บทที่ 1616 เมื่อก่อนเธอก็อยู่ใกล้เทพแห่งความตายถึงเพียงนี้
เธอตรวจสอบภายในห้องโดยสารดูรอบหนึ่งตามสัญชาตญาณ ไม่พบร่องรอยว่ามีคนนอกเข้ามา เธอส่ายหัว ดูท่าว่าเธอคงจำผิดหรือไม่ก็ละเมอไป…
เธอมองหมอนอิงใบนั้นเหม่ออยู่ครู่หนึ่ง เธอย่อมทราบดีว่าตนกอดหมอนอิงนี้ด้วยคิดว่าเป็นผู้ใด
ผ่านไปสักพัก จู่ๆ ฝ่ามือเธอพลันกดลงบนหมอนอิง ด้วยเหตุนี้หมอนอิงที่เธอกอดซบหลับใหลมาตลอดคืนจึงเป็นเถ้าถ่านสลายหายไป
เธอจะต้องแก้ไขความเคยชินในการกอดคนยามหลับของตนให้ได้ แม้ว่าจะเป็นการหาสิ่งทดแทนก็ไม่ได้!
หลังจากทำลายหมอนอิงไปแล้ว จู่ๆ เธอก็คล้ายว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ยกข้อมือขึ้นมาดู ก่อนหลับไปข้อมือของเธอปวดจนเสียดแทงไปถึงหัวใจ ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้จะไม่เจ็บสักนิดแล้ว!
เธอแกะผ้าพันแผลตรงข้อมือออก พบว่าแผลจากมีดนั้นเหลือเพียงขีดเล็กๆ สีแดงจางๆ ถ้าไม่สังเกตให้ละเอียดก็แทบจะมองไม่เห็นเลย
เธอตะลึงไป พรูลมหายใจออกมา
ดูเหมือนพิษของคมมีดภายในรถจะไม่นับว่าร้ายแรงเท่าไหร่ แค่ทำให้เธอเจ็บปวดมากหน่อยอยู่ครึ่งคืนเท่านั้น ความเร็วในการรักษากลับรวดเร็วกว่าความเร็วปกติของยาตัวนี้…
เธอขยับข้อมือดูเล็กน้อย เมื่อยืนยันแล้วว่าไม่มีความผิดปกติ จึงโยนผ้าพันแผลทิ้งไป เดินออกมาจากรถม้า ไปจัดการธุระของตนต่อ
ทะเลสาบแห่งนั้นไม่นับว่าใหญ่เกินไป ผ่านไปสองวัน ก็มองเห็นก้นทะเลสาบนั้นแล้ว กู้ซีจิ่วกับคนงานยืนอยู่บนฝั่งทะเลสาบ มองดูก้นทะเลสาบที่แห้งขอด แต่ละคนล้วนตกตะลึงพรึงเพริด
ในทะเลสาบมี ‘ปลาวิญญาณอาฆาต’ อยู่นับหลายร้อยตัว! ปลาเหล่านี้ดีดดิ้นอย่างไม่พอใจอยู่ในโคลนตม และในโคลนตมก็มีท่อนกระดูกขาวโพลนกระจัดกระจายอยู่นับไม่ถ้วน ไม่ทราบเช่นกันว่ามีอยู่กี่โครง…
ไม่จำเป็นต้องถามเลย ทะเลสาบแห่งนี้เป็นสถานที่ผลิตวิญญาณแค้นของหรงเช่อเมื่อปีนั้น เขาโยนคนลงไปในทะเลสาบ ให้ถูกปลาวิญญาณอาฆาตกัดกิน ก่อตัวเป็นวิญญาณแค้นให้เขาใช้ประโยชน์
โครงกระดูกที่มหาศาลที่กองอยู่ก้นทะเลสาบก็คือหลักฐานที่ดีที่สุด!
ฝ่ามือของกู้ซีจิ่วก็มีเหงื่อเย็นเฉียบผุดพรายออกมาเช่นกัน ปีนั้นเธอไปมาหาสู่กับหรงเช่อ ยามที่มาเยี่ยมเยือนเขา เคยเดินเคียงข้างเขาเดินเล่นพูดคุยกันที่ริมทะเลสาบแห่งนี้ด้วย ถึงขั้นที่เคยล้างมือในทะเลสาบ…
ที่แท้เมื่อก่อนเธอก็อยู่ใกล้เทพแห่งความตายถึงเพียงนี้!
หากว่าหรงเช่อในยามนั้นมีจิตคิดสังหารเธอ ก็แค่ผลักเธอลงไปในน้ำ…
ถ้าเป็นเช่นนั้นยามนี้เธอก็คงเป็นหนึ่งในโครงกระดูกของทะเลสาบแห่งนี้แล้ว!
แปลกจริง ในทะเลสาบนี้มีคนสิ้นชีพมากมายถึงเพียงนี้ วิญญาณอาฆาตย่อมมีไม่น้อยเช่นกัน เมื่อก่อนตอนเธอเดินเล่นริมทะเลสาบกลับจับสัมผัสไม่ได้สักนิดเลย…
วิญญาณแค้นเหล่านั้นเมื่อถูกหรงเช่อใช้ประโยชน์เสร็จก็จัดการไปเลยใช่ไหมนะ?
คนผู้นี้ในยามนั้นดูสุภาพสง่างาม เฉียบแหลมเจ้าสำราญ เคยได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งให้สี่ยอดคุณชายแห่งเมืองหลวง ผู้ใดจะคาดคิดกันเล่าว่าเขาจะเป็นมารร้ายเช่นนี้?
เงาร่างของตี้ฝูอีแวบขึ้นมาในสมองเธอ คนผู้นี้ความคิดลึกล้ำเสมอมา จู่ๆ เขาก็มาตกปลาในจวนของเธอคงไม่ใช่การทำไปส่งเดช หรือจะตั้งใจใช้โอกาสนี้เตือนเธอให้ระวังทะเลสาบกินคนแห่งนี้?
นี่เขาหวังดีต่อเธอหรือ?
ใช่ไหม?
ในใจของกู้ซีจิ่วผันผวนดั่งระลอกคลื่นในมหาสมุทร จู่ๆ ก็นึกอยากเจอหน้าเขาขึ้นมา
ตัวเธอก็ไม่ทราบเช่นกันว่าสรุปแล้วอยากเจอหน้าเขาไปทำไม แต่ความคิดนี้พอผุดขึ้นมาแล้วระงับไว้ไม่ได้อีก
เธอสูดหายใจเบาๆ วันหน้าคงมีโอกาสได้พบเขาอีก…
….
เรื่องที่หรงเช่อเป็นมารปีนั้น หรงเจียหลัวเห็นแก่ความเป็นพี่น้อง จึงปกปิดไว้ ปวงประชาจึงไม่ทราบเรื่อง
ข้ารับใช้มากมายที่ได้เห็นโครงกระดูกจำนวนมากในทะเลสาบแห่งนี้ต่างตกตะลึง นึกไปว่านี่เป็น ‘ผลงาน’ ของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอม แต่ละคนต่างขุ่นเคืองในความอยุติธรรม
กู้ซีจิ่วไม่ได้พูดอะไร เพียงสั่งให้คนนำ ‘ปลาวิญญาณอาฆาต’ เหล่านั้นขึ้นมา ใช้ไฟเผาทั้งหมดให้หมดจด จากนั้นก็งมโครงกระดูกในทะเลสาบขึ้นมาจนสิ้น แล้วจัดหาสถานที่สำหรับฝังศพ
….
วันคืนดุจกระสวยทอผ้า กาลเวลาผันผ่าน พริบตาเดียวก็ผ่านไปห้าเดือนแล้ว
————————————————————————————-
บทที่ 1617 ค่อยๆ จืดจางลง
ในระยะเวลาห้าเดือนนี้ ยังคงมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้น อย่างเช่นในที่สุดอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยก็ก่อตั้งอาณาจักรขึ้นใหม่ได้แล้ว ดินแดนที่เคยถูกอาณาจักรเจาหยางและอาณาจักรเฟยซิงยึดไป ต่อมาด้วยโองการของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสองอาณาจักรต่างต้องส่งมอบพื้นที่ส่วนใหญ่ออกมา ถึงแม้จะไม่มีดินแดนกว้างขวางเท่าในอดีต แต่ไม่มีปัญหาสำหรับการก่อตั้งอาณาจักร
เชียนหลิงอวี่ถูกสถาปนาขึ้นเป็นจักรพรรดิ ตระกูลเชียนเรืองอำนาจ ประกอบกับอิทธิพลของเชียนหลิงอวี่ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์รวมถึงสายสัมพันธ์ของเขากับกู้ซีจิ่ว ด้วยเหตุนี้ราษฎรชาวเฮ่าเยวี่ยรวมถึงตระกูลสูงศักดิ์ที่เหลือจึงค่อนข้างยอมรับนับถือต่อการขึ้นเป็นจักรพรรดิของเขา ผนวกกับเขาเป็นจักรพรรดิที่ได้รับการแต่งตั้งจากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ย่อมกลายเป็นหนึ่งคนร้องร้อยคนขานรับเป็นธรรมดา ไม่มีการคัดค้านโต้แย้ง
แน่นอน ถึงอย่างไรอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยก็เคยแตกพ่ายมาก่อน มีปัญหาให้สะสางมากมาย เชียนหลิงอวี่จึงยุ่งอย่างยิ่ง
ถึงแม้เขาจะไม่ใคร่เข้าใจวิถีจัดรพรรดินัก แต่ถึงอย่างไรเขาก็ฉลาดเฉลียว ประกอบกับในตระกูลและในอาณาจักรของเขามีกุนซืออยู่ไม่น้อย ค่อยชี้แนะวางแผนให้เขา อีกทั้งเขามานะใฝ่เรียน จึงไม่ถึงกับเป็นจักรพรรดิผู้เลอะเลือน…
อีกตัวอย่างคือในช่วงห้าเดือนมานี้สงครามทั้งหมดล้วนสงบลงแล้ว ในที่สุดประชาชนก็ได้พักผ่อนฟื้นตัว
ห้าเดือนมานี้กู้ซีจิ่วไม่เคยได้พบหน้าตี้ฝูอีกเลย คนผู้นี้ราวกับหายสาบสูญไปแล้ว ไม่มีผู้ใดทราบเบาะแสของเขาเลย
และในช่วงห้าเดือนนี้ชื่อเสียงของกู้ซีจิ่วก็สูงส่งขึ้นยิ่งกว่าเดิม กลบชื่อของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่ว่ากู้ซีจิ่วจะไปไหน ล้วนมีเสียงแซ่ซ้องยินดี
ยามที่ผู้คนพบปัญหายุ่งยาก คนที่นึกถึงเป็นอันดับแรกไม่ใช่ตี้ฝูอีอีกต่อไป แต่เป็นกู้ซีจิ่ว….
เนื่องจากปกติแล้วตี้ฝูอีมักจะหายตัวไปครึ่งเดือนหนึ่งปีอยู่แล้ว ดังนั้นเขาไม่ปรากฏตัวนานถึงเพียงนี้ ก็ไม่มีใครคิดว่าผิดปกติอะไร
ถึงขั้นที่ว่าหากไม่มีใครตั้งใจเอ่ยถึงขึ้นมา ก็ไม่มีใครนึกถึงเลย…
อันที่จริงเรื่องราวในโลกก็เป็นเช่นนี้แล หากว่าคนผู้นั้นไม่อาจหาผู้ใดมาแทนที่ได้ ประชาชนจะไม่มีทางลืมเขา
แต่หากว่ามีคนที่สามารถแทนที่คนผู้นี้ได้ เช่นนั้นเมื่อเวลาล่วงเลยไปนาน ตัวตนของเขาในใจปวงชนก็จะค่อยๆ จืดจางลง
ระยะเวลาห้าเดือนจะว่านานก็ไม่นาน จะว่าสั้นก็ไม่สั้น กู้ซีจิ่วล้วนยุ่งง่วนอยู่ทุกวัน
และดูเหมือนว่าในที่สุดเธอก็ก้าวออกมาจากเงามืดของความรักครั้งนั้นได้แล้ว พบปะรวมตัวกับเพื่อนฝูงอยู่เสมอ พบหน้าสหายคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง บางครั้งก็ถึงขั้นที่แปลงโฉมออกไปท่องเที่ยวเขตชานเมืองกับเหล่าสหายด้วย…
เธอไม่ได้นอนไม่หลับตลอดทั้งคืนอีกต่อไปแล้ว นางนอนหลับสบายยิ่งนัก ส่วนใหญ่แล้วสามารถนอนยาวๆ ได้จนถึงฟ้าสาง
แน่นอนว่าเธอจะต้องนอนพักผ่อนแค่ในรถม้าหยกขาวคันนั้นเท่านั้น สถานที่อื่นเธอยังคงข่มตาหลับไม่ลงอยู่เช่นเดิม…
บนโลกนี้ไม่มีอุปสรรคใดที่ข้ามผ่านไปไม่ได้ และไม่มีสิ่งใดที่ไม่จางหายไปตามกาลเวลา เมื่อหลัวจั่นอวี่เห็นความเปลี่ยนแปลงของกู้ซีจิ่วก็รู้สึกปีติยินดียิ่งนัก
เธอที่พบพานการถูกหักหลังมาแล้วมีสติฮึกเหิมกว่าเมื่อก่อนมาก บางทีเธอคงอยากให้ชีวิตให้ดี ให้คนผู้นั้นได้เห็น ทำให้คนผู้นั้นรู้ว่าเธอใช่ว่าจะขาดเขาไม่ได้ ไม่มีเขาเธอก็ยังมีชีวิตอยู่ดียิ่ง
ดังนั้นเธอจึงมุมานะกว่าแต่ก่อน รู้จักบ่มเพาะขุมกำลังของตนแล้ว ด้วยการสนับสนุนของเธอไป๋หลี่เช่อได้ก่อตั้งสำนักสันโดษขึ้น แกนนำหลักของสำนักก็คือคนที่เธอพาออกมาจากเขตหวงห้ามเหล่านั้น
เนื่องจากสำนักนี้มีจุดตั้งต้นสูงส่ง ปรมาจารย์ในสำนักล้วนเป็นผู้ที่บรรลุขั้นเก้าขึ้นไป ย่อมมีผู้คนแห่แหนมากราบกรานเข้าสำนักเป็นธรรมดา ภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือนก็คัดเลือกศิษย์อัจฉริยะได้หลายร้อยคน กลายเป็นสำนักที่เลื่องชื่อยิ่งนักแห่งหนึ่ง
เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง สำนักนี้จะสามารถประชันทัดเทียมกับสำนักอื่นๆ ได้แน่นอน
ถึงแม้ไป๋หลี่เช่อจะเป็นเจ้าสำนักของสำนักสันโดษ แต่หัวหน้าใหญ่ที่ไม่ออกหน้าทุกคนยังคงเป็นกู้ซีจิ่ว ถ้ามีเรื่องใหญ่อันใดขึ้นมาจริงๆ ก็ยังต้องเชิญเธอมาตัดสินใจ
กล่าวได้ว่าสำนักสันโดษเป็นองค์กรที่ภักดีต่อกู้ซีจิ่วที่สุด และเป็นกองหนุนที่แข็งแกร่งของเธอ
————————————————————————————-