มวลบุปผางาม
ชั่วครู่ อวี้จื่อเยียนก็ถามขึ้นอย่างตกตะลึงว่า “ท่านแม่ ท่านว่านางจะตกหน้าผาจนสมองกลับมาดีจริงหรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้าพูดอะไรไร้สาระ?” อนุรองว่าเสียงเย็น “ถ้าหากจะมีใครที่สมองกระทบกระเทือนจนนิสัยเปลี่ยนไปก็เป็นเรื่องน่าแปลกเต็มทีแล้ว หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองตกจากหน้าผาเองดูเสียสิ หากตกแล้วไม่ตายนั่นสิถึงจะแปลก”
“ก็จริงเจ้าค่ะ” อวี้จื่อเยียนพยักหน้าลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง “เช่นนั้นเกิดอะไรกับนางขึ้นกันแน่ เหตุใดถึงได้เปลี่ยนไปราวกับคนละคนเช่นนี้”
“ใครจะไปรู้เล่า” อนุรองส่ายหน้า “ตอนนี้อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องของนางเลย ให้เด็กเกิดมาเสียก่อนค่อยว่ากัน พวกเราแม่ลูกไม่ใช่คู่มือของนาง หลังจากนี้เจ้าก็ระวังหน่อย อย่าคิดว่าแม่ตั้งครรภ์แล้วจะทำอะไรก็ได้ ครั้งนี้หากไม่ใช่เจ้าที่จงใจหาเรื่องนาง นางก็คงไม่หาเรื่องมาปั่นหัวเราเช่นนี้แน่ ไม่เช่นนั้นหรือเจ้าก็คิดว่านางจะเข้าใจผิดเรื่องน้ำแกงปลาไหลแป็นน้ำแกงตะพาบจริงๆ?”
“อ๊ะ นี่ท่านแม่จะบอกว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะนางตั้งใจที่จะปั่นหัวพวกเราหรือเจ้าคะ”
“อืม ไม่ผิด” อนุรองพยักหน้าลง ก่อนหน้านี้นางมองไม่ออกว่าอวี้อาเหรามีจุดประสงค์เช่นใดกันแน่ จนกระทั่งเมื่อครู่นี้นางเพิ่งแจ้งแก่ใจ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าจิตใจของหญิงนางนี้ช่างลึกล้ำมิอาจคาดเดายิ่งนัก เมื่อเห็นสีหน้าโกรธเคืองของอวี้จื่อเยียนแล้ว นางก็ขมวดคิ้ว “คนที่ไม่มีสมองเช่นเจ้าไหนเลยจะต่อกรกับนางได้ หากไร้ความสามารถก็ไม่ควรทำอะไรโดยไม่คิด มิเช่นนั้นก็จะถูกเสด็จพ่อของเจ้าตำหนิเอาได้อีก”
“เยียนเอ๋อร์ไหนเลยจะรู้ว่านางจะมีสมองมากถึงเพียงนั้น…” อวี้จื่อเยียนตอบเสียงเบา
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่มีสมองบ้างเสียเล่า” อนุรองใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากของนาง ดวงตาวาบประกาย จากนั้นก็ปล่อยมือลงแล้วพูดขึ้นว่า “ได้ยินมาว่าหลังจากที่ฝ่าบาททรงทราบเรื่องที่องค์ชายแห่งเป่ยเจียงมาเยือน เพื่อเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีของทั้งสองแคว้น จึงดำริที่จะคัดเลือกสาวงามทั่วทั้งเมืองเฟิ่งเฉิงเพื่อให้อภิเษกสมรสกับเขา ในวังมีการจัดงานเลี้ยงใหญ่ เมื่อถึงตอนนั้นก็คงจะมีเหล่าองค์ชายและคุณชายเข้าร่วมงานมากมาย แม่จะทูลขอเสด็จพ่อของเจ้าให้พาพวกเราสองคนไปร่วมงานด้วย เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าก็ใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักกับเหล่าบุตรสาวตระกูลขุนนางเสีย หากสามารถหาสามีที่มีกำลังอำนาจได้ก็จะดีมาก เมื่อถึงตอนนั้นฐานะในจวนหลิงอ๋องของเราแม่ลูกก็คงจะสูงขึ้นมาก แต่ถึงแม้นจะหาไม่ได้ อวี้อาเหราก็คงไม่อาจเอาชนะเราได้อยู่ดี!”
“จริงหรือเจ้าคะ” ดวงตาของอวี้จื่อเยียนเป็นประกายขึ้นมา
“จริงสิ เรื่องนี้แม่ได้ยินท่านอ๋องเคยพูดถึงเอาไว้ก่อนหน้านี้ คิดว่าอวี้อาเหราคงยังไม่รู้หรอก เจ้าควรจะใช้โอกาสนี้รีบเตรียมตัวเสียก่อน เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าก็จะเป็นหนึ่งมวลบุปผางามในงานเลี้ยง แต่เจ้าต้องระวังเอาไว้ว่า อย่าได้ทำให้พวกองค์หญิงเสวียนจีไม่พอใจเป็นอันขาด มิเช่นนั้นจะตายอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้”
“ท่านแม่วางใจเถิดเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ข้าก็ได้ยินมาว่าอวี้อาเหราดูเหมือนจะไม่ลงรอยกับองค์หญิงรองไหวซ่งนัก พวกเราก็สามารถใช้โอกาสครั้งนี้ในการยั่วยุ ทำให้พวกนางค่อยๆ ทะเลาะกันไป ดังคำที่กล่าวเอาไว้ว่านั่งบนภูดูเสือกัดกัน ผู้ที่ได้ประโยชน์ก็คือเราแล้ว”
“อืม เช่นนั้นก็เอาตามนี้ ครั้งนี้หากนางกล้าที่จะมาหาเรื่องอะไรพวกเราอีกก็อย่าได้สนใจ ไปเตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังหลวงให้ดีๆ เถิด” อนุรองพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ขณะที่กำลังออกคำสั่งก็พินิจโฉมหน้าของลูกสาวตัวเองไปด้วย แม้นางจะไม่ได้สวยงามจนได้รับฉายาว่าสาวงามอันดับหนึ่งแห่งต้าเยี่ยนเช่นองค์หญิงเสวียนจี แต่นางก็ยังอยู่ในสามอันดับแรกของสาวงามในเมืองเฟิ่งเฉิ่ง แน่นอนว่าจะต้องได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากเหล่าท่านอ๋องและคุณชายจำนวนไม่น้อย
ทว่าคิ้วของนางก็ยังขมวดเข้าหากันอยู่บ้าง อวี้อาเหรานางนี้นั้นก็ช่างรับมือได้ยากยิ่งนัก
ในยามที่พวกนางสองแม่ลูกกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น อวี้อาเหราก็เดินมาจนถึงเรือนพักของตัวเอง ก็ได้ฟังองครักษ์ของนางรายงานเกี่ยวกับเรื่องที่อนุรองสองแม่ลูกนั้นพูดคุยกัน เมื่อฟังจนจบแล้ว มุมปากของนางก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “พวกนางสองแม่ลูกก็ช่างเจ้าแผนการยิ่งนัก คิดอยากจะเข้าร่วมงานเลี้ยงเลือกคู่ ก็ไม่ดูเลยหรือว่าข้าจะอนุญาตหรือไม่”