพียงใดที่ร้องเรียกออกมา
กู้ซีจิ่วทำความเคารพกู่ฉานโม่ “อาจารย์ใหญ่กู่ ซีจิ่วคารวะ”
ยามนี้ดวงตาของกู่ฉานโม่เจิดจ้ายิ่งกว่าคบเพลิงเสียอีก!
คนอื่นๆ ก็ออกมาจากส่วนลึกของป่าเช่นกัน เป็นพวกเยี่ยนเฉิน…
….
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ทุกคนในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ต่างล้อมวงกันเป็นวงหนึ่ง ให้ตี้ฝูอีกับกู้ซีจิ่วอยู่กลางวง ทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความโมโหขุ่นเคือง เพียงแต่โทสะที่สูงเทียมฟ้านี้มิได้มีต่อตี้ฝูอีแล้ว แต่โกรธเคืองหลังจากที่ได้ทราบความจริง!
ไม่น่าเชื่อเลยว่าตัวปลอมคนหนึ่งจะก่อพายุนองโลหิตไปทั่วทั้งทวีปได้ ทำร้ายทุกคนมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้!
ความจริงนี้โหดร้ายเกินไป และน่าเหลือเชื่อเกินไป หากมิใช่เพราะกู้ซีจิ่วกลับมาพร้อมกับตี้ฝูอีด้วย ทุกคนไม่มีทางเชื่อแน่!
มีกู้ซีจิ่วอยู่ที่นี่ พวกเยี่ยนเฉินก็ได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างละเอียด ในที่สุดทุกคนจึงเข้าใจ จากนั้นก็ละอาย!
พวกเขาด่าผู้อื่นอยู่ที่นี่เนิ่นนานถึงเพียงนั้น ซ้ำยังถูกผู้อื่นจับได้คาหนังคาเขาอีก!
ใบหน้าชราของกู่ฉานโม่แดงก่ำ แทบไม่กล้าสบตาตี้ฝูอีแล้ว ตี้ฝูอีนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักสูงตัวหนึ่ง เท้าแก้มมองเขา “เจ้าด่าข้าวันล่ะแปดรอบเชียว…”
กู่ฉานโม่ยิ้มแห้งๆ “นี่…เรื่องนี้ความจริงแล้วคนที่ด่าก็คือตัวปลอมผู้นั้น…อันที่จริงก็ไม่ได้ด่าบ่อยขนาดนั้น…”
ตี้ฝูอีเลิกคิ้ว “ถึงแม้เจ้าจะด่าตัวปลอมผู้นั้น แต่นามที่เอ่ยแซ่ที่กล่าวเป็นนามของข้า ข้าไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่…”
กู่ฉานโม่ทราบมาตลอดว่าตี้ฝูอีเป็นคนที่รับมือได้ยาก ยามนี้ถูกเขาจับจุดได้ยิ่งรับมือได้ยากขึ้นไปอีก เขาทำได้เพียงตอบอย่างพินอบพิเทานอบน้อม ซ้ำยังสั่งให้คนไปนำชาที่ดีที่สุดมาและชงด้วยมือตัวเอง ส่วนเหล่าศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ย่อมพากันคุกเข่ารับความผิด…
จนปัญญาที่ว่าตี้ฝูอีไม่สนใจเลย เพียงยิ้มมิเชิงยิ้ม ทว่าอำนาจบนกายกลับแข็งกล้ายิ่งนัก
กู่ฉานโม่ก็ทราบดีว่าหนนี้ล่วงเกินผู้อื่นอย่างร้ายแรงแล้ว จึงได้แต่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปที่กู้ซีจิ่ว
กู้ซีจิ่วก็มิเสียทีที่เป็นศิษย์ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ในยามคับขันยังคงช่วยพูดให้พวกเขายิ่งนัก เธอมองตี้ฝูอี “ฝูอี เรื่องนี้ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด…”
ตี้ฝูอีถึงได้ลุกขึ้นยืน กวาดตามองฝูงชนแวบหนึ่ง “เห็นแก่หน้าซีจิ่ว จะละเว้นพวกเจ้าสักครั้งแล้วกัน”
เมื่อเขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา ทุกคนล้วนถอนหายใจเหยียดยาว
กู่ฉานโม่ทราบนิสัยของตี้ฝูอีดี ยามปกติล่วงเกินเขาแม้เพียงน้อยเขาก็ไม่ยินดีจะละเว้น ไม่ได้ถลกหนังคนไม่นับว่าจบเรื่อง นึกไม่ถึงว่าหนนี้จะยอมให้อภัยเร็วถึงเพียงนี้ ถึงขั้นที่เขาไม่ได้รับบทลงโทษตามสมควรอันใดเลย…
ทุกอย่างนี้เป็นความดีความชอบของกู้ซีจิ่ว…
ทุกคนมองกู้ซีจิ่วด้วยสายตาซาบซึ้งตื้นตัน
ยามนี้อารมณ์ของทุกคนเบิกบานยินดียิ่งนัก ความหดหู่ในหลายวันมานี้มลายหายไป! ทุกคนต่างพับกางเกงถลกแขนเสื้อเตรียมพร้อมรับศึกใหญ่!
เมื่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวจริงปรากฏตัวขึ้น เช่นนั้นเวลาเปิดโปงตัวปลอมผู้นั้นก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว
ใบหน้าชราของกู่ฉานโม่ยิ้มหน้าบานปานดอกเบญจมาศ สอบถามความเคลื่อนไหวขั้นต่อไปของตี้ฝูอี
——————————————————————–
บทที่ 1455 หาตัวไส้ศึก
ตี้ฝูอีกวาดสายตามองฝูงชนแวบหนึ่ง หัวเราะเบาๆ “รีบร้อนอันใดกัน? ข้ามีแผนการแล้ว เพียงแต่ก่อนจะกล่าวถึงแผนการนี้ ข้าต้องไต่สวนเรื่องหนึ่งให้กระจ่างก่อน”
ฝูงชนงงงันเหมือนมีน้ำเข้าสมอง
กู่ฉานโม่ยิ้มสู้ “เรื่องใดรึ?”
ตี้ฝูอีตวัดแขนเสื้อ เกิดแสงวาบขึ้นมา ฝ่ามือปรากฏของสิ่งหนึ่ง ของสิ่งนั้นเป็นพู่หยกที่แกะสลักจากหยกชิ้นเดียว รูปทรงคล้ายกิเลนตัวหนึ่ง ดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก “สิ่งนี้เป็นของผู้ใด?”
ทุกคนมองหน้ากันเหลอหลา กู่ฉานโม่ขมวดคิ้ว “สิ่งนี้ทุกคนในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ล้วนมีเหมือนกันหมด เป็นพู่ห้อยเอวที่เป็นสัญลักษณ์ยืนยันตัวตนอย่างหนึ่ง พู่ห้อยเอวนี้มีปัญหาอะไรหรือ?”
ตี้ฝูอีกวาดตามองฝูงชนอีกครั้ง “มีกันทุกคนหรือ?”
กู่ฉานโม่พยักหน้า “ผลิตขึ้นมาเมื่อสองปีก่อน เป็นพู่ห้อยเอวแบบใหม่ของศิษย์ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ เมื่อก่อนทุกคนล้วนห้อยติดกายไว้ ครั้งนี้เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นการเปิดเผยฐานะ ทุกคนจึงถอดพู่ห้อยเอวออก เพียงแต่ยังคงพกติดตัวอยู่…”
ขณะที่พูดเขาก็หยิบพู่ห้อยเอวชิ้นหนึ่งออกมาด้วย เหมือนชิ้นนั้นที่อยู่ในมือของตี้ฝูอีทุกประการจริงๆ
ตี้ฝูอีนำพู่ห้อยเอวอันนั้นมาเทียบกันดู เอ่ยถามเขา “หินวิญญาณที่พวกเจ้าใช้สร้างพู่ห้อยเอวทั้งหมดคือหยกหอมเวหนกระมัง?”
กู่ฉานโม่พยักหน้า “มิผิด หยกหอมเวหนชนิดนี้เมื่อสวมติดกายจะมีกลิ่นหอมสดชื่นของพืชพรรณ ซ้ำยังชำระล้างไอขุ่นมัวในร่างได้ด้วย ด้วยเหตุนี้ผู้เฒ่าจึงต้องการให้ทุกคนห้อยกันคนละชิ้น”
ตี้ฝูอีโยนพู่ห้อยเอวในมือให้เขา “เช่นนั้นเจ้าลองดูอีกทีสิ ว่าชิ้นที่อยู่ในมือข้าใช่หยกหอมเวหนหรือไม่?”
กู่ฉานโม่ยังคงรอบรู้ยิ่งนัก เขานำหยกห้อยเอวชิ้นนั้นมาส่องแสงตะวันแล้วมองอย่างละเอียด สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน “นี่มันหยกมารเวหน!”
หยกมารเวหนเมื่อเทียบกับหยกหอมเวหนแล้ว ลักษณะภายนอกเหมือนกันทุกอย่าง แยกแยะได้ยากยิ่งนัก แต่คุณสมบัติกลับแตกต่างกันลิบลับ!
หยกมารเวหนเป็นหยกหายากชนิดหนึ่ง ร่ำลือกันว่าหยกนี้มีพลังมารแกร่งกล้า สามารถทำลายวิญญาณของผู้ที่สวมใสได้ ทำให้พลังยุทธ์ของคนลดลงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ความจำถดถอย ถึงขั้นที่สามารถทำให้คนกลายเป็นคนปัญญาอ่อนไปอย่างช้าๆ…
กำลังของหยกชิ้นนี้มหาศาลนัก เพียงชิ้นเดียวก็สามารถส่งผลกระทบต่อคนได้ในรัศมีหลายลี้ ถ้าอธิบายตามยุคปัจจุบัน สิ่งนี้ค่อนข้างคล้ายวัสดุเฟอร์ไทล์ แผ่ขยายพลังงานเป็นวงกว้างอย่างยิ่ง
ไม่นึกเลยว่าชิ้นที่อยู่ในมือของตี้ฝูอีจะกลายเป็นสิ่งนี้ไปได้
พู่ห้อยเอวเช่นนี้ถึงแม้จะมีกันทุกคน แต่เพื่อให้ทุกคนสามารถแยกแยะได้ แต่ละคนจึงทำสัญลักษณ์ของตนไว้ บ้างก็สลักอักษรคำหนึ่งในชื่อตนลงไป บ้างก็สลักตราประจำตระกูลลงไป บ้างก็ทำเป็นลวดลายให้ตัวเองจดจำได้
หยกชนิดนี้ไม่ใช่ของที่แกะสลักได้ง่ายๆ จะต้องมีพลังวิญญาณขั้นแปดขึ้นไปถึงจะแกะสลักได้ และถ้าต้องการสลักภาพลงไปตามใจปรารถนาก็ต้องมีพลังวิญญาณขั้นเก้าขึ้นไป
บนหลังของกิเลนชิ้นที่อยู่ในมือตี้ฝูอีสลักลายเมฆาก้อนหนึ่งไว้ ลายเมฆานั้นแช่มช้อยลื่นไหล เห็นได้ชัดว่าสลักโดยยอดฝีมือที่มีพลังวิญญาณขั้นเก้า
“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านไปได้สิ่งนี้มาจากที่ใดกัน? หรือมีคนลอกเลียนแบบพู่ประดับเอวของสำนักข้า ประสงค์ร้ายต่อสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ใช่หรือไม่?”
ตี้ฝูอีโยนหยกในมือชิ้นนั้นเบาๆ “ข้าพบมันที่ใต้อิฐก้อนหนึ่งในสนามฝึกยุทธ์ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ สิ่งนี้คือตัวการที่ทำให้ทุกคนฝันร้าย!”
ฝูงชนตกตะลึง
ตัวการที่ทำให้ทุกคนพลัดถิ่นฐานมามอมแมมหน้าคลุกฝุ่นคือสิ่งนี้หรือ?!
กู่ฉานโม่ขมวดคิ้วจนยับย่นแล้ว รีบสอบถามเหล่าผู้อาวุโสคุ้มกฎหลายคนรอบกายที่บรรลุพลังวิญญาณขั้นเก้าแล้วทันที ว่ามีใครเคยสลักลายเมฆาลงบนพู่ประดับเอวชิ้นนี้หรือไม่
ผู้อาวุโสคุ้มกฎหลายท่านนั้นส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียง ผู้ใดก็ไม่เคยทำเรื่องนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้ถูกนำเข้ามาโดยศิษย์ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ เนื่องจากในระยะครึ่งปีมานี้ไม่มีคนนอกเข้ามาที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เลย!
ไม่จำเป็นต้องซักไซ้เลย ถ้ามิใช่มีคนใช้ประโยชน์จากศิษย์ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ก็แปลว่าในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มีไส้ศึกอยู่!
————————————————————–