บทที่ 1458 ไส้ศึกคือผู้ใด? 3
ใบหน้าหล่อเหลาของเชียนหลิงอวี่ก็เขียวคล้ำเช่นกัน “ข้าก็ไม่เห็นด้วย!” เขาชอบกู้ซีจิ่วมาตลอด ชอบจนไม่อาจถอนตัวได้ บางครั้งยามที่เกิดอารมณ์ขึ้นในยามราตรีผู้ที่จินตนาการถึงก็คือนาง
แต่เขารู้ว่าระหว่างตนกับนางเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นจึงฝืนตนข่มกลั้นไว้มาโดยตลอด เพียงหวังว่าเป็นสหายกับกู้ซีจิ่ว เป็นสหายที่คบหากันด้วยน้ำใสใจจริง
หากว่าเขาพูดความลับนี้ออกมาต่อหน้าสาธารณชน เขากับนางไม่พียงแต่จะเป็นเพื่อนกันไม่ได้แล้ว เกรงว่าเขาจะถูกตี้ฝูอีซัดฝ่ามือใส่จนตายเพราะไปยั่วยุอารมณ์เข้าด้วย…
คนที่เหลือก็พากันคัดค้านอย่างรุนแรง บางคนตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ยอมถูกคุมขังกักบริเวณกว่าสิบวัน ไม่ต้องการถูกทดสอบ
เจ้าหอยยักษ์มองทางนั้นที มองทางนี้ที ร้องเชอะคราหนึ่ง ที่แท้พวกมนุษย์ก็มีความลับเล็กๆ น้อยๆ มากมายถึงเพียงนี้ ไหนเลยจะเหมือนมันเล่า? ภักดีต่อเจ้านายทั้งใจ! มากสุดก็ด่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจอมวิปริตผู้นั้นอยู่ในใจบ้างสองสามครั้งเท่านั้น…
กู้ซีจิ่วยกมือขึ้น “ความกังวลของทุกท่านซีจิ่วเข้าใจดี ดังนั้นซีจิ่วจึงไม่ใช้แค่วิธีนี้เพียงอย่างเดียว”
เธอล้วงหินหยกส่องประกายแวววาวออกมาจากถุงเก็บของ หยิบออกมายี่สิบสองก้อน โคลงไว้ในมือ “นี่คือหินหยั่งจิต”
ฝูงชนมองเธอด้วยสีหน้าทึ่มทื่อ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งเคยได้ยินสิ่งนี้เป็นครั้งแรก
แม้แต่ตี้ฝูอีก็เลิกคิ้วมองนางเช่นกัน หินนี้เขาก็รู้จักเหมือนกัน เป็นหินที่เจ้าหอยยักษ์พบในถ้ำบนภูเขาแห่งหนึ่งในตาค่ายนั้น เจ้าหอยยักษ์ชื่นชอบของแวววาว จึงขนกลับมารวดเดียวร้อยแปดสิบก้อน อ้างว่าเป็นไข่มุกที่มันสร้างขึ้นเอง…
เจ้าหอยยักษ์ยังมอบให้กู้ซีจิ่วไว้หลายสิบก้อนด้วย ให้นางเก็บรักษาไว้แทนมัน ยามนั้นเขาก็เคยศึกษาดูแล้วรอบหนึ่ง พบว่าของสิ่งนี้นอกจากสีสันงดงามทอประกายแวววาวพราวระยับแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรเลย จึงไม่สนใจอีก
นึกไม่ถึงว่ากู้ซีจิ่วจะหยิบสิ่งนี้ออกมา ซ้ำยังบอกว่าเป็นหินหยั่งจิตอะไรอีก…
เจ้าหอยยักษ์ก็มองตาแป๋วเช่นกัน มันก็เพิ่งเคยได้ยิน ‘ชื่อ’ ของหินชนิดนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน
หินนั้นส่องประกายอยู่ในฝ่ามือเธอ งดงามยิ่งนัก หลังจากกู้ซีจิ่วดึงดูดสายตาของทุกคนมาได้แล้ว ถึงอธิบายอย่างใจเย็น “หินหยั่งจิตนี้มีความพิเศษอยู่หย่างหนึ่ง หากว่าผู้ใดถือมันไว้เป็นเวลาหนึ่งส่วนสี่ชั่วยาม (ครึ่งชั่วโมง) มันจะจดจำกลิ่นอายจิตวิญญาณของอีกฝ่ายได้ ไม่มีทางจำผิด ในเมื่อหยกมารเวหนชิ้นนั้นเป็นสิ่งที่ไส้ศึกนำเข้ามา ย่อมต้องมีกลิ่นอายจิตวิญญาณของเขาหลงเหลืออยู่ที่หยกมารเวหนแน่นอน หากว่ากลิ่นอายจิตวิญญาณสองชิ้นที่เหมือนกันมาเจอกัน เมื่อผานการพัวพันด้วยกลิ่นอายของลู่อู๋กับเจ้าหอยยักษ์แล้ว ในอีกหกชั่วยามให้หลัง สีสันของหินหยั่งจิตจะเปลี่ยนเป็นสีเดียวกับหยกมารเวหน เช่นนั้นไส้ศึกย่อมเผยตัวออกมาโดยธรรมชาติ”
กู้ซีจิ่วพูดพลางแจกจ่ายหินหยั่งจิตในมือให้ยี่สิบสองคนนั้นไปด้วย “มาๆ ทุกคนกุมมันไว้ คลึงมันไว้มือ…ข้าจะสอนวิธีคลึงมันให้พวกเจ้าเอง ทุกคนต้องทำแบบข้า ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเล่นตุกติก ผู้ใดตุกติกจต้องเป็นไส้ศึกแน่นอน!”
ยี่สิบสองคนนั้นย่อมรับไว้ ตัวกู้ซีจิ่วเองก็ถือไว้ก้อนหนึ่งใช้มือคลึงเช่นกัน ให้คนทำตามเธอ
วิธีคลึงนี้ง่ายดายยิ่งนัก ทุกคนเรียนครู่เดียวก็ทำเป็นแล้ว ยี่สิบสองคนยืนเรียงแถวกัน โดยมีคนอื่นๆ จับตามองการคลึงของพวกเขา
วิธีนี้แปลกใหม่ยิ่งนัก ไม่ใช่แค่คนของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เท่านั้นที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แม้แต่ตี้ฝูอีเองก็ไม่เคยยินมาก่อนเช่นกัน เขาจึงกอดอกชมดูอยู่ตรงนั้นเสียเลย
คนของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มีมากมาย คนเกือบสองร้อยคนจับตามองคนยี่สิบสองคน ย่อมเปรียบเสมือนการส่องด้วยไฟสปอร์ตไลท์ ผู้ใดก็ไม่อาจตุกติกได้ ความเคลื่อนไหวแม้เพียงน้อยนิดล้วนอยู่ในสายตาของผู้คน
กู้ซีจิ่วก็ตระเวนไปในหมู่ยี่สิบสองคนนี้เป็นครั้งคราว ตรวจสอบการแสดงออกของพวกเขาแต่ละคนอยู่เงียบๆ…
————————————————————————-
บทที่ 1459 ไส้ศึกคือผู้ใด 4
บางคนก็คลึงอย่างเอาจริงเอาจัง บางคนก็มีสีหน้าคล้ายจะสนใจใคร่รู้ บ้างก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งด้วย บ้างก็มีสีหน้าไร้อารมณ์ บ้างก็จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว…
เมื่อมองไปรอบๆ เธอก็อดไม่ได้ที่จะลอบทอดถอนใจอยู่ในใจสภาวะจิตใจของไส้ศึกคนนั้นแข็งแกร่งจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่เผยพิรุธออกมาเลยสักนิด
ผ่านไปสักพักก็คลึงเสร็จเรียบร้อย กู้ซีจิ่วให้ทุกคนสลักชื่อตัวเองลงบนหินหยั่งจิตในมือตน
เนื้อของหินหยั่งจิตนี้ค่อนข้างอ่อน จึงแกะสลักได้ไม่ยาก
หลังจากแกะสลักเสร็จจะมีคนตรวจสอบแล้วเก็บมาตามลำดับ
เพื่อป้องกันไม่ให้กลิ่นอายของคนที่เก็บหินปนเปื้อนบนหินหยั่งจิต กู้ซีจิ่วจึงมอบถุงมือยางคู่หนึ่งให้คนเก็บหิน…
หินก้อนน้อยที่ทอประกายแวววาวหนึ่งกองกลับสู่มือของกู้ซีจิ่วอีกครั้ง กู้ซีจิ่วถือพวกมันเดินไปที่เบื้องหน้าของเจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋น้อย ให้พวกมันแต่ละตัวหายใจรดลงไป
เจ้าสองตัวนั้นย่อมปฏิบัติตาม จะว่าไปก็แปลก เดิมทีเนื้อหินเป็นกึ่งโปร่งแสงส่องประกายแวววาว หลังจากถูกเจ้าสองตัวนี้หายใจรด ไม่น่าเชื่อว่าจะแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำนม ดูน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
กู้ซีจิ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เสร็จเรียบร้อยแล้ว! อาจารย์ใหญ่กู่ ท่านนำหินหยั่งจิตยี่สิบสองก้อนนี้กับหยกมารเวหนไปวางไว้ในถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปสิบลี้ ส่งลูกศิษย์สองคนที่มีราศีมังกรไปเฝ้าไว้ อีกหกชั่วยามให้หลังข้าจะพาทุกคนไปตรวจสอบผลลัพธ์”
กู่ฉานโม่เต็มไปด้วยความฉงน เพียงแต่เขายังไม่วางใจนัก “ซีจิ่ว ส่งศิษย์ไปเฝ้าแค่สองคนจะน้อยไปหน่อยหรือเปล่า? หากว่าเกิดเรื่องผิดพลาด…”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ไม่จำเป็น ถ้าต้องการให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ยิ่งมีคนเข้าใกล้มันน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี ข้าว่าสองคนก็มากเกินไปแล้ว วางใจเถอะ ไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้นหรอก”
ในเมื่อกู้ซีจิ่วกล่าวเช่นนี้ กู่ฉานโม่จึงทำได้เพียงปฏิบัติตาม
เขาครุ่นคิดเล็กน้อย “เช่นนั้นต้องเฝ้ายี่สิบสองคนนี้ไว้ด้วยไหม?”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ถึงแม้พวกเขาล้วนน่าสงสัย แต่ถ้าหากมีไส้ศึกอยู่เพียงคนเดียว แล้วทำให้คนอื่นพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วยคงไม่ดีเท่าหร่ วิธีนั้นของข้าหากว่าไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ไม่มีทางผิดพลาดเด็ดขาด พวกเรารอคอยผลในอีกหกชั่วยามให้หลังก็พอแล้ว”
กู่ฉานโม่พยักหน้า จัดการไปตามนั้น
….
ณ ถ้ำบนภูเขาที่มืดมิดแห่งหนึ่ง
เดิมทีมีสัตว์ร้ายชนิดหนึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำ ทว่าถูกคนของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ขับไล่ไปแล้ว จากนั้นตี้ฝูอีใช้คาถาชำระล้างด้านในด้วยตัวเองสี่ห้ารอบแล้ว ด้านในจึงไม่มีกลิ่นแปลกๆ อยู่อีก
ในถ้ำมีโขดหินยาวอยู่ก้อนหนึ่ง
บนโขดหินวางหยกมารเวหนชิ้นนั้นกับหินหยั่งจิตสลักชื่อกองหนึ่งไว้
ศิษย์จากสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์สองคนได้รับคำสั่งให้เฝ้ายามอยู่นอกถ้ำ ป้องกันไม่ให้มีคนเข้าไปเล่นเล่ห์ได้
ถ้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ในป่าทึบผืนหนึ่ง ยามนี้เป็นฤดูร้อน เป็นช่วงที่ยุงชุกชุมพอดี
นับตั้งแต่การทดสอบของกู้ซีจิ่วจบลงก็ผ่านพ้นไปสามชั่วยามแล้ว ฟ้ามืดแล้ว ยุงอาละวาดหนักขึ้น ศิษย์สองคนนั้นยืนเฝ้าอยู่นอกถ้ำตลอด บางครั้งก็ถูกยุงกัดเข้าตุ่มสองตุ่ม ค่อนข้างทรมานยิ่งนัก
บางครั้งพวกเขาก็ตบยุงที่เข้ามาใกล้ตัว แล้วสบถด่าไส้ศึกคนนั้นอีกประโยคสองประโยค…
พลังยุทธ์ของศิษย์สองคนนี้มิได้ล้ำเลิศนัก ยามนี้มีพลังวิญญาณขั้นหกตอนกลาง แม้แต่คาถาปกป้องร่างจากยุงก็ใช้ไม่ได้ กำจัดยุงได้ด้วยการตบเท่านั้น
ยุงในหุบเขาก็ตัวใหญ่ยิ่งนัก กัดทีหนึ่งก็บวมตุ่ยแล้ว บนร่างศิษย์ทั้งสองถูกกัดไปกว่าสิบตุ่มแล้ว ตัวคนย่ำแย่ไปหมดแล้ว!
ศิษย์คนหนึ่งจึงออกความเห็น เสนอให้ใช้การสุมควันไล่
นี่เป็นวิธีที่ดีโดยแท้ ศิษย์อีกคนจึงไปหาต้นไอ้[1]ที่ใช้รมควันยุงโดยเฉพาะมาทันที จากนั้นก็จุดไฟ ควันสีขาวนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมา รมควันยุงที่อยู่รอบข้างจนหนีไปไม่น้อย
ศิษย์ทั้งสองยืนอยู่ด้านข้างต้นไอ้ ในที่สุดก็สงบใจลงได้แล้ว
ที่พวกเขาไม่สังเกตเห็นก็คือ จุดที่ไม่ไกลจากพวกเขาเท่าไหร่ มีเงาร่างมนุษย์ที่แทบจะกลมกลืนไปกับรัตติกาลแล้วซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น เขาสังเกตการณ์อยู่หลังต้นไม้ใหญ่เงียบๆ ครู่หนึ่ง แล้วเป่าควันบางๆ สายหนึ่งไปทางศิษย์สองคนนั้น
————————————————————————
[1] ต้นไอ้ คนไทยรู้จักกันในนาม เฮียเฮียะ เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปีเป็นพืชท้องถิ่นในจีน ญี่ปุ่น และไซบีเรีย ใบสีเทาเขียว มีขนนิ่มๆอยู่ประปราย ด้านล่างสีเทาขาว มีขนจำนวนมาก มีสรรพคุณหลากหลาย