บทที่ 1726 คืนชีพ
มันถอยหลังไป ‘ขะ…ข้าพูดถึงคนใหม่…เจ้านายคนใหม่ไง…ในไม่ช้าก็เร็วจะมีเทพศักดิ์สิทธิ์องค์ใหม่ปรากฏตัวขึ้นในโลกนี้จริงๆ ตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์สามารถรักษาการณ์แทนได้เพียงสามร้อยปีเท่านั้น…’
ตี้ฝูอีคว้าตัวมันไว้ทันที “ยังไม่พูดความจริงอีกรึ?!” นึกว่าเขาหลอกได้ง่ายๆ เหมือนเด็กน้อยวัยสามขวบหรือไง?
หยกนภาฮึดดิ้นรนเป็นหนสุดท้าย ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ลิขิตสวรรค์ไม่อาจแพร่งพรายได้! มิเช่นนั้นจะชักภัยมาถึงตัวท่าน!’
“ข้าไม่กลัว! พูดมา! เจ้าอย่าลืมนะ ว่าข้าก็สามารถทำนายลิขิตสวรรค์ได้ล่วงหน้าเช่นกัน ต่อให้เจ้าบอกข้าก็ไม่นับว่าเป็นการแพร่งพรายหรอก”
‘แต่เป็นเพราะท่านฝ่าฝืนชะตามาหลายหนแล้ว ไม่อาจวางตัวอยู่เหนือเรื่องราวได้ ดังนั้นจึงแพร่งพรายลิขิตสวรรค์แก่ท่านไม่ได้แล้ว!’ หยกนภาโมโหไม่น้อยเลย
ตี้ฝูอีมองมันอย่างเยียบเย็น “เหตุการณ์เหล่านั้นที่เจ้าให้ข้าดูก่อนหน้านี้ไม่นับว่าเป็นลิขิตสวรรค์หรือไง?”
หยกนภากระอักกระอวนแล้ว ‘…น่ะ…นั่นเป็นเพียงการคาดคะเน…คาดคะเนเรื่องที่จะเกิดขึ้นหากว่าท่านเศร้าหมองอยู่เช่นนี้’
ตี้ฝูอีมองดูมันโดยไม่พูดอะไร
หากว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปว่าจะเกิดขึ้นก็ไม่ใช่ลิขิตสวรรค์ ไอ้ตัวบัดซบนี่คิดจะหลอกลวงผู้ใดกัน?! คิดว่าเขาไม่เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าลิขิตสวรรค์งั้นหรือ?
หยกนภาถูกเขาจ้องมองจนเนื้อหยกแทบจะแข็งทื่อแล้ว ในที่สุดก็เปิดปากเอ่ย ‘เนื่องจากเจ้านายคือเทพศักดิ์องค์ใหม่ นาง…ถ้ายังไม่ถึงเวลานางจะไม่มีทางดับขันธ์ และไม่มีทางสิ้นชีพไปอย่างแท้จริงด้วย นางใช้อาคมต้องห้ามปลิดชีพตนโดยพลการ ทำลายสมดุลของโลกใบนี้ นับว่าฝ่าฝืนวิถีสวรรค์ ตามหลักแล้วสมควรได้รับโทษทัณฑ์อย่างหนัก ดังนั้นสวรรค์จึงลงทัณฑ์นางอย่างหนัก นางจะฟื้นคืนชีพในอีกไม่กี่ปีให้หลัง และคืนชีพพร้อมกับความทรงจำทั้งหมด แม้กระทั่งความจริงเรื่องการดับขันธ์ของท่านนางก็จะทราบทั้งสิ้น ทุกคืนนางจะฝันร้ายเช่นเดียวกับในอดีต ส่งผลให้ความทรงจำเหล่านั้นของนางแจ่มชัดดั่งวันวาน…’
เช่นนั้นเหี้ยมโหดเกินไปแล้ว!
สีหน้าตี้ฝูอีซีดเผือด “พูดต่อไป!”
หยกนภาก็ยอมเสี่ยงกล่าวออกมาแล้วเช่นกัน ‘หากว่าท่านปล่อยให้โลกใบนี้ย่อยยับไป เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาที่นางกลับมารับช่วงต่อก็เป็นเพียงดินแดนที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง สหายทั้งหมดของนางล้วนจากนางไปแล้ว นางจะทุกข์ทรมานด้วยความรู้สึกผิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ก็ไม่อาจตายได้ ทำได้เพียงก่อสร้างทวีปนี้ขึ้นมาใหม่…จนกว่าสวรรค์จะพึงพอใจ อนุญาตให้นางดับขันธ์ได้ นางถึงจะได้รับการปลดปล่อยอย่างแท้จริง…’
ตี้ฝูอีตัวแข็งทื่อไปแล้ว!
เกิดเสียงดัง ‘แกร็ก!’ โต๊ะตัวหนึ่งข้างกายตี้ฝูอีที่แข็งแรงเป็นพิเศษแหลกเป็นจุณไปทันที!
“คนผิดคือข้าชัดๆ! เหตุใดต้องลงโทษนาง?!”
หยกนภาสั่นเทิ้มแล้ว กล่าวอย่างคับแค้นใจในความอยุติธรรมเช่นกัน ‘ใช่แล้ว ไม่ยุติธรรมยิ่งนักจริงๆ…’
มันก็รู้สึกเช่นกันว่าหนนี้ ‘วิถีสวรรค์’ ทำเกินไป ทำให้มันหมดคำพูดยิ่งนัก รู้สึกอยุติธรรมแทนเจ้านายของบ้านตน
ตี้ฝูอีหลับตาลง นิ้วมือในแขนเสื้อคล้ายจะจรดคำนวณสิ่งใดอยู่
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงลืมตาขึ้น สายตาร่อนลงบนร่างหยกนภา “ดูเหมือนว่าสวรรค์จะใช้ความปลอดภัยของนางมาข่มขู่ข้า…”
หยกนภานิ่งเงียบไป อาจจะใช่กระมัง มันก็มีข้อสงสัยเช่นนี้เหมือนกัน
มันเอ่ยถามอย่างระมัดระวังยิ่ง ‘เช่นนั้นท่าน…’
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ไม่ชอบโดนผู้อื่นข่มขู่เป็นที่สุด ผู้ใดก็ข่มขู่เขาไม่ได้ทั้งนั้น เขาฝ่าฝืนชะตาฟ้าลิขิตมาหลายครั้งแล้ว ไม่รู้ว่าหนนี้…
“ต้องการให้ข้าทำอย่างไร?” ตี้ฝูอีก็ตรงไปตรงมายิ่งนักเช่นกัน
หยกนภาถอนหายใจอย่างโล่งอก ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านฟังที่ข้าบอกนะ…’
มันร่ายรายการยาวเหยียดออกมา ตี้ฝูอีฟังอยู่เงียบๆ ไม่ส่งเสียง เอ่ยเรียบๆ ว่า “ถ้าจะให้ข้ากระทำเรื่องเหล่านี้ ก็เพิกถอนโทษทัณฑ์หนักหนาทั้งหมดของนางเสีย! ถ้าจำเป็นต้องลงโทษใครสักคน ก็มาลงทัณฑ์ข้าได้เลย!”
หยกนภาพลันเรืองแสง มันส่องแสงกะพริบอยู่พักหนึ่ง เห็นได้ชัดว่ากำลังสื่อสารกับบางอย่างอยู่ ผ่านไปครู่หนึ่งก็แถลงไขต่อตี้ฝูอี ‘ขอเพียงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ทำได้ดี ทำให้โลกนี้ราบรื่นสงบสุขได้ โทษทัณฑ์หนักหนาของนางก็จะถูกเพิกถอน’
———————————————————————-
บทที่ 1727 คืนชีพ 2
แต่วิถีสวรรค์หาใช่เด็กน้อยเล่นขายของไม่ เมื่อต้องการลงโทษคนผู้หนึ่งอย่างแท้จริง หากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยินยอม ก็สามารถรับโทษทัณฑ์ไว้บนร่างท่านได้ แต่วิธีลงโทษจะไม่เหมือนกันแน่นอน…’
ตี้ฝูอีเอ่ยอย่างเฉยชา “เรื่องนี้ข้ารู้ดี ไม่ว่าจะเป็นโทษทัณฑ์ใด ข้าก็จะรับไว้”
หยกนภาส่องแสงกะพริบอย่างซาบซึ้งตื้นตัน ไม่นึกเลยว่าเทพศักดิ์สิทธิ์จะทำเพื่อเจ้านายของมันถึงขั้นนี้ เฮ้อ เพียงน่าเสียดายที่เจ้านายไม่สามารถเห็นด้วยตาตนได้…
จิตใจมันพลันเปิดกว้างปราดเปรื่องขึ้นมา ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ อันที่จริงท่านสามารถทำให้เจ้านายของข้าฟื้นคืนชีพสู่โลกนี้ก่อนกำหนดได้ ด้วยเงื่อนไขนี้สามารถพบหน้าท่านอีกครั้งได้…’
ตี้ฝูอีนิ่งไปแวบหนึ่ง น้ำเสียงราบเรียบ “ทำให้นางฟื้นคืนชีพขึ้นมาทันเวลา เพื่อมาเผชิญหน้ากับการแตกดับของข้าอีกครั้งงั้นหรือ?”
หยกนภาอึ้งไปเล็กน้อย ‘…เช่นนี้ท่านจะได้ไม่เหลือห่วงให้เสียใจไง’
ตี้ฝูอีอุ้มกู้ซีจิ่วหันหลังออกเดิน “หากว่าเป็นไปได้ ข้าปรารถนาเพียงว่าหลังจากนางคืนชีพขึ้นมาจะจำข้าไม่ได้อีก ลืมเลือนไปอย่างสมบูรณ์ว่าข้าคือผู้ใด ใช้ชีวิตบนโลกนี้อย่างสง่างามตามใจตน”
หยกนภาพูดอะไรไม่ออกเลย
หยกนาภานิ่งงันไปครู่หนึ่ง รีบติดตามไป รวบรวามความกล้าเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง ‘หากว่านางลืมเลือนท่านไปอย่างสมบูรณ์ ด้วยชีวิตอันยืนยงเนิ่นนนานบางทีอาจจะชมชมบุรุษคนอื่นก็ได้นะ ครองคู่โบนบินกับชายอื่น…’
ฝีเท้าของตี้ฝูอีชะงักไปแวบหนึ่ง แล้วก้าวไปยังด้านนอกต่อ เพียงแต่ในยามที่หยกนภานึกว่าเขาคงไม่เอ่ยตอบแล้วน้ำเสียงที่แฝงความแหบพร่าไว้เล็กน้อยของเขากลับแว่วขึ้นมาแผ่วๆ “เช่นนั้น…ก็ไม่เลว”
‘แต่หากว่านางคืนชีพกลับมาพร้อมความทรงจำ ยังจดจำท่านได้ ถึงขั้นที่ทราบความจริงแล้วด้วย แต่ท่านล่วงลับไปแล้ว ทำให้นางไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้แก้ไข นางจะเสียใจยิ่งกว่าเดิมหรือเปล่าล่ะ?’
ตี้ฝูอีหยุดฝีเท้าแล้ว
นางจะเสียใจยิ่งกว่าเดิมหรือเปล่า?
เขารู้ว่านางจะเสียใจแน่นอน!
นางรักเขายิ่งชีพ เพื่อเขาแล้วแม้กระทั่งด้วยวิญญาณจะแตกสลายก็ไม่เสียดายเลย หากว่าสถานการณ์เป็นไปตามที่หยกนภาพูด เกรงว่านางคงจะเสียใจไปชั่วชีวิต เป็นหนามยอกอกนางไปตลอดกาล และในความทรงจำของนาง ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรก็แก้ตัวได้ไม่กระจ่างแล้ว…
….
….กู้ซีจิ่วกำลังลอยผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ เธอค่อนข้างมึนงง
ด้านล่างเป็นราชรถแก้วผลึกสีม่วงคันหนึ่ง ภายในรถม้าตกแต่งอย่างเรียบง่ายสะดวกสบาย เป็นรูปแบบอย่างที่เธอชอบ
และในห้องโดยสารมีคนสองคนนั่งเคียงกันอยู่
คนหนึ่งสวมอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์ดุจหิมะ เรือนผมดำขลับดั่งม่านน้ำตก เครื่องหน้าหล่อเหลาไร้ใดเทียม อำนาจบนร่างกล้าแกร่งจนทำให้คนมองข้ามรูปโฉมอันล้ำเลิศของเขาไป คนผู้นี้ต่อให้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านกู้ซีจิ่วก็ยังจดจำกระดูกของเขาได้ ย่อมเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์หวงถู และเป็นตี้ฝูอี
และผู้ที่นั่งอิงแอบแนบข้างกายเขาก็คือดรุณีชุดเขียวนางหนึ่ง รูปโฉมพิสุทธิ์เยือกเย็น เรือนกายอรชรอ้อนแอ้นได้สัดส่วน งดงามอย่างยิ่ง น่าเสียดายที่เป็นเพียงศพเท่านั้น
กู้ซีจิ่วย่อมคุ้นเคยกับร่างนี้อย่างไม่อาจคุ้นเคยไปมากกว่านี้ได้แล้ว นี่คือตัวเธอเอง…
แขนข้างหนึ่งของตี้ฝูอีโอบเอวบางของดรุณีผู้นั้นไว้ ให้ศีรษะของดรุณีนางนั้นซบลงบนไหล่ตน มองจากท่าทางเช่นนี้แล้ว ดูสนิทสนมชิดเชื้อกันอย่างเหนือธรรมดา
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าในหัวใจค่อนข้างฝาดเฝื่อนและโศกหมอง
อันที่จริงแล้วนางโหยหาอ้อมกอดนั้นมาเนิ่นนานยิ่งนักแล้ว แต่เกือบครึ่งปีที่ผ่านมานางได้พบเขาในฐานะคนแปลกหน้าบ้าง แขกผู้มีเกียรติบ้าง นานมากแล้วที่ไม่ได้นั่งด้วยกันอย่างสนิทชิดเชื้อเช่นนี้
น่าเสียดายที่สิ่งที่เขาโอบกอดอยู่เป็นเพียงซากศพร่างหนึ่งเท่านั้น เธอมองเห็นได้ทว่าสัมผัสถึงไม่ได้
กู้ซีจิ่วสัมผัสได้ว่าตนล่องลอยอยู่เหนือรถม้าคันนี้ แต่เธอหันซ้ายมองขวาก็มองไม่เห็นร่างกายของตนเลย…
เธอล่องลอยอย่างมึนงงอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ค่อนข้างไม่เข้าใจสถานการณ์ไปชั่วขณะ
ความทรงจำของเธอหยุดลงตรงที่ตกตายไปพร้อมกับโม่เจ้า
เธอจำได้อย่างชัดเจนว่าตนตายไปแล้ว วิญญาณแตกสลายไปแล้วชัดๆ ไม่รู้สึกรู้สาอะไรไปแล้ว ทำไมจู่ๆ ถึงมาโผล่ที่นี่อีกล่ะ?
————————————————————————