บทที่ 1858 หมกมุ่น 4
“ถ้าเจ้าต้องการตามหาเขา อาจต้องประสบพบพานอันตรายใหญ่หลวงยิ่ง ไม่แน่ว่าอาจเอาชีวิตของเจ้าได้ เช่นนี้เจ้าก็จะหาอีกรึ?”
“หา!” กู้ซีจิ่วไม่ลังเลเลย
เสียงนั้นเงียบไปอีกครั้ง ยามที่กู้ซีจิ่วคิดว่าเสียงนี้คงไม่พูดอะไรอีกแล้ว ในที่สุดอีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “เช่นนั้นเจ้าต้องหากล่องไม้ในอ้อมอกเขาใบนั้นให้เจอก่อน”
กู้ซีจิ่วผงะไปครู่หนึ่ง หากล่องใบนั้น?
“แล้วกล่องใบนั้นอยู่ที่ไหน?” เธอถาม
“บุพเพสันนิวาสสวรรค์เกื้อ หมายรักมั่นชั่วชีวิต อับจนด้วยสายใยรักสะบั้นขาด กลบกล่องฝังรัก…” จู่ๆ เสียงนั้นก็เอ่ยวาจาดั่งปุจฉาธรรมออกมา
กู้ซีจิ่วฟังแล้วสับสนงงงวย อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถ้าอีกสองสามประโยค จนปัญหาที่เสียงนั้นไม่เอื้อนเอ่ยแล้ว
กู้ซีจิ่วใคร่ครวญปุจฉาธรรมไม่กี่ประโยคนั้นอยู่เงียบๆ ถึงแม้จะไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ แต่ยังคงจดจำเอาไว้
“นี่ ถ้าข้ากล่องใบนั้นเจอแล้วต้องทำอะไรต่อล่ะ?” กู้ซีจิ่วขึ้นมาในความว่างเปล่า
….
‘เจ้านาย เจ้านาย ท่านตื่นสิ ตื่นได้แล้ว!’ หยกนภาพลันตะโกนขึ้นมาในหัวสมองเธอ
กู้ซีจิ่วสะดุ้งโหยง ตกใจตื่นจากความฝัน เธอลืมตาขึ้น พบว่าตนยังคงนอนพิงอยู่บนต้นไม้ใหญ่ เมื่อครู่เพียงฝันไปเท่านั้น
เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันมานี้เลยที่เธอฝันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวยิ่งนักเช่นนี้ อดไม่ได้ที่จะหวนคะนึงหา
ดูเหมือนว่าคนที่เธอตามหาผู้นั้นจะไม่ได้สวมเพียงชุดสีม่วง ในความฝันเขาแต่งกายด้วยชุดขาวพิสุทธ์ดุจหิมะ
เธอนึกถึงกล่องในอ้อมแขนของคนผู้นั้นขึ้นมาอีกครั้ง เป็นสีแดงเข้ม ประดับด้วยมรกต…
กล่องใบนั้นมีความลับอะไรอยู่?
เธอนั่งใจลอยอยู่ตรงนั้น หยกนภาทนไม่ไหวจึงเอ่ยว่า ‘เจ้านาย ท่านเป็นอะไร? เมื่อกี้ท่านละเมออยู่ตลอดเลย…’
เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันมานี้ที่มันได้ยินนางละเมอ! มันอยากรู้อย่างยิ่งว่าเจ้านายฝันถึงอะไร
ความฝันของนางมิใช่ทุ่งหิมะขาวโพลนหรอกหรือ? หรือว่าหนนี้เปลี่ยนไปแล้ว?
“หุบปาก! อย่าโวยวาย!” กู้ซีจิ่วรำคาญที่มันโวยวาย จึงยื่นมือไปผนึกสตินึกรู้ของมันเสีย ด้วยเหตุนี้ในที่สุดจึงสงบหูลงแล้ว
ขณะที่เธอกำลังใคร่ครวญอยู่ ด้านล่างพลันวุ่นวายเล็กน้อย มีคนตะโกนขึ้นมา “องค์รัชทายาทเสด็จ!”
กู้ซีจิ่วยืดตัวขึ้น
บังเอิญขนาดนี้เชียว?!
ก่อนหน้านี้เธอคิดอยู่เลยว่าจะไปหาองค์รัชทายาทผู้นี้ เขากลับวิ่งมาด้วยตัวเองแล้ว!
ขบวนขององค์รัชทายาทใหญ่โตนัก ต่างจากอวิ๋นเยียนหลีที่ไปไหนมาไหนเพียงลำพัง ยามเขาปรากฏตัวใช้กองทหารรักษาพระองค์ถึงหนึ่งขบวนใหญ่!
ด้านหน้าสุดคือเหล่าเทพธิดาน้อยที่ประโคมดนตรี ถัดมาคือแม่ทัพนายกองที่เรียงแถวเป็นระเบียบ โอบล้อมราชรถมังกรเก้าขนดสีทองพราวระยับคันหนึ่งไว้ตรงกลาง เทียมรถด้วยอาชาสวรรค์แปดตัว ด้านหลังรถม้าคือกองทหารรักษาพระองค์หนึ่งกอง เดินแปรแถวไปมา ดูยิ่งใหญ่อลังการนัก
ประชาชนในตลาดถอยหลบไปสองข้างทางแล้วคุกเข่าลงด้วยตัวเอง ไม่กล้าหายใจแรงเลยด้วยซ้ำ
ต้นไม้ที่กู้ซีจิ่วงีบหลับอยู่ด้านหลังถนน เขียวชอุ่มเป็นพุ่ม ดกหนาอย่างยิ่ง ยามที่กู้ซีจิ่วนอนอยู่ด้านบน มีใบไม้บดบังไว้ ซ้ำเธอยังใช้วิชาอำพรางกายด้วย ดังนั้นคนที่สัญจรผ่านที่นี่จึงไม่พบเห็นเธอเลยสักคน
เธอนั่งอยู่บนคาคบไม้อย่างเฉื่อยชา ขณะที่คิดอยู่ว่าจะตามขบวนเสด็จขององค์รัชทายาทไป เพื่อหาโอกาสยลโฉมหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่ายดีไหม ไม่นึกเลยว่ายามที่รถม้าขบวนนี้เคลื่อนผ่านต้นไม้ที่เธอนอนอยู่ ทันใดนั้นพลันมีเสียงสุขุมเยือกเย็นสายหนึ่งแว่วออกมาจากด้านในรถม้า “หยุด!”
ด้วยเหตุนี้ รถม้าจึงหยุดลง มือกระจ่างดั่งหยกขาวข้างหนึ่งพลันยื่นออกมาจากหน้าต่างรถม้า รูปมือปานดอกกล้วยไม้ นิ้วกลางที่เรียวเสลากลมกลึงชี้มายังต้นไม้ที่กู้ซีจิ่วนอนอยู่ “ใครอยู่ตรงนั้น?!”
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน
นี่วิชาพรางกายของเธอถูกจับได้งั้นหรือ?!
เห็นทีว่าฝีมือขององค์รัชทายาทผู้นี้จะไม่ใช่เล่นๆ เสียแล้ว!
ด้วยการชี้นี้ขององค์รัชทายาท องครักษ์ในสังกัดของเขาเหล่านั้นย่อมพากันมองมายังต้นไม้นี้ที่กู้ซีจิ่วนอนอยู่
—————————————————————-
บทที่ 1859 ไม่บังเอิญ ท่านสะกดรอยตามข้ามาตลอด
ขณะที่กู้ซีจิ่วกำลังจะพลิกกายลงไป ด้านบนไม่ห่างจากเหนือศีรษะของเธอนักพลันมีเสียงใบไม้เสียดสีกัน เงาร่างสายหนึ่งร่อนลงไป “เสด็จพี่รัชทายาท เป็นข้าเอง”
กู้ซีจิ่วหรี่ตาลงเล็กน้อย
คนผู้นี้คืออวิ๋นเยียนหลี นึกไม่ถึงว่าเขาจะซ่อนอยู่บนต้นไม้ที่เธออยู่เช่นกัน
เขามาตั้งแต่เมื่อไหร่?
มาก่อนหรือว่ามาทีหลังเธอ? ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะจับสัมผัสไม่ได้เลย…
ม่านหน้ารถพลันเลิกขึ้น เผยให้เห็นดวงหน้าเลิศล้ำที่งดงามจนเป็นกาลกินีของบ้านเมืองได้เลย
เหตุผลที่บรรยายเช่นนี้ เป็นเพราะรูปโฉมของคนผู้นี้งามเย้ายวนอย่างยิ่ง นัยน์ตาโต เปลือกตาสองชั้น แววตาใสกระจ่างดั่งวารี ริมฝีปากจิ้มลิ้มแดงเรื่อดั่งผลอิงเถา หากว่าดวงหน้านี้ปรากฏอยู่บนสตรีย่อมล่มบ้านล่มเมืองได้ เป็นโฉมงามผู้เลิศล้ำ
แต่เขากลับเป็นบุรุษ ดูจากกวานทองที่ครอบอยู่บนศีรษะเขาและการแต่งกายของเขาก็พอจะทราบแล้ว
ความจริงแล้วบนโลกนี้มีบุรุษที่รูปโฉมเยี่ยงสตรีอยู่มากมาย แต่ไม่ว่าอย่างไรแล้ว บุรุษก็คือบุรุษ ต่อให้เป็นบุรุษที่งามล้ำสักเพียงใดหากว่าแต่งกายเป็นสตรี ก็ทำให้คนรู้สึกพิกลได้ เครื่องหน้ายังคงขาดความกลมกลึงอ่อนหวานไปบ้าง
แต่สำหรับองค์รัชทายาทผู้นี้ เขามีดวงหน้างดงามตามมาตรฐานหญิงงาม ทว่าน้ำเสียงของเขากลับเคร่งขรึมเย็นชา ดวงหน้าเฉิดฉันก็บึ้งตึงเล็กน้อย ราวกับพยายามทำให้ตนดูอาวุโสทรงภูมิขึ้นบ้าง
แต่กลับทำให้คนรู้สึกว่าประหลาดยิ่งนัก กู้ซีจิ่วก็อดไม่ได้ที่จะนวดคลึงหว่างคิ้ว
หากมิใช่ว่าเธอรู้อยู่ก่อนแล้วว่าองค์รัชทายาทผู้นี้คือองค์รัชทายาทตัวจริง เธอเกือบจะสงสัยแล้วว่าคนผู้นี้คือองค์คนใดที่ปลอมตัวเป็นบุรุษ
ในเมื่ออวิ๋นเยียนหลีกระโดดลงไปแล้ว กู้ซีจิ่วก็คร้านจะออกไปอีก
เธอมององค์รัชทายาทผู้นี้แค่แวบหนึ่ง ก็ตัดสินได้แล้วว่าองค์รัชทายาทผู้นี้ไม่ใช่คนที่ตนกำลังตามหา ต่อให้อาภรณ์ที่เขาสวมจะเป็นสีม่วงเข้ม ใกล้เคียงกับสีสันของคนในความฝันของเธออย่างยิ่ง เธอก็ยังแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ใช่!
“เจ้าสาม เจ้าไปหลบซ่อนทำลับๆ ล่อๆ อันใดอยู่บนต้นไม้กัน?” อวิ๋นเยียนหงเลิกคิ้วเรียวงามขึ้น
จักรพรรดิเซียนมีสองโอรสสองธิดา (รวมธิดาบุญธรรมแล้ว) อวิ๋นเยียนหลีอยู่ในลำดับที่สาม ดังนั้นองค์รัชทายาทจึงเรียกเขาว่าเจ้าสาม
อวิ๋นเยียนหลียิ้มอย่างไม่อนาทร “เสด็จพี่รัชทายาทเข้าใจน้องผิดแล้ว น้องมาเที่ยวเล่นที่ตลาดแห่งนี้เป็นครั้งคราวอยู่แล้ว รู้สึกเหนื่อยล้าจึงขึ้นไปงีบบนต้นไม้เสียหน่อย ไม่นึกเลยว่าจะผล็อยหลับไป หากมิใช่เพราะเสียงตะโกนนี้ของเสด็จพี่ น้องก็คงยังอยู่ในห้วงนิทรา”
วาจานี้ไม่มีพิรุธเลย อวิ๋นเยียนหงมองเขาอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่หลายแวบ จากนั้นก็มองต้นไม้ใหญ่นั้นอีกครา มองร่องรอยอันใดไม่ออกเช่นกัน ถึงได้พยักหน้าให้ “เจ้าช่างว่างเหลือเกินนะ เหตุใดถึงลงมาโดยไม่พาองครักษ์มาด้วยเลยเล่า?”
อวิ๋นเยียนหลีเอ่ยยิ้มๆ “เพียงมาเที่ยวเล่นเท่านั้น อีกอย่างก็เป็นเขตแดนของภพเซียนเรา ต้องกลัวอันใดเล่า”
อวิ๋นเยียนหงร้องเหอะคราหนึ่ง “เจ้าก็อย่าได้ประมาทไป พักนี้พวกมารในภพมารกำลังเคลื่อนไหวเพื่อก่อการอยู่ เจ้าไปไหนมาไหนตามลำพัง อย่าให้ถูกพวกมันลอบทำร้ายได้”
“ขอบพระทัยเสด็จพี่รัชทายาทที่ทรงห่วงใย น้องจะระวังตัว”
สองพี่น้องสนทนาปราศรัยกันอยู่ตรงนั้นสองสามประโยค ขบวนรถม้าของอวิ๋นเยียนหงถึงได้เคลื่อนจากไป
อวิ๋นเยียนหลียืนอยู่ตรงนั้นเมื่อเห็นขบวนรถม้าขององค์รัชทายาทจากไปไกลแล้ว ถึงได้เหินกายขึ้นมาบนต้นไม้อีกครั้ง ร่อนลงตรงหน้ากู้ซีจิ่วพอดี ยิ้มนิดๆ “แม่นางกู้ บังเอิญจริงๆ พวกเราพบกันอีกแล้ว”
กู้ซีจิ่วนั่งเอนหลังพิงต้นไม้อย่างเฉื่อยชา น้ำเสียงเยือกเย็นแจ่มชัด “ไม่บังเอิญ ท่านสะกดรอยตามข้ามาตลอด”
อวิ๋นเยียนหลีนิ่งงัน
แววตาเขาวูบไหวเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งถึงยิ้มออกมา ทว่าไม่ได้ปฏิเสธ “แม่นางกู้ปราดเปรื่องจริงๆ เพียงแต่เราผู้เป็นอ๋องไม่ได้จงใจจะสะกดรอยตามแม่นาง เป็นวันนี้บังเอิญพบพานที่ตลาดเข้า จากนั้นก็เห็นแม่นางขึ้นมาบนต้นไม้ แล้วหลับไป เกรงว่าแม่นางจะเกิดอุบัติเหตุอันใดขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงตามขึ้นมาดู เพียงแต่ ช่างประจวบเหมาะพอดียิ่งนัก รับเคราะห์แทนแม่นางพอดี แม่นางจะขอบคุณข้าอย่างไรเล่า?”
——————————