บทที่ 1872 ผู้ที่มีวาสนาเท่านั้นถึงจะเปิดได้
กู้ซีจิ่วใจเต้นนิดๆ แทบไม่หยุดคิดเลย ใช้บรรทัดทองกรีดลงไปตามคราบเลือดบนโขดหิน ครั้งนี้ง่ายดายยิ่งนัก เสมือนเฉือนเต้าหู้ ผ่านไปครู่หนึ่ง บรรทัดทองของเธอกรีดลงบนโขดหินตามรูปทรงของกล่องนั้น จากนั้นก็แซะขึ้นมา
หน้าหินถูกแซะจนกระเด็นไป เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน
เป็นกล่องสีแดงเข้มใบนั้น!
ในที่สุดเธอก็ได้เห็นหน้าตาของกล่องใบนั้นชัดๆ แล้ว!
รูปแบบของกล่องใบนั้นเรียบหรูดูมีราคา หนาหนักดูมีระดับ บนฝากล่องมีมรกตเม็ดหนึ่งส่องประกายวาววับ
ในที่สุดก็หากล่องเจอแล้ว!
กู้ซีจิ่วถอนหายใจยาวๆ อย่างโล่งอก รอบนี้เธอไม่ได้มาอย่างเสียเปล่าแล้ว!
เธอนำกล่องใส่เขาไปในถุงเก็บของของตน มองดูโขดหินนั้นอีกครั้ง วลีหนึ่งแวบขึ้นมาในใจ ‘บุพเพสันนิวาสสวรรค์เกื้อ หมายรักมั่นชั่วชีวิต อับจนด้วยสายใยรักสะบั้นขาด กลบกล่องฝังรัก…’
กล่องใบนี้ถูกฝังไว้ที่นี่จริงๆ
เพราะสายใยรักสะบั้นขาดถึงได้เอามาฝังไว้ที่นี่ใช่ไหม?
ที่นี่มีความร้อนสูง เมื่อกู้ซีจิ่วพบของที่ตัวเองตามหาแล้ว ย่อมไม่คิดจะรั้งอยู่นาน ออกไปทันที
เธอกลับมาที่ห้องนอนของตัวเอง นั่งศึกษากล่องใบนั้นอยู่ตรงนั้น
กล่องใบนั้นถือแล้วไม่หนักเลย แต่เธอหมุนกล่องใบนั้นอยู่หลายรอบแล้ว ก็หากลไกเปิดมันไม่เจอเลย
เธอลองเขย่าดู แล้วลองฟังเสียง ก็ไม่ได้เสียงอะไรจากข้างในเลย
กู้ซีจิ่วนึกถึงความฝันนั้นของตน บุรุษในความฝันคล้ายถือกำไลวงหนึ่งเอาไว้ แต่สิ่งที่บุรุษในภาพหลอนที่ปรากฏขึ้นก่อนหน้านี้ถือไว้กลับเป็นเศษหักๆ กองหนึ่ง…
หรือว่ากำไลวงนั้นจะกลายเป็นเศษซากไปแล้ว?
ตอนนี้สิ่งที่อยู่ในกล่องคือกำไลข้อมือที่แตกหักหรือ?
เศษซากแตกหักถ้าใส่ไว้ในกล่องแบบนี้ พอเขย่าก็น่าจะดังสิ? แต่มันกลับไม่มีเสียงเลยสักนิด
กู้ซีจิ่วชำนาญการแก้กลไก แต่เธอขลุกอยู่ในเรือนนอนของตน ศึกษาค้นคว้ากล่องใบนั้นอยู่ครึ่งเดือน ก็ไม่อาจเปิดแง้มมันได้แม้แต่น้อย
ราวกับกล่องใบนั้นถูกสลักออกมาจากแก่นไม้เนื้อแข็ง แนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่มีรอยแยกเลยสักนิด
เธอลองใช้มาสารพัดวิธีแล้ว ถึงขั้นที่เคยใช้บรรทัดทองลองฟันกล่องดู ผลคือไม่มีประโยชน์อะไรเลย
เธอเห็นคนชุดขาวผู้นั้นเปิดกล่อง แล้วนำเศษซากในมือใส่เข้าไปอยู่ชัดๆ ทำไมตอนนี้ถึงเปิดไม่ออกล่ะ?
ขณะที่เธอกำลังเดินวนรอบกล่องใบนั้น ในสมองพลันมีเสียงหนึ่งแว่วขึ้นมา ‘กล่องนี้เป็นกล่องลับ ผู้ที่มีวาสนาเท่านั้นถึงจะเปิดได้ เจ้าอย่าได้เสียแรงเปล่าเลย’
กู้ซีจิ่วหรี่ตานิดๆ เป็นเสียงที่แยกเพศไม่ออกผู้ถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ ในที่สุดมันก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งแล้ว!
“แล้วใครคือผู้ที่มีวาสนากับมัน?” กู้ซีจิ่วถือโอกาสไต่ถาม
‘นี่ก็เป็นสิ่งที่เจ้าต้องตามหา…’ เสียงนั้นแผ่วลอยเลือนราง ‘นี่เป็นโอกาสเดียวของเจ้าแล้ว’
“นี่ แล้วคนผู้นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร? ข้าควรไปตามหาที่ไหนล่ะ?”
“บอกมาสิ คนผู้นั้นมีฐานะใด?”
กู้ซีจิ่วเอ่ยคำถามออกมาต่อเนื่องกันหลายคำถาม จนปัญหาที่เสียงนั้นหายไปอีกแล้ว ไม่ยอมตอบเธอเลยสักประโยค
กู้ซีจิ่วมองกล่องบนโต๊ะที่เตี่ยวกรำเธอมาหลายวันแล้ว เอาเถอะ ถ้างั้นเธอก็ต้องตามหาคนที่มีวาสนากับมัน!
คนที่มีวาสนากับมันน่าจะเป็นคนชุดขาวในภาพหลอนนั้นกระมัง?
ถึงแม้เธอจะเห็นหน้าตาของคนผู้นั้นไม่ชัดเจน แต่เธอก็มองออกว่าคนผู้นั้นร่างกายสูงใหญ่ รูปโฉมก็จะน่าหล่อเหลาอย่างยิ่งด้วยกระมัง? ท่าทางดูภูมิฐานยิ่งนัก…
คนเช่นนี้น่าจะไม่นับว่าตามหายากเกินไป
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา กู้ซีจิ่วรู้สึกอยู่เสมอว่าได้พบเป้าหมายใหม่ในการใช้ชีวิตแล้ว ตัวคนจึงกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
มีเสียงมู่เฟิงรายงานมาจากด้านนอก “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ จักรพรรดิของอาณาจักรเฟยซิงได้ให้กำเนิดองค์ชายน้อยหนึ่งพระองค์ การประสูติขององค์ชายน้อยผู้นั้นค่อนข้างประหลาด ทันทีที่ถือกำเนิดออกมาก็มีแสงสีแดงตลบไปทั่วห้อง มีนกสาลิกามากมายบินวนเวียนเหนือห้องประสูติอยู่หลายรอบ…”
———————————————————————-
บทที่ 1873 เริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่
องค์ชายน้อยที่ถือกำเนิดพร้อมนิมิตอันเป็นมงคลหรือ?
ตามกฎแล้ว เมื่อมีเด็กที่ถือกำเนิดขึ้นพร้อมนิมิตหมายอันเป็นมงคล เธอผู้เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์จะต้องไปดูสักหน่อย
ตอนนี้อารมณ์ของกู้ซีจิ่วนับว่าไม่เลวเลย ดังนั้นเธอจึงไปดู
วินาทีที่เธอได้เห็นเด็กคนนั้น หัวใจพลันเต้นกระหน่ำขึ้นมา!
ยามที่เธอเห็นเด็กคนนั้น ทารกน้อยคนนั้นก็มีอายุกว่าสิบวันแล้ว ถูกอุ้มไว้ในอ้อมอกของแม่นม ทว่าไม่ได้ดูเหี่ยวย่นเหมือนทารกส่วนใหญ่ที่เพิ่งถือกำเนิด เครื่องหน้าชัดเจนมากแล้ว ดูเหมือนตุ๊กตาน้อยที่งดงามยิ่งนักตัวหนึ่ง
นัยน์ตาของทารกน้อยดำขลับ ยามที่กู้ซีจิ่วก้มมองเขา ได้สบตากับเขา ริมฝีปากน้อยๆ ของเขาเม้มเข้านิดๆ ปรากฏสีแดงจางๆ สองกลุ่มขึ้นบนดวงหน้าน้อยๆ ซ้ำยังหดดวงหน้าเล็กๆ เข้าไปในผ้าห่อตัวด้วย ท่าทางราวกับว่าค่อนข้างขลาดเขินอยู่บ้าง
ใบหน้านี้…
กู้ซีจิ่วส่งกระแสเสียงเรียกเขาคราหนึ่ง ‘หรงเจียหลัว?’
ร่างกายน้อยๆ ของทารกคนนั้นแข็งทื่อไปแวบหนึ่ง เบิกตากว้างมองดูเธอ แววตานั้นไม่ใช่แววตาของเด็กทารกแน่นอน…
กู้ซีจิ่วแตะปลายนิ้วเข้าที่หว่างคิ้วของเขา แสงสีรุ้งส่องพร่างพราว ค้นลึกลงไปในดวงวิญญาณของเขา เป็นดวงวิญญาณของหรงเจียหลัวจริงๆ
เขากลับชาติมาเกิดแล้ว ซ้ำยังถือกำเนิดใหม่ในราชวงศ์ด้วย หากไม่มีเหตุเหนือความคาดหมาย ภายหน้าเขาจะได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทของอาณาจักรเฟยซิง…
ทุกสิ่งที่เขาสูญเสียไปจะได้กลับคืนมาทั้งหมด
เพียงแค่เปลี่ยนรูปการณ์ไปเท่านั้น
แถมยังมีความทรงจำของชาติก่อนติดมาด้วย!
การตายของหรงเจียหลัวเคยทำให้กู้ซีจิ่วเศร้าโศกยิ่งนัก เธอนึกว่าดวงวิญญาณของเขาแตกสลายไปแล้ว กลับนึกไม่ถึงเลยว่าจะมีวันที่ได้หวนกลับมาด้วย
ไม่ว่าเขาจะกลับมาได้อย่างไร แต่สุดท้ายก็ได้กลับมาแล้ว ในใจของกู้ซีจิ่วยังคงปรีดายิ่งนัก
“ความสำเร็จในอนาคตของเด็กคนนี้จะไม่ธรรมดาแน่นอน” กู้ซีจิ่วเอ่ยสรุป
เมื่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เอ่ยออกมาเช่นนี้ จักรพรรดิองค์ปัจจุบันของอาณาจักรเฟยซิงจึงโสมนัสยิ่งนัก เขาค้อมกายคารวะ ขอให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ช่วยประทานนามแก่ทารกน้อย
กู้ซีจิ่วมองไปที่หรงเจียหลัว ดวงตาของหรงเจียหลัวก็มองเธออยู่เช่นกัน ปากน้อยอ้าออกนิดๆ พยายามจะทำรูปปากให้เป็นคำว่า ‘เจียหลัว’ ดูเหมือนเขายังต้องการจะเป็นตัวเองอยู่
กู้ซีจิ่วจึงกล่าวไปว่า “เด็กคนนี้คล้ายคลึงกับจักรพรรดิในรัชกาลก่อนยิ่งนัก เช่นนั้นก็เรียกว่าเจียหลัวเถิด”
จักรพรรดิแห่งอาณาจักรเฟยซิงผงะไปแวบหนึ่ง เขาเป็นน้องชายของหรงเจียหลัว ตอนนั้นหรงเจียหลัวก็ดีต่อเขายิ่งนักเช่นกัน และเขาก็ระลึกถึงเสด็จพี่ที่ด่วนจากไปยิ่งนัก…
แต่บุตรชายของตนมีนามเดียวกับพระปิตุลา จะไม่เป็นการล่วงเกินไปหน่อยหรือ?
เขากล่าวความกังวลนี้ของตนกับกู้ซีจิ่ว กู้ซีจิ่วจึงตอบไปว่า “ไม่เป็นไรหรอก เป็นแค่คำพ้องเสียงเท่านั้น การตั้งชื่อนี้ให้แก่เด็กก็เป็นการแสดงความระลึกถึงที่ฝ่าบาททรงมีต่อพระเชษฐา”
ในเมื่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กล่าวมาเช่นนี้ จักรพรรดิของอาณาจักรเฟยซิงจึงไม่พูดจาเป็นอื่นอีก ตั้งชื่อให้ทารกน้อยว่าหรงเจียหลัวทันที แต่งตั้งเป็นรัชทายาท ประกาศนิรโทษกรรมทั้งอาณาจักร
อันที่จริงแล้วการเป็นคนธรรมดานั้นยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว มีเกิดแก่เจ็บตาย ซ้ำยังกลับชาติมาเกิดได้
เมื่อกลับชาติมาเกิดใหม่แล้ว เรื่องราวต่างๆ ในอดีตก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไป เขาจะสามารถเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง
หาได้ยากนักที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะเสด็จมาเยือนวังหลวง จักรพรรดิเฟยซิงย่อมให้การรับรองเป็นอย่างดี เรียกตัวเครือญาติและสหายเก่ามากมายของของกู้ซีจิ่วที่อยู่ในอาณาจักรเฟยซิงมา คึกคักครื้นเครงยิ่ง
กู้ซีจิ่วมองใบหน้าที่ตนคุ้นเคยเหล่านี้ ทว่าในใจกลับรู้สึกว่างเปล่าโหวงเหวง
คึกคักถึงเพียงนี้ครื้นเครงถึงเพียงนี้ แต่เธอกลับรู้สึกอยู่เสมอว่าในบรรดานี้ขาดใครคนหนึ่งไป..
ระหว่างงานเลี้ยง จักรพรรดิเอ่ยถามเธอว่า ต้องการรื้อถอนวังค้ำนภาที่อยู่ทางทิศใต้ของเมืองหลวงแล้วสร้างขึ้นใหม่หรือไม่?
วังค้ำนภาที่จักรพรรดิเอ่ยถึงหมายถึงจวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย
‘วังค้ำนภา’ ในยามนี้ว่างเปล่าร้างผู้คน เหลือเพียงอาคารที่กลวงเปล่า
จักรพรรดิแห่งอาณาจักรเฟยซิงเคยคิดจะประทานสถานที่แห่งนี้ให้แก่ขุนนางใหญ่ แต่กู้ซีจิ่วค่อนข้างผูกพันกับสถานที่แห่งนี้อย่างน่าประหลาด จึงออกปากให้เก็บรักษาที่แห่งนี้เอาไว้
————————————