บทที่ 1622 คืนสิ้นปี 1
เดิมทีเขาหมดหวังไปแล้ว แต่ตอนนี้วาสนาของกู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีขาดจากกันอย่างสมบูรณ์แล้ว แบบนั้นไม่เท่ากับว่าเขายังมีหวังกับเธออยู่หรอกหรือ?
เขาพลาดโอกาสไปแล้วครั้งหนึ่ง ไม่อยากพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง
มือของกู้ซีจิ่วที่กุมจอกสุราอยู่พลันหยุดชะงัก เชิดหน้าดื่มสุราอีกจอก
เธอจำได้ว่ามีคนเคยกล่าวเอาไว้ ถ้าต้องจะหลุดพ้นจากอาการอกหักโดยเร็ว วิธีที่ดีที่สุดคือการมีรักครั้งใหม่ ส่วนหลงซือเย่เคยเป็นครูฝึกของเธอ เคยเป็นคนที่หมายปอง หากว่าสานต่อวาสนากับเขา เธอจะสามารถก้าวออกมาจากหล่มรักครั้งนี้ได้หรือเปล่านะ?
เธอดื่มสุราจนสมองค่อนข้างเลอะเลือนแล้ว ในใจของเธอก็ราวกับแช่อยู่ในน้ำ อึดอัดจนหายใจไม่ออก
กู้ซีจิ่ว เธอมันไร้ประโยชน์!
เขาทำกับเธอขนาดนี้เธอยังไม่ลืมเขาอีก! ยังหวังว่าจะได้เจอเขาอยู่อีก! นี่เธอเป็นทาสรักหรือไง?!
เขาไม่ต้องการเธอแล้ว! มองเธอเป็นคนแปลกหน้า เห็นเธอเป็นเพื่อนร่วมงานธรรมดา เธอยังคิดถึงเขาอยู่ทำไม? หรือว่ายังอยากเป็นสหายธรรมดาๆ ของเขาอยู่? ขอแค่ได้มองเขามากขึ้นอีกแวบงั้นสิ?
รนหาที่หรือไง? เธออย่ากระจอกขนาดนี้ได้ไหม?! ไม่เด็ดเดี่ยวเอาเสียเลย!
กู้ซีจิ่ว เขาไม่เห็นค่าเธอแล้ว! เป็นความจริง! เธอไม่มีค่าแล้ว!
แต่ว่า เธออยากเจอหน้าเขาอีกจริงๆ นะ! อยากจนแทบบ้าแล้ว!
เธอนึกว่าจะได้พบหน้าเขาสักแวบในงานเลี้ยงที่วังหลวง แต่เขาก็ไม่มา…
ความคะนึงดั่งต้นหญ้าในฤดูใบไม้ผลิ ทอดยาวไปไกลทว่ายังฝังรากลึก…
….
ความคิดหมดอาลัยตายอยากนับไม่ถ้วนหมุนวนอยู่ในสมองของเธอด้วยฤทธิ์สุรา เธอกรอกสุราเข้าไปอีกคำ พลาดท่าสำลักเข้า เธอไอออกมาอย่างรุนแรง ไอจนน้ำตาไหล
หลงซือเย่ลุกขึ้นมาลูบหลังเธอ ให้เธอโล่งคอ แล้วส่งผ้าเช็ดหน้าสีขาวพิสุทธิ์ผืนหนึ่งให้เธอ ให้เธอซับน้ำตาที่ไอจนไหลออกมา
ไม่ง่ายเลยกว่ากู้ซีจิ่วจะหยุดไอได้ น้ำตาไหลแทบเต็มหน้าแล้ว
เธอใช้ผ้าเช็ดหน้าซับ พลางเยาะหยันตัวเอง “นานมากแล้วที่ไม่ได้สำลัก การสำลักครั้งนี้ร้ายกาจจริงๆ…”
หลงซือเย่มองเธออยู่สักพัก ถอนหายใจออกมา “ซีจิ่ว ต่อหน้าฉันเธอไม่จำเป็นต้องฝืนเข้มแข็งหรอก อยากร้องก็ร้องออกมาเถอะ”
กู้ซีจิ่วเงียบไปครู่หนึ่ง
เธอยังคงโต้แย้ง “ฉันไม่ได้อยากร้องไห้ ฉันแค่สำลักเหล้า…”
หลงซือเย่มองเธอโดยไม่พูดอะไร ถึงอย่างไรก็เคยมีความสัมพันธ์กันเช่นนั้น เขาย่อมรู้จักเธอดีที่สุด มองการแสร้งทำของเธอออกอย่างง่ายดายยิ่ง
หลายเดือนมานี้เธอแสร้งทำเป็นว่าสบายดียิ่งนัก ต่อให้เป็นพี่ชายแท้ๆ ของเธอก็อาจมองไม่ออกว่าเธอกำลังฝืนยิ้มแย้มอยู่ ทุกคนคิดว่าเธอก้าวออกมาได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่คิดถึงตี้ฝูอีอย่างสิ้นเชิงแล้ว แต่หลงซือเย่กลับรู้ดี เพราะว่ารู้ดีเมื่อเห็นเธอเป็นเช่นนี้ถึงได้ปวดใจ…
ยิ่งกู้ซีจิ่วอธิบายเท่าไหร่ยิ่งก็ยิ่งเบาลงเท่านั้น สุดท้ายเธอก็พูดไม่ออกแล้ว เธอรู้ว่าหลงซือเย่รู้จักเธอดี…
ในร่างของหลงซือเย่เดิมทีผนึกหลงฟั่นเอาไว้ แต่ห้าเดือนก่อนตี้ฝูอีมาหาหลงซือเย่ พบว่าในร่างเขาไม่มีร่องรอยของดวงวิญญาณหลงฟั่นแล้ว และไม่ทราบเช่นกันว่าหลบหนีไปที่อื่น หรือว่าถูกดวงวิญญาณของหลงซือเย่กลืนกินไปอย่างสมบูรณ์แล้ว…
ตี้ฝูอีเคยเรียกวิญญาณของหลงฟั่นดูแล้วเช่นกัน และเรียกมาไม่ได้เลยสักเสี้ยวกระผีก
เมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมีความเป็นไปได้อยู่สองกรณี หนึ่งคือมันไม่อยู่บนโลกนี้แล้วจริงๆ สองคือเขาไปเกิดใหม่แล้ว ไม่อาจสิงสู่ร่างของผู้อื่นได้อีกต่อไป
เนื่องจากครั้งก่อนตี้ฝูอีได้ประทับตราไว้บนร่างจิตของหลงฟั่น ทำให้เขาสิงสู่ใครไม่ได้อีก ต่อให้สร้างร่างโคลนนิ่งออกมาอีกก็ไม่ได้เช่นกัน!
สองกรณีนี้ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหนล้วนเป็นผลดีต่อหลงซือเย่ทั้งสิ้น และเป็นผลดีต่อโลกนี้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นตี้ฝูอีกับหลงซือเย่จึงไม่สืบสาวราวเรื่องกันอีก
————————————————————————————-
บทที่ 1623 คืนสิ้นปี 2
เรื่องนี้หลงซือเย่เคยเล่าให้กู้ซีจิ่วฟังแล้ว ตอนนั้นกู้ซีจิ่วตัดขาดกับตี้ฝูอี เธอนึกไม่ถึงเลยว่าตี้ฝูอีจะยังช่วยเหลือหลงซือเย่อยู่ ในใจประหลาดใจขึ้นมาทันที
ต่อมาก็นึกขึ้นได้ว่าเดิมทีหลงซือเย่ก็เป็นสานุศิษย์สวรรค์ ตี้ฝูอีมีฐานะเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ปกป้องคุ้มครองสานุศิษย์สวรรค์มาโดยตลอด เขาทำการรักษาให้หลงซือเย่ย่อมมิใช่เพราะเห็นแก่หน้าเธอกู้ซีจิ่ว
ไม่ว่าตี้ฝูอีจะทำเพื่อใคร ขอแค่สามารถกำจัดภัยพิบัติใหญ่เช่นหลงฟั่นได้อย่างสมบูรณ์กู้ซีจิ่วก็ยังคงยินดียิ่งนัก และรู้สึกดีใจแทนหลงซือเย่ด้วย
ช่วงห้าเดือนมานี้พบหน้าหลงซือเย่อยู่หลายครั้ง ถึงขั้นที่เคยดื่มสุราด้วยกันสองครั้งแล้ว ตอนนั้นหลงซือเย่ไม่ได้ปลอบใจเธอเลย เพียงอยู่เป็นเพื่อนข้างกายเธอ
เรื่องเช่นนี้ผู้อื่นปลอบไปก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่เจ้าตัวต้องค่อยๆ ก้าวออกมาเอง
กู้ซีจิ่วยังคงเคร่งครัดกับตัวเองยิ่งนักอยู่ ต่อให้ในใจจะเสียใจสักแค่ไหนเธอก็ไม่คิดจะร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น
ยามที่เสียใจอย่างยิ่ง ก็จะหาสถานที่ปลอดผู้คนสักแห่งนั่งเงียบๆ อยู่ทั้งคืน เหมือนลูกสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บ เพียงอยากหลบเลียแผลตนในสถานที่ไร้ผู้คนเท่านั้น ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น
“ซีจิ่ว ร้องเพลงกับเต้นรำให้ฉันเพลงได้ไหม?” หลงซือเย่ไม่อยากให้บรรยากาศหดหู่อยู่เช่นนี้ จึงเสนอขึ้นมา
เขาหยิบพิณตัวหนึ่งออกมาอย่างกระตือรือร้น “ฉันจะบรรเลงให้เธอเอง”
กู้ซีจิ่วก็ไม่ปฏิเสธเช่นกัน “ได้!”
เสียงพิณแว่วขึ้นมา กู้ซีจิ่วขับขานบทเพลง
ปีนั้นบนถนนที่ทอดยาวกลิ่นอายรักกรุ่นกำจร ควบม้าทะยานกลางหมอกฝนดุจภาพฝัน
หลบฝนใต้ชายคา สบสายตาลึกล้ำคู่หนึ่ง
ดั่งภูผาที่แทรกด้วยวาโยโบกพลิ้วหิมะลออ
สายพิรุณเยียบเย็น สายลมพัดพาหมอกสลัวหอมระคนธ์
ดวงใจพลันสั่นไหวเฉกดุจคมกระบี่อ่อนโยนของท่าน กวัดแกว่งสง่างามน่าตะลึง
หรือคำรักที่จารจดล้วนกลายเป็นความว่างเปล่าไปแล้วสิ้นหนึ่งขีดหนึ่งเขียนกลั่นกรองแล้วจึ่งมอบให้…
มือของหลงซือเย่ที่ดีดพิณอยู่พลันชะงักไป เพลงที่เธอร้องคือ ‘สหายพรตหญิงผู้หนึ่งของข้า’[1] บางทีเพลงนี้อาจจะเข้ากับความรู้สึกของเธออย่างยิ่ง เธอร้องอย่างตั้งใจยิ่งนัก
ทว่าข้าทำได้เพียงแสร้งยิ้มแย้มสุขุม รับฟังคำรักหวานซึ้งเหล่านั้นที่แว่วอยู่ริมหู
ไม่เหลียวมองดวงหน้าอันคุ้นเคยของท่าน ดื่มสุราอย่างเงียบเหงาทำราวกับไม่แยแส…
นอกทวารบรรพตหิมะโบกพัดชายชุดขาวปลิวไสวหลอมละลายบนปลายนิ้ว
แบกกระบี่ยามถามไถ่บนยุทธภพอันกว้างไกลควรจักไปยังแห่งใดดี?
ชาตินี้ยามนี้เป็นดั่งเรื่องขบขันกระทั่งตัวข้าก็ยังหัวเราะเยาะหยันตัว
ความปรารถนาเพียงฝ่ายใดของข้ามีเริ่มต้นทว่าไร้สิ้นสุด หากท่านมีใจให้ผู้อื่นตั้งแต่ต้น ไยต้องมาทำให้ข้ายกใจให้ผิดคน หรือการที่ได้เห็นข้าหมดอาลัยตายอยาก ทำให้ท่านสุขใจกระนั้นหรือ?
โชคดีที่ข้าผ่านเรื่องราวบนโลกโลกีย์มาเนิ่นนานแล้ว หัวใจดวงนี้ถูกทะลวงนับร้อยนับพันบาดแผล
จะหวั่นเกรงกับความกลับกลอกที่เป็นดั่งคมมีดกรีดเฉือนของท่านได้อย่างไร ข้าไม่มีทางเจ็บปวด มิสู้กลบฝังเรื่องราวในอดีตไว้กลางสายลม
เสียงพิณเอ้อระเหย เสียงเพลงแว่ววน ล่องลอยอยู่ภายในศาลาหลังน้อย
กู้ซีจิ่วหยักยิ้มมุมปาก ถือตะเกียบเล่มหนึ่งเคาะจอกสุราร้องเพลง
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นบทเพลงที่เศร้าสร้อยยิ่งนัก แต่พอเธอขับขานออกมากลับให้อารมณ์ห้าวหาญเกรียงไกร เมื่อเพลงนี้จบลง คล้ายว่าเธอจะมีไฟในการร้องเพลงขึ้นมาแล้ว ขับขานออกมาทีละเพลงๆ
ไม่เพียงแต่ร้องเพลงเท่านั้นยังร่ายรำไปตามเสียงพิณด้วย
ด้านนอกศาลหิมะปลิวว่อนด้านในศาลามีเงาคนร่ายรำ
การร้องรำของเธอยอดเยี่ยมมาก ปีนั้นหลังจากที่ตี้ฝูอีได้ยลแล้วก็ไม่อนุญาตให้เธอร้องรำต่อหน้าคนอื่นอีก บอกว่าเธอต้องร้องรำให้เขาชมเพียงผู้เดียว มิเช่นนั้นเขาจะหึงหวง
ตอนนี้เธอกับเขาตัดขาดกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว ไม่ว่าเธอจะร้องรำให้ผู้ใดชม เขาล้วนขัดขวางไม่ได้แล้ว และไม่มีสิทธิ์ที่จะขัดขวางด้วย ในที่สุดเธอก็เธอทำตามใจได้แล้ว!
เธอร้องเพลงแล้วเพลงเล่า หลงซือเย่ก็บรรเลงให้เธอเพลงแล้วเพลงเล่า
หลายปีมานี้ฝีมือการบรรเลงพิณของเขาพัฒนาขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้เพลงที่ดีดออกมาจะไม่สามารถดึงดูดวิหคนับร้อยให้มาบินร่อนร่ายรำได้ แต่ก็ทำให้ผู้ฟังลุ่มหลงเมามายได้เช่นกัน
บางทีอาจเป็นเพราะเหน็ดเหนื่อยเกินไป หรืออาจเป็นเพราะเมามายแล้ว ในที่สุดเธอก็หยุดร้องรำ หลังจากพูดคุยกับหลงซือเย่ได้ไม่กี่ประโยค ก็ฟุบลงบนโต๊ะหลับใหลไปทันที
————————————————————————————-
[1] สหายพรตหญิงผู้หนึ่งของข้า (我的一个道姑朋友) เป็นเพลงประกอบเกมออนไลน์กระบี่ชะตาจอมยุทธ์ภาค 3 เป็นบทเพลงเศร้าที่รำพันถึงความรักในอดีต ฝ่ายชายเปลี่ยนใจไปแล้วแต่ฝ่ายหญิงยังคงจมดิ่งหวนรำลึกถึงความหลังอยู่เสมอ