บทที่ 1600 พบกันอีกครา 1
ช่วงดึกยามกะสาม เงียบสงัดวังเวง
กู้ซีจิ่วนั่งอยู่บนเตียง เธอนั่งสมาธิมาหนึ่งชั่วยามครึ่งแล้ว ยังคงสงบใจลงไม่ได้เช่นเดิม
ตรงทรวงอกเหมือนถูกบางอย่างขุดจนกลวงโบ๋ ว่างเปล่าโหวงเหวงไม่มีจุดมั่นคงเลย
ระยะนี้เธอค่อนข้างหวาดกลัวยามราตรี ตอนกลางวันยุ่งง่วนจนไม่สามารถคิดอะไรเลยได้ แต่ตอนกลางคืนเมื่อเธออยู่ลำพัง เรื่องราวในอดีตที่ต้องการลืมเลือนเหล่านั้นจะวนเวียนอยู่ในสมอง…
เมื่อเธอนอนไม่หลับก็นั่งสมาธิฝึกฝน ใช้เคล็ดสงบจิต
ตี้ฝูอีเคยสอนเคล็ดสงบจิตให้ตอนที่เธอจิตใจฟุ้งซ่าน แต่ในเมื่อเธอตัดขาดอย่างหมดจดแล้ว ก็ไม่อยากใช้เคล็ดวิชาใดๆ ที่เขาสอนให้อีก
เคล็ดสงบจิตที่เธอใช้ในช่วงนี้เป็นเคล็ดที่อ่านพบในตำราด้วยตัวเอง ถึงแม้จะดีไม่เท่าเคล็ดนั้นที่ตี้ฝูอีสอน แต่ก็ยังมีประโยชน์ยิ่งนัก ปกติแล้วนั่งสมาธิหนึ่งชั่วยามขึ้นไปก็สามารถทำให้จิตใจสงบมั่นคงได้แล้ว พอจะนอนหลับได้สักสองสามชั่วยาม
แต่คืนนี้คงเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากไอพยาบาทของวิญญาณอาฆาตเหล่านั้น เลือดลมในร่างเธอจึงปั่นป่วนรุนแรงยิ่งนัก ฝึกวรยุทธ์นานถึงเพียงนี้ก็ยังไม่อาจสงบใจลงได้ เพิ่งจะลืมตาก็กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่งแล้ว หัวใจเต้นตุบๆ
เธอถอนหายใจแล้วลุกขึ้น ออกไปเดินเล่นวนอยู่ในสวนสักสองสามรอบเสียเลย ลมราตรีหนาวยะเยือก เธอนั่งรับลมเย็นๆ บนม้านั่งหินตัวหนึ่งครึ่งชั่วยาม
ในเมื่อนอนไม่หลับ เธอจึงเริ่มใคร่ครวญถึงวิญญาณอาฆาตในวังหลวงเหล่านั้น ช่วงนี้ดูเหมือนวิญญาณอาฆาตในเมืองหลวงจะเพิ่มขึ้น ตั้งแต่เมื่อวานก็สวดส่งวิญญาณไปแล้วสี่ตน ในช่วงสิบกว่าวันมานี้ เธอสวดส่งวิญญาณไปแล้วสามกลุ่มมากกว่ายี่สิบตนแล้ว
อีกทั้งวิญญาณอาฆาตเหล่านี้ก็ดุร้ายขึ้นเรื่อยๆ ร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นภัยพิบัติที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นั้นเหลือไว้จริงๆ น่ะหรือ? หรือว่ามีคนลอบเคลื่อนไหวทำสิ่งใหม่ประการใด?
ถึงแม้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นั้นจะมอดม้วยไปแล้ว แต่ผู้สมรู้ร่วมคิดภายใต้สังกัดเขายังมีอยู่ไม่น้อยเลยจริงๆ บ้างก็อยู่ในที่แจ้งบ้างก็อยู่ในที่ลับ พวกที่อยู่ในที่แจ้งเหล่านั้นยังพอว่า คิดบัญชีไปทีละคนก็พอแล้ว แต่พวกที่หลบซ่อนอยู่ในที่ลับเหล่านั้นกลับว่ากันยาก ไม่อาจจับกุมได้ในคราวเดียว ทำได้เพียงค่อยๆ ควานตัวออกมาทีละคน
เธอติดต่อไปหาหลีเมิ่งซย่าอีกครั้ง หลีเมิ่งซย่ายังคงเปี่ยมล้นด้วยพลังงานอยู่ตลอดเวลา รายงานผลในช่วงหลายวันมานี้ต่อเธอ ซ้ำยังจับกุมพวกลิ่วล้อตัวปลอมจำนวนหนึ่งได้ด้วย…
ทั้งสองพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง ตั้งแต่จนจบหลีเมิ่งซย่าไม่ได้ถามของเรื่องกู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีเลย
นางเป็นประมุขของหอเงาราตรี ข่าวสารย่อมไวเป็นที่สุด คาดว่าคงรู้นานแล้วเช่นกัน
และนางก็รู้จักนิสัยของกู้ซีจิ่วดี ว่าไม่ต้องการคำปลอบใจที่ไร้ประโยชน์พวกนั้นจากคนอื่น ดังนั้นนางจึงสนทนากับกู้ซีจิ่วเท่านั้น
วันนี้หลีเมิ่งซย่ามีความอดทนยิ่งนัก เมื่อก่อนนางพูดไม่กี่คำก็สามารถบอกเล่าเรื่องราวทางฝั่งนางอย่างชัดเจนได้แล้ว ยามที่สนทนาสัพเพเหระกับกู้ซีจิ่วก็พูดเร็วฉะฉานเช่นกัน
แต่วันนี้ตอนแรกนางยังคงมีบุคลิดแบบเดิมอยู่ หลังจากคุยกับกู้ซีจิ่วไปได้ไม่กี่นาทีกลับดูเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคนกัน น้ำเสียงยังคงเป็นเช่นเดิม แต่กลับแฝงเสน่ห์ดึงดูดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ราวกับฟังเสียงสะท้อนในพงไพรท่ามกลางราตรีที่เงียบสงัดอยู่ นางถึงขั้นร้องเพลงหนึ่งที่เพิ่งเรียนรู้มาให้กู้ซีจิ่วฟังด้วย บทเพลงนี้เสมือนบทเพลงเซเรเนด[1]ที่ผ่อนคลาย ยามนางขับขานออกมาราวกับบทเพลงกล่อมเด็ก
เดิมทีกู้ซีจิ่วไม่ง่วงนอนเลยสักนิด ทว่าคุยเล่นกับนางอยู่สักพักก็ง่วงขึ้นมา จึงกลับไปที่ห้อง อ้าปากหาวแล้วนอนลงบนเตียง อยู่ในที่นอนก็ยังคงพุดคุยกับหลีเมิ่งซย่าอยู่ จากนั้นเธอก็สะลึมสะลือผล็อยหลับไป
หลีเมิ่งซย่าในยันต์ถ่ายทอดเสียงเอ่ยมาสองประโยค ได้รับเสียงตอบกลับจากนาง จึงเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจประโยคหนึ่ง “ซีจิ่ว เจ้านอนแล้วหรือ?”
กู้ซีจิ่วหลับลึก ย่อมไม่อาจตอบกลับได้
ยันต์ถ่ายทอดเสียงในมือเธอส่องแสงกะพริบเล็กน้อย มีลำแสงอ่อนโยนสายหนึ่งกำจายออกมา ครอบคลุมทั้งร่างเธอไว้ภายใน
————————————————————————————-
บทที่ 1601 พบกันอีกครา 2
ยันต์ถ่ายทอดเสียงในมือเธอส่องแสงกะพริบเล็กน้อย มีลำแสงอ่อนโยนสายหนึ่งกำจายออกมา ครอบคลุมทั้งร่างเธอไว้ภายใน ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังตบบนตัวเธอเบาๆ กล่อมเธอให้หลับใหล
….
อีกด้านหนึ่งของยันต์ถ่ายทอดเสียง หลีเมิ่งซย่านั่งอยู่บนเตียงตน ลูบอกตัวเองอย่างขวัญหนีดีฝ่อยิ่งนักอยู่บ้าง จากนั้นก็มองออกไปนอกหน้าอย่างไม่พอใจ…
นางเป็นคนที่แยกเวลาพักกับเวลางานอย่างเคร่งครัดยิ่ง เดิมทีหลับไปแล้ว จู่ๆ ก็ถูกยันต์ถ่ายทอดเสียงของกู้ซีจิ่วทำให้สะดุ้งตื่น ด้วยเหตุนี้จึงคลานขึ้นมารายงานความสำเร็จของภารกิจในช่วงหลายวันมานี้แก่กู้ซีจิ่ว ถือโอกาสสนทนาถึงสถานการณ์ช่วงนี้ไปด้วย คุยๆ ไปความง่วงของนางก็หายไป ยิ่งคุยยิ่งคึกคัก ขณะที่กำลังคุยอย่างออกรส ตรงหน้าต่างพลันมืดสลัว คนผู้หนึ่งแทรกกายเข้ามา ตรงมาฉวยยันต์ส่งสัญญาณไปจากมือนางเสียดื้อๆ…
ถึงแม้หลีเมิ่งซย่าจะมีนิสัยเยี่ยงบุรุษ แต่ดีร้ายอย่างไรนางก็ยังเป็นแม่นางน้อยที่ยังไม่ออกเรือนผู้หนึ่ง ถูกคนบุกเข้าห้องนอนในยามวิกาลย่อมตกใจเป็นธรรมดา! เกือบจะซัดฝ่ามือออกไปแล้ว! เคราะห์ดีที่นางมองเห็นผู้มาอย่างชัดเจนได้ทันกาล…ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอี!
นายเหนือหัวของนาง
คำด่าที่นางคิดจะตะโกนออกมาค้างอยู่ในคอ มองดูเจ้านายตน ขณะที่กำลังจะเปิดปากเอ่ย ตี้ฝูอีกลับชูนิ้วหนึ่งขึ้นมาทำสัญญาณให้เงียบไว้ ด้วยเหตุนี้หลีเมิ่งซย่าจึงไม่ส่งเสียงยิ่งกว่าเดิม
จากนั้นนางก็เบิกตามองเขาหันหลังกระโดดออกไปจากห้องนอนนาง ไม่ทราบเช่นกันว่าไปที่ไหนแล้ว
หลีเมิ่งซย่าทราบมาโดยตลอดว่าเจ้านายของตนคนนี้กระทำการลึกลับซับซ้อน แต่การกระทำที่ทำให้คนสับสนมึนงงเช่นวันนี้นับเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์
นางทึ่มทื่ออยู่บนเตียงครู่หนึ่ง พลันก้มหน้าลงไป หวีดร้องคราหนึ่งอย่างอดไว้ไม่อยู่ นางยังสวมชุดนอนอยู่เลยนะ!
ชุดนอนนี้เป็นแบบใหม่ล่าสุดที่กู้ซีจิ่วคิดค้นขึ้นแล้วมอบให้นางในคราวก่อน บอกว่าเข้ากับรูปร่างของนาง และมีความเป็นสตรีด้วย ถ้าสวมมันยามนอนจะสบายยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้นางจึงนำแบบที่กู้ซีจิ่วคิดค้นขึ้นไปให้ช่างเย็บปักตัดเย็บออกมาชุดหนึ่ง
ชุดนอนนี้ทันสมัยยิ่งนัก เบา โปร่ง บาง พลิ้ว สวมสบายแถมยังวาบหวิวด้วย โดยเฉพาะชุดที่นางใส่อยู่ในยามนี้ ตรงหน้ามีกระดุมสองเม็ดที่ไม่ได้ติดไว้ เผยอกขาวผ่องออกมารำไร วาบหวิวยิ่งกว่าเดิมมากนัก…
ก่อนจะนอนนางยังส่องกระจกอยู่เลย หมุนไปหมุนมาอยู่หน้ากระจก รู้สึกว่าที่แท้ตนก็มีความเป็นสตรีเพศเช่นนี้ได้เหมือนกัน แถมยังงามเย้ายวนยิ่งนักด้วย ยามนี้นางนั่งอยู่บนเตียง ทว่าอยากร้องไห้ออกมาเหลือเกิน
ยากนักกว่านางจะทำตัววาบหวิวสักครั้ง กลับถูกท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเห็นเข้าเสียแล้ว…
หากว่าเป็นบุรุษเลิศล้ำคนอื่นมาเห็นนางในสภาพนี้เข้า นางจะฉวยคอเสื้อของอีกฝ่ายไว้แล้วให้เขารับผิดชอบ ฉวยโอกาสส่งตัวเองออกเรือนไป แต่อีกฝ่ายกลับเป็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย…
นางไม่กล้าและไม่สามารถด้วย!
นางค่อนข้างฉุนเฉียวอยู่บ้าง ติดกระดุมตรงสาบเสื้อให้เรียบร้อย จากนั้นก็นอนใคร่ครวญอยู่ในที่นอน ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายฉกยันต์ถ่ายทอดเสียงของนางไปทำไม?
อยากคุยกับซีจิ่วอีกครั้งหรือ?
ต้องการรื้อฟื้นความสัมพันธ์นี้งั้นหรือ?
เรื่องราวที่เกี่ยวกับกู้ซีจิ่วและตี้ฝูอีในความทรงจำของหลีเมิ่งซย่าค่อนข้างยุ่งเหยิงเลอะเลือน นางจำได้เพียงว่าแปดปีก่อนกู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีเคยพัวพันกัน แต่เรื่องราวหลังจากที่พวกเขาออกมาจากเขตหวงห้ามในแปดปีให้หลังเหล่านั้นค่อนข้างสับสนเลือนราง จำไม่ได้ว่ากู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีเคยอยู่ด้วยกัน จำได้เพียงว่าพวกเขาเคยร่วมมือกัน คล้ายว่าจะมีความรู้สึกต่อกันยิ่งนัก แต่ยังคงอยู่ในสภาพคลุมเครือ ไม่มีอะไรชัดเจนเป็นพิเศษ
แต่ในสัญชาตญาณของหลีเมิ่งซย่า กู้ซีจิ่วรักตี้ฝูอีแน่นอน รักอย่างไม่สงวนท่าทีเลยสักนิด แต่เจ้านายของตนกลับทำให้คนอื่นเดาทางไม่ออก เป็นเหตุให้พวกเขาเลิกรากันในครั้งนี้ หลีเมิ่งซย่ารู้สึกว่าเจ้านายเป็นผู้เข้าหาก่อนจากนั้นก็ทอดทิ้ง!
ดังนั้นนางจึงค่อนข้างไม่พอใจเจ้านายของบ้านตนยิ่งนัก
ยามนี้นายท่านขโมยยันต์ถ่ายทอดเสียงของนางไปแล้ว ในใจนางจึงมีความหวังเล็กๆ ผุดขึ้นมา…
————————————————————————————-
[1] บทเพลงเซเรเนด (serenade) ในความหมายทั่ว ๆ ไป หมายถึงเพลงที่แต่งให้เพื่อเป็นเกียรติแก่คนรัก เพื่อน หรือบุคคลอื่นๆ ใช้บรรเลงในช่วงค่ำ หรือบรรเลงเกี้ยวพาใต้หน้าต่าง ส่วนในความหมายทางประวัติศาสตร์ดนตรี หมายถึงบทเพลงรูปแบบหนึ่งที่ประกอบไปด้วยหลายท่อน เน้นท่วงทำนองมากกว่าอารมณ์ที่เข้มข้น ยกตัวอย่างเช่นบทเพลง Eine Kleine Nachtmusik อันโด่งดังของโมซาร์ท