บทที่ 1955 แย่งศิษย์ 3
อวี่หังเจินเหรินเชื้อเชิญอย่างมีฝีปาก ตระเตรียมถ้อยคำสวยหรูดังดอกบัว
ทว่าเขาอ้อมค้อมมากไปสักหน่อย และกู้ซีจิ่วยังคงเหม่อลอยอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้เธอจะฟังคำพูดของเขาเข้าหู ทว่ากลับไร้ซึ่งสติ
ถ้อยคำเหล่านี้ของอวี่หังเจินเหรินทำให้เธอฉุกคิด เธอรับเสินเนี่ยนโม่เป็นศิษย์ได้นี่!
เมื่อรับเป็นศิษย์ก็สามารถติดตามข้างกายเขาได้อย่างถูกทำนองคลองธรรมและถือโอกาสบีบบังคับให้เด็กคนนี้ฝึกฝนได้แล้วไหม?!
กู้ซีจิ่วรีบรวบรวมสติในทันที มองเสินเนี่ยนโม่อย่างอ่อนโยนคล้ายจะจริงใจยิ่งกว่าอวี่หังเจินเหรินเสียอีก
“เนี่ยนโม่ ต้องการกราบอาจารย์อีกคนหรือไม่?”
เสินเนี่ยนโม่มุ่นคิ้ว
“หืม?”
กู้ซีจิ่วรีบใช้ถ้อยคำเหล่านั้นของอวี่หังเจินเหริน
“การฝึกฝนของเจ้าไม่เลวทีเดียว แต่ด้านพลังวิญญาณยังขาดความชำนาญเล็กน้อย มีข้อบกพร่องเพียงแค่นิดเดียว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะอาจารย์เจ้ามีน้อย ส่วนข้าก็มีความรู้ด้านนี้อยู่บ้าง เจ้ากราบข้าเป็นอาจารย์อีกคนเป็นอย่างไร?”
เธอรู้ตั้งนานแล้วว่ามหาเทพเสินจิ่วหลีท่านนั้นหาอาจารย์สิบท่านให้ลูกชาย ดังนั้นเสินเนี่ยนโม่จึงไม่ได้มีข้อห้ามว่ากราบอาจารย์ได้เพียงคนเดียว
เธอรู้สึกลึกๆ ว่าเธอต้องเป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน
เสินเนี่ยนโม่นิ่งงัน เขาตกตะลึงดังถูกสายฟ้าฟาด!
เขาเพียงรู้สึกตะลึงงันเมื่อมองสาวน้อยเบื้องหน้าที่สูงเพียงแค่อกของเขา ทั้งที่ใบหน้าอ่อนเยาว์แต่กลับพยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มที่ เขาปฏิเสธเด็ดขาดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ไม่!”
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย ตัดสินใจแน่วแน่ไม่ยอมลดละ “เหตุใดจึงไม่? เจ้าก็เห็นวรยุทธ์ของข้าแล้ว พลังวิญญาณของข้าสูงส่งไม่ใช่หรือ? ข้า…”
เสินเนี่ยนโม่ตัดบทนางทันที
“พลังวิญญาณของเจ้าอย่าว่าแต่ขั้นซ่างเซียน ต่อให้ถึงขั้นซ่างเสิน ข้าก็ไม่มีทางกราบเจ้าเป็นอาจารย์”
พูดเป็นเล่น! เขาจะกราบสาวน้อยเป็นอาจารย์ได้อย่างไร?
อีกอย่างเขามีความรู้สึกที่พิเศษมากต่อนาง ถึงแม้เขาจะยังไม่ชัดเจนว่ามันคือความรู้สึกอะไรกันแน่ ทว่าจิตใต้สำนึกของเขาบอกว่าไม่ต้องการกราบนางเป็นครู…
เจ้าเด็กแสบนี่! ดื้อรั้นตั้งแต่อายุหกขวบเลยนะ!
กู้ซีจิ่วสูดลมหายใจเบาๆ ขณะที่กำลังจะพูดอะไรต่ออีก ในที่สุดอวี่หังเจินเหรินก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง
แม่นางน้อยผู้นี้ต้องการแย่งศิษย์กับเขางั้นรึ?!
อวี่หังเจินเหรินอดไม่ได้ที่จะนวดคลึงหน้าผากและเอ่ยขึ้น
“แม่นางน้อย มหาเทพเป็นคนตัดสินอาจารย์ของเสินเนี่ยนโม่ด้วยตัวเอง เขาจึงกราบพวกเราได้เพียงสิบท่าน เพิ่มมาอีกหนึ่งท่านไม่ได้แล้ว”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้หรือ?
ความคิดที่กู้ซีจิ่วจะรับเขาเป็นศิษย์เพื่อทำภารกิจให้ลุล่วงล่มสลายลงแล้ว
ไม่อาจเป็นอาจารย์เขา เช่นนั้นเธอจะหาเหตุผลอะไรมาอยู่ข้างกายเขาจึงจะเหมาะสม?
เธอหันหน้าไปมองอวี่หังเจินเหริน หัวใจพลันสั่นไหวก่อนจะเอ่ยถาม
“อวี่หังเจินเหริน เมื่อสักครู่ท่านพูดว่าอะไรนะ?”
อวี่หังเจินเหรินตะลึงงัน พูดซ้ำอีกรอบหนึ่ง
“ข้าบอกว่ามหาเทพเป็นคนตัดสินอาจารย์ของเนี่ยนโม่ด้วยตัวเอง…”
“ไม่ใช่ประโยคนี้ ประโยคก่อนหน้านี้”
อวี่หังเจินเหรินสับสนกับคำถามของนาง ประโยคก่อนหน้า? ประโยคก่อนหน้าคือประโยคไหนกันนะ?
ความจำของอวี่หังเจินเหรินยังคงค่อนข้างดี หลังจากงุนงงอยู่พักหนึ่งสุดท้ายก็นึกขึ้นมาได้
“ข้าบอกว่าพลังยุทธ์ของเจ้าไม่เลวทีเดียว แต่ยังขาดความชำนาญเล็กน้อยในบางจุด โดยเฉพาะทางด้านวิชา มีข้อบกพร่องเพียงแค่นิดเดียว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะเจ้าไม่มีอาจารย์ หากเจ้ากราบอาจารย์ดีๆ สักคนได้ ให้อาจารย์แนะนำอีกสักหน่อย…”
“ความหมายของเจินเหรินก็คือต้องการรับข้าเป็นศิษย์?”
กู้ซีจิ่วเอ่ยถาม
อวี่หังเจินเหรินกล่าว
“หา? อืม ใช่แล้ว…”
เขารู้สึกตามจังหวะกู้ซีจิ่วไม่ค่อยทันอยู่บ้าง
“ตกลง!”
กู้ซีจิ่วตัดสินใจในทันที
“หา?”
อวี่หังเจินเหรินที่สุขุมเยือกเย็นมาตลอดทึ่มทื่อไปแล้ว ความปรีดามาเยือนรวดเร็วเกินไป เขาค่อนข้างรับไม่ค่อยไหวอยู่บ้าง
เขาจ้องมองนางอย่างคนโง่งม
“เจ้า…เจ้า…”
กู้ซีจิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าเป็นศิษย์ของท่านได้ แต่มีเงื่อนไขสามข้อ หากเจินเหรินรับปาก จ้งเซิงก็จะพิจารณากราบท่านเป็นอาจารย์”
——————————————————————
บทที่ 1956 แย่งศิษย์ 4
ใต้ฟ้านี้เคยได้ยินเพียงศิษย์ที่อ้อนวอนขอร้องให้อาจารย์รับเป็นศิษย์ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนยื่นเงื่อนไขให้อาจารย์รับเป็นศิษย์อย่างจองหองถึงเพียงนี้
ชิงหลัวไม่พอใจ! ไม่พอใจอย่างยิ่ง!
นึกถึงยามนั้นที่นางกราบเข้าสู่สำนักของอวี่หังเจินเหริน ต้องใช้ความอุตสาหะพยายามอย่างใหญ่หลวง ทดสอบสารพัดวิธี แสดงปัญญาสารพัดอย่าง…
นางเอ่ยขึ้นมาอย่างเหลืออดว่า “เริ่นจ้งเซิง เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน? พูดจาเช่นนี้กับอาจารย์ของข้าได้อย่างไร? ใต้หล้าไม่รู้ว่ามีผู้คนมากน้อยเพียงใดที่ร่ำไห้หมายจะกราบคารวะ ต้องการเข้าสู่สังกัดของอาจารย์ข้า เจ้ามีหน้ามีตามากนักหรือ? จะกราบอาจารย์ก็ยังยื่นเงื่อนไขมากถึงเพียงนี้อีก อาจารย์ หญิงนางนี้โอหังเกินไปแล้ว ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียเลย ท่านคงไม่อยากรับนางเป็นศิษย์แล้ว…”
“ชิงหลัว หุบปาก!” อวี่หังเจินเหรินตัดบทชิงหลัวที่พูดพล่าม จากนั้นก็มองกู้ซีจิ่วอีกครั้ง “เจ้ามีเงื่อนไขอะไร?”
“หนึ่ง ข้าจะกราบเจินเหรินเป็นอาจารย์เพียงในนาม แต่จะไม่ปฏิบัติตามธรรมเนียมของศิษย์ สอง ข้ามีอิสระเสรีของข้า อยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไป เจินเหรินไม่อาจก้าวก่ายมากความได้ สาม ข้าต้องการเป็นพี่ใหญ่ของเหล่าศิษย์ในสังกัด สามารถอบรมดูแลลูกศิษย์แทนท่านได้”
เงื่อนไขของกู้ซีจิ่วเรียกได้ว่าเหิมเกริมกว่าที่คาดไว้ อวี่หังเจินเหรินยังไม่ทันพูดอะไร ชิงหลัวก็ตะโกนออกมาแล้ว “เจ้าอาศัยสิ่งใดจะมาเป็นลูกพี่ของพวกข้า?! ลูกพี่ของพวกข้ามีเพียงศิษย์พี่ใหญ่เท่านั้น! ใครหน้าไหนก็ลิดรอนไปไม่ได้!”
กู้ซีจิ่วไม่สนใจนาง เธออยู่ในชั้นซ่างเซียนที่มีอายุกว่าสองร้อยปีแล้ว ไหนเลยจะมีความคิดความอ่านเหมือนแม่นางน้อยวัยสิบกว่าปีคนหนึ่งเล่า?
เธอเพียงมองไปที่อวี่หังเจินเหริน “เจินเหรินจะตกลงหรือไม่?”
อวี่หังเจินเหรินนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง พูดจาแจ่มใสซื่อตรง “สองเงื่อนไขแรกข้าตอบรับเจ้าได้ ส่วนเงื่อนไขสุดท้าย ในสังกัดของข้าผู้แข็งแกร่งที่สุดเป็นพี่ใหญ่เสมอมา ขอเพียงเจ้ามีชัยเหนือเนี่ยนโม่ก็เป็นลูกพี่ของพวกเขาได้ และต้องอยู่ในกรณีที่ไม่บาดเจ็บเลยด้วย จึงจะให้อบรมสั่งสอนพวกเขาแทนข้าได้”
จะอย่างไรชิงหลัวก็นึกไม่ถึงเลยว่าอาจารย์จะตอบรับเงื่อนไขที่เหิมเกริมถึงเพียงนี้ด้วย สมองของอาจารย์จารย์ถูกสิ่งใดเตะเข้าหรืออย่างไร?!
นางร้องขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าจะไม่รับการสั่งสอนจากเจ้า!”
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็เหลือบแลนางแวบหนึ่งแล้ว “วางใจเถอะ ข้าก็ไม่สนใจจะสั่งสอนเจ้าเช่นกัน” เธอไม่ใช่แม่พระ ไม่สนใจจะแกะสลักไม้ที่ผุแล้ว
ในความเป็นจริง เธอต้องการสอนแค่เสิ่นเนี่ยนโม่ คนอื่นก็แค่ได้รับผลพลอยได้
ส่วนการบาดเจ็บน่ะหรือ?
นั่นจะไม่เกิดขึ้น เธอย่อมไม่ทำให้เขาบาดเจ็บอยู่แล้ว เธอแค่อยากให้เลิศล้ำโดยเร็ว…
ชิงหลัวถูกตอกหน้าจนนิ่งงันไป
นางก็มิใช่ตัวโง่งม จึงเอ่ยออกมาว่า “เริ่นจ้งเซิง เจ้าคิดจะควบคุมกะเกณฑ์ศิษย์พี่ใหญ่ของข้ากระมัง? เจ้า…”
“ในที่สุดเจ้าก็ฉลาดขึ้นมาแล้ว!” กู้ซีจิ่วมอบคำชมเชยให้อย่างมีเมตตา จากนั้นมองไปที่อวี่หังเจินเหริน “เช่นนี้คือเจินเหรินตอบรับทุกเงื่อนไขแล้วกระมัง?”
อวี่หังเจินเหรินมองเสินเนี่ยนโม่ เสินเนี่ยนโม่เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ถ้านางอยากเป็นลูกพี่ก็ง่ายนัก หนึ่งปีให้หลังก็มาประลองกับข้า! ภายในหนึ่งปีนี้นางไม่ต้องเรียกขานข้าว่าศิษย์พี่ใหญ่ ข้าก็จะไม่เรียกขานนางว่าศิษย์พี่หญิง พวกเราต่างเรียกนามของอีกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน”
อวี่หังเจินเหรินจึงมองกู้ซีจิ่วอีกครั้งทันที “เช่นนี้นับว่ายุติธรรมแล้ว เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”
อันที่จริงกู้ซีจิ่วไม่สนใจคำเรียกขานศิษย์พี่ศิษย์พี่หญิงเหล่านี้เลย แค่หาเหตุผลมาอบรมสั่งสอนอีกฝ่ายเท่านั้น
เมื่อมีเรื่องนี้คอยกระตุ้น ในหนึ่งปีนี้เสินเนี่ยนโม่จะต้องมานะฝึกฝนแน่นอน ส่วนเธอก็นับว่าบรรลุเป้าหมายเช่นกัน…
ดังนั้นเธอจึงแช่มชื่นยิ่งนัก “ได้ ต่อไปข้าจะเรียกเจ้าว่าเนี่ยนโม่แล้วกัน”
“ฝูอี!” เสินเนี่ยนโม่แก้ให้นาง “เจ้าต้องเรียกข้าว่าฝูอี!” มิเช่นนั้นเขาจะรู้สึกอยู่เสมอว่านางคล้ายกำลังเรียกเด็กน้อยอยู่
ก็ได้ ฝูอีก็ฝูอี
กู้ซีจิ่วรู้สึกเหมือนตนจะค่อนข้างสนิทใจกับนามนี้ยิ่งนัก ทำให้หัวใจของเธอทั้งอบอุ่นทั้งฝาดเฝื่อน
———————–