บทที่ 1478 กลัวข้าจะหลอกลวงเจ้างั้นหรือ?
“เล่นละคร! เล่นละครตบตาต่อไป!” หลานไว่หู่ที่อยู่ด้านข้างระเบิดอารมณ์ออกมา “แม่ดอกบัวขาวช่างโหดร้ายเป็นที่สุด! ท่านแสร้งทำตัวน่าสงสาร…”
นางไม่อาจตะโกนถ้อยคำด้านหลังออกมาได้เนื่องจากเยี่ยนเฉินสะบัดชายเสื้อสกัดจุดนางเอาไว้ เมื่อสะบัดชายเสื้ออีกครั้ง หลานไว่หู่ก็ตกลงไปในทะเลสาบอันเย็นเยือกนั้น ตามมาด้วยคำพูดเย็นชาของเยี่ยนเฉิน “หลานไว่หู่ ข้าตามใจเจ้ามากเกินไปแล้ว! เจ้าสงบจิตสงบใจอยู่ที่นี่เสีย!”
จิ้งจอกน้อยแช่น้ำอยู่ตรงนั้นโดยถูกสกัดจุดทั้งตัว พูดจาอันใดไม่ได้ มองดูเยี่ยนเฉินประคองมารดาเยี่ยนขึ้นเกี้ยวไปอย่างไร้หนทาง แม้แต่เหลิ่งอู๋ซวงที่บาดเจ็บยังถูกจัดม้านั่งตัวหนึ่งให้คนยกเดินไปอย่างเหมาะสม
ผู้คนเหล่านั้นเดินจากไป ตั้งแต่ต้นจนจบเยี่ยนเฉินไม่ได้หันกลับมามองนางอีกเลย กลับเป็นมารดาเยี่ยนที่อยู่บนเกี้ยวกับเหลิ่งอู๋ซวงบนม้านั่งเหลือบมองนางลงมาจากด้านบนแวบหนึ่ง แววตาเต็มเปี่ยมด้วยชัยชนะ…
ความสงบหวนคืนริมฝั่งทะเลสาบดังเดิม แม้แต่คนผู้หนึ่งก็มองไม่เห็น
ถึงแม้จิ้งจอกน้อยถูกสกัดจุด ทว่านางก็ไม่ได้จมลงไปในน้ำ ยังคงเผยให้เห็นศีรษะกับหัวไหล่กึ่งหนึ่ง
น้ำทะเลสาบเย็นเยือก หัวใจของจิ้งจอกน้อยก็เย็นเยือกเช่นกัน นางร้องไห้อย่างไร้สุ้มเสียง หยาดน้ำตาร่วงหล่นทีละหยดๆ…
ตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าร้องไห้อยู่ตรงนั้นนานเท่าใดแล้ว อาจจะเนิ่นนานหรืออาจเพียงเสี้ยววินาทีสั้นๆ เบื้องหน้านางพลันปรากฏให้เห็นอาภรณ์สีฟ้าคราม ชายอาภรณ์แทบจะปกคลุมใบหน้านาง
นางเงยหน้าขึ้น น้ำตาเอ่อล้นดวงตา ใบหน้าที่มองเห็นนั้นก็คือใบหน้างดงามล่มเมืองของหลานเยวี่ย เขาหลุบตาลงมองนาง เอ่ยถามนางเพียงหนึ่งประโยค “อยากไปกับข้าหรือไม่?”
จิ้งจอกน้อยไม่พูดไม่จา เพียงมองเขาอย่างตกตะลึง สายตาฉายแววความระแวดระวัง
หลานเยวี่ยทอดถอนใจ “กลัวข้าจะหลอกลวงเจ้างั้นหรือ?”
สายตาจิ้งจอกน้อยยิ่งระแวดระวังมากขึ้น
หลานเยวี่ยถอดเสื้อคลุมด้านนอก เสื้อคลุมด้านในออกอย่างช้าๆ…
จิ้งจอกน้อยรีบหลับตาลงทันที แทบจะก่นด่าคนบ้าในใจ
“ไว่หู มองข้าสิ”
จิ้งจอกน้อยหลับตาแน่นขึ้นกว่าเดิม เกรงว่าจะมองเห็นสิ่งใดที่ไม่ควรเห็น
หลานเยวี่ยเหมือนจะรู้สึกถึงบางอย่าง จึงอดไม่ได้หัวเราะเย้ยหยันไปคราหนึ่ง “โง่งม! เจ้าคิดว่าข้าจะให้เจ้าดูส่วนสงวนของข้าหรืออย่างไร? เจ้าฝันไปเถอะ! ดูเอวข้านี่! แล้วเจ้าจะเข้าใจว่าแท้จริงแล้วข้าเป็นใคร”
จิ้งจอกน้อยยังคงอยากรู้อยากเห็น นางลืมตาขึ้น สิ่งที่มองเห็นคือหลานเยวี่ยเผยเอวบางขาวผ่องอันทรงพลังให้เห็น บนเอวของเขามีบางอย่างเหมือนรอยสักหรือว่าปาน คล้ายใบหน้าจิ้งจอก คล้ายกับที่แขนของจิ้งจอกน้อยอย่างน่าประหลาดใจ เพียงแต่ใบหน้าจิ้งจอกของเขาดูหล่อเหลายิ่งกว่า อีกทั้งบนหัวจิ้งจอกยังมีมงกุฎเล็กๆ สวมอยู่
จิ้งจอกน้อยเบิกตาโต หลานเยวี่ยกล่าว “ตอนนี้จะไปกับข้าแล้วหรือไม่? ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟัง ไม่แน่อาจเป็นเรื่องน่าตกใจ…”
ในที่สุดจิ้งจอกน้อยก็พยักหน้า เมื่อหลานเยวี่ยสะบัดชายเสื้อ ร่างกายของจิ้งจอกน้อยก็โบยบินขึ้นจากน้ำเข้าสู่อ้อมกอดเขา
เส้นผมและร่างกายของนางเปียกโชก แต่หลานเยวี่ยกลับไม่รังเกียจ อุ้มนางแล้วหันกายไปในทันที…
“วางนางลง!” เสียงที่คมชัดดังมาจากริมฝั่ง เยี่ยนเฉินกลับมาได้ทันกาล ใบหน้าเขาพลันเขียวคล้ำเมื่อเห็นภาพฉากนี้ มองหลานเยวี่ยที่ยืนบนผืนน้ำด้วยใบหน้าอันบูดบึ้ง
หลานเยวี่ยอุ้มจิ้งจอกน้อยหันกายไปอย่างเนิบนาบ หยักยิ้มมุมปาก “เจ้ามาช้าไปเสียแล้ว!” อีกทั้งยังเอ่ยถามจิ้งจอกน้อยในอ้อมกอด “เจ้าอยากอยู่ต่อหรือจะไปกับข้า?”
จิ้งจอกน้อยหลับตาลง เอนศีรษะแนบอกหลานเยวี่ย เอ่ยคำพูดออกมาสามคำ “ไปกับเจ้า”
หลานเยวี่ยเหลือบมองเยี่ยนเฉินแวบนึ่ง พร้อมอมยิ้ม “ได้ยินแล้วกระมัง?”
ใบหน้าเยี่ยนเฉินซีดเผือด ย่ำน้ำพุ่งตัวมาทันใด “จิ้งจอกน้อย จิตใจคนผู้นี้ไม่อาจคาดคะเน เจ้าไปกับเขาไม่ได้! หลานเยวี่ย วางนางลง มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่มิตรภาพร่วมสำนัก ทำให้เจ้าเลือดตกยางออก!”
——————————————————————-
บทที่ 1479 เจ้ารู้สึกดุจมีเสียงฟ้าร้องกลางศีรษะเลยใช่หรือไม่?
หลานเยวี่ยเชิดหน้าขึ้นเย้ยยิ้ม “คนชนเผ่าข้าให้พวกเจ้ามาเหยียดหยามได้ที่ไหน?! ในเมื่อพวกเจ้าดูแลนางให้ดีไม่ได้ ยังมีคุณสมบัติอื่นใดมาเหนี่ยวรั้งนางไว้ได้อีก?!”
เยี่ยนเฉินตกตะลึง “คนชนเผ่าเจ้าอะไรกัน?!”
หลานเยวี่ยยิ้มอย่างมีเลศนัย ไม่พูดจาอันใดอีก นิ้วมือในแขนเสื้อพลันทำมุทราประหลาดอย่างหนึ่ง ระลอกคลื่นประหนึ่งลำแสงสาดสะท้อนปรากฏขึ้นกลางอากาศ หลานเยวี่ยอุ้มจิ้งจอกน้อยย่ำเท้าลงกลางระลอกคลื่นนั้น จากนั้นก็หายตัวไปกลางอากาศ…
…
หุบเขาหลังสายฝนพรำ บรรยากาศพลบค่ำของฤดูใบไม้ร่วงยิ่งหนาวเหน็บ
ภายนอกถ้ำแห่งหนึ่ง กองไฟกองหนึ่งกำลังลุกไหม้
จิ้งจอกน้อยนั่งกอดอกอยู่ข้างกองไฟ ริมฝีปากซีดขาว ใบหน้าเขียวคล้ำ ดวงตาบวมแดง จุดของนางถูกคลายแล้ว ดังนั้น นางจึงเอ่ยถามสิ่งที่อยากถามที่สุด “เจ้าเป็นพี่ชายของข้าหรือ?”
เขาแซ่หลาน บนร่างกายมีสัญลักษณ์ใบหน้าจิ้งจอก ดูอย่างไรก็เหมือนพี่น้องที่พลัดพรากจากกัน
ถึงแม้ที่นางเอ่ยเป็นประโยคคำถาม ทว่าภายในใจกลับมั่นใจอยู่แล้วเก้าส่วน มิเช่นนั้นนางไม่มีทางมากับเขาอย่างง่ายดายแน่
หลานเยวี่ยยกมือโยนเสื้อผ้าให้นางชุดหนึ่ง “เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ออกมาแล้วข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง”
ทั่วทั้งร่างกายของจิ้งจอกน้อยยังคงเปียกชุ่ม ต้องการเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่พอดี จึงวิ่งเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในถ้ำ
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางออกมานั่งข้างกองไฟอีกครั้งหนึ่ง “ยามนี้ เจ้าพูดได้แล้ว เจ้าเป็นพี่ชายที่พลัดพรากของข้าใช่หรือไม่? ท่านพ่อให้เจ้ามาตามหาข้า? ท่านพ่อของพวกเราเป็นคนในเผ่าจิ้งจอกคราม?”
หลานเยวี่ยแก้ไขนาง “ท่านพ่อเจ้าให้ข้ามาตามหาเจ้าจริงๆ แต่ว่าขอโทษด้วย ข้าไม่ใช่พี่ชายเจ้า ข้ากับเจ้าไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดแม้แต่น้อย”
ภายในดวงตากลมโตของหลานไว่หู่ฉายแววผิดหวัง “แต่เจ้าก็แซ่หลาน อีกทั้งยังมีปานที่เหมือนกันกับข้า…”
หลานเยวี่ยหยักริมฝีปากยิ้ม “ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ค่อยเข้าใจเผ่าจิ้งจอกครามเสียเลย เผ่าของพวกเราแซ่หลานกันทั้งหมด ส่วนเรื่องปานที่เจ้าพูดถึง…ความจริงแล้วสิ่งนั้นไม่ใช่ปาน แต่เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง สัญลักษณ์การหมั้นหมายกันระหว่างชายหญิงของเผ่าจิ้งจอกคราม”
ดวงหน้าน้อยๆ ของหลานไว่หู่ซีดขาว “หมั้น…หมั้นหมาย?!” นางผลุดลุกขึ้นยืน “เจ้าหลอกลวงข้าอีกแล้ว! ตั้งแต่เด็ก ข้าเติบโตมาในเมืองเยี่ยนจือ ก่อนที่เจ้าจะมาเข้าร่วมสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าเป็นใคร! ไปหมั้นหมายกับเจ้าไว้เมื่อใดกัน?! อีกอย่างปานนี้ของข้ามีมาตั้งแต่ข้าจำความได้ ตอนนั้นข้าก็ยังไม่รู้จักเจ้า…”
หลานเยวี่ยยิ้มหดหู่ “นั่นเป็นเพราะการหมั้นหมายของพวกเราเป็นการหมั้นหมายครั้งวัยเยาว์ กล่าวอย่างถูกต้องก็คือการคลุมถุงชน ตอนเจ้ายังอยู่ในครรภ์มารดา ท่านพ่อของเจ้าก็หมั้นหมายเจ้ากับข้าแล้ว”
หลานไว่หู่ตกตะลึงอ้าปากค้าง ถอยหลังไปสองก้าว “ข้าไม่เชื่อ!”
หลานเยวี่ยมองดูดวงหน้าน้อยๆ ที่เขียวคล้ำและขาวซีดสลับไปมาของนาง “เจ้ารู้สึกดุจมีเสียงฟ้าร้องกลางศีรษะเลยใช่หรือไม่?”
หลานไว่หู่กัดฟันจ้องมองเขา ไม่พูดจาอันใด สำหรับนางแล้ว เรื่องนี้ไม่ได้เป็นแค่เสียงฟ้าร้องครืนครานกลางศีรษะ แต่เหมือนกับฟ้าผ่ากลางศีรษะเลยต่างหาก!
หลายเยวี่ยคลายมือ “อย่าใช้สายตาเช่นนั้นมองข้า ความจริงตอนข้าเพิ่งรู้ก็รู้สึกเหมือนมีเสียงฟ้าร้องกลางศีรษะเช่นกัน คิดว่าคนหนุ่มอัจฉริยะ หน้าตาหล่อเหลา สง่าผ่าเผย โดดเด่นกว่าใครอย่างข้า ไม่รู้มีหญิงสาวมากมายขนาดไหนในเผ่าจิ้งจอกครามพึงใจชอบพอข้า โยนกิ่งต้นมะกอก[1]ให้ข้ามากมาย อย่างไรก็ควรมีความรักอันน่าตื่นเต้นมีชีวิตชีวารอคอยข้าอยู่ หญิงสาวที่ข้ารักต้องเป็นคนงดงามที่สุด เฉลียวฉลาดที่สุด อ่อนโยนเป็นที่สุด…จะเป็นการหมั้นหมายครั้งวัยเยาว์ธรรมดาได้อย่างไร?! ข้าหดหู่อยู่หนึ่งเดือนเต็มเมื่อทราบเรื่องนี้!”
หลานไว่หู่นิ่งอึ้ง
นางยังคงไม่เชื่อ หลานเยวี่ยเหลือบมองนางแวบหนึ่ง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านพ่อของเจ้าคือใคร?”
หลานไว่หู่ส่ายหน้า หลานเยวี่ยยิ้มบางๆ “ท่านพ่อของเจ้าเป็นบุคคลสำคัญอย่างยิ่งยวดในเผ่าจิ้งจอกคราม เขาเป็นราชครูของเผ่าจิ้งจอกคราม”
—————————————————————————-
[1] โยนกิ่งต้นมะกอก กิ่งต้นใบมะกอกเปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ หมายถึงการให้โอกาสกับใครบางคน