ตอนที่ 253 หญิงชายตัวเปล่าเล่าเปลือย
“ซื่อจื่อของเจ้าทำไมหรือ” อวี้อาเหราเห็นเขาอึกๆ อักๆ ในใจย่อมเกิดความสงสัยขึ้นเป็นธรรมดา พยายามที่จะเยี่ยมหน้าเข้าไปในห้องเพื่อมองดู แต่ก็กลับถูกหานสือเอาตัวเข้าบังไว้ “คุณหนูรอง ตอนนี้ร่างกายของซื่อจื่อไม่ใคร่ดีนัก ไม่สะดวกที่จะพบท่าน ขอให้ท่านกลับไปก่อนเถิดนะขอรับ”
“มีอะไรไม่สะดวกกัน” อวี้อาเหราเอ่ยถามนิ่งๆ “ถ้าหากป่วยก็เรียกหมอหลวงมาดูอาการสิ”
หานสือหลุบตาลงเพื่อครุ่นคิดอยู่เป็นนาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างตะกุกตะกักว่า “หญิงชายตัวเปล่าเล่าเปลือยอยู่ในห้องสองต่อสองคงจะไม่เหมาะนัก ก่อนหน้านี้ก็เคยได้ให้ท่านหมอมาดูอาการแล้ว คงไม่รบกวนคุณหนูรองขอรับ”
“หญิงชายตัวเปล่าเล่าเปลือย?” น้ำเสียงของอวี้อาเหราติดจะขึ้นจมูก “ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นว่าซื่อจื่อของเจ้าจะกังวลเรื่องนี้เลย สิ่งที่ควรหรือไม่ควรจะได้เห็นข้าก็เห็นมาจนหมดแล้ว ตอนนี้จะมาปกปิดเพื่ออะไรกันอีก รีบหลีกทางให้ข้าเร็วเข้า อย่ามาขวางทางข้า!”
“คุณหนู ท่าน…” หานสือเหงื่อผุดพราย อะไรที่กล่าวว่าเห็นในสิ่งที่ควรเห็นและไม่ควรเห็น คุณหนูดีๆ ที่ไหนบ้างจะกล้าพูดเช่นนี้
“แค่กๆ” อวี้อาเหรารู้ตัวว่าตัวเองปากไวเกินไปแล้ว เช่นนั้นจึงรีบจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย “หานสือ ที่เจ้าขวางข้าเช่นนี้ก็เป็นเพราะด้านในมีสิ่งที่ข้าไม่สมควรเห็นใช่หรือไม่”
“ไม่มีขอรับ” หานสือส่ายหน้า
“เช่นนั้นก็ถอยไปสิ!” อวี้อาเหราไม่ทนอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้นางก็ถูกเรื่องที่ได้เผชิญมาก่อนหน้านี้บีบคั้นจนแทบจะบ้าแล้ว ไหนเลยจะมีเวลามาสนใจเรื่องของคนอื่นได้อีก ที่เขาขัดขวางนางเช่นนี้ก็คงเพราะมีเรื่องอะไรที่ไม่ต้องการให้นางรู้เป็นแน่
“คุณหนูรองโปรดระงับโทสะด้วยขอรับ” หานสือกล่าวแล้วก้มหน้าลง ทว่าร่างกายกลับไม่ขยับถอยห่างแม้เพียงครึ่งก้าว
อวี้อาเหราบันดาลโทสะ จากนั้นก็ค่อยๆ กดเก็บความโกรธกล่าวขึ้นว่า “ไม่ให้เข้าก็ไม่เข้า ทำราวกับกลัวว่าข้าจะเข้าไปขโมยของในจวนเซิ่นอ๋องของพวกเจ้าอย่างนั้นล่ะ ต่อไปนีหากเชิญข้ามาข้าก็จะไม่มาอีกแล้ว”
เมื่อกล่าวจบ นางก็หมุนกายแล้วจากไป
อาศัยช่วงที่หานสือตกตะลึงอยู่นั้นเอง นางก็รีบพุ่งกายไปข้างหน้า ศีรษะของนางกระแทกเข้ากับแผ่นอกอันแข็งแรงกำยำราวกับกำแพงเหล็กของหานสือโดยพลัน เขาเองก็มองลูกเล่นของนางออกเสียนานแล้ว เช่นนั้นจึงไม่ยอมหลงกล เมื่อเห็นว่านางลูบศีรษะของตัวเองด้วยความเจ็บปวด เช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากขึ้นว่า “คุณหนูรองอย่าทำให้ข้าน้อยต้องลำบากใจเลยนะขอรับ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรข้าน้อยก็ไม่อาจให้ท่านเข้าไปได้ หากมีเรื่องอะไร พรุ่งนี้ค่อยมาอีกครั้งเถิดนะขอรับ”
“ฉู่ป๋าย เหตุใดเจ้าถึงออกมาล่ะ…” อวี้อาเหราเงยหน้าขึ้นแล้วร้องเข้าไปในห้อง หานสือได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจจนต้องหันหน้ากลับไปมองโดยพลัน และนางก็รีบอาศัยโอกาสนี้ลอบเข้าไป ทว่าเมื่อเลิกม่านออกนั้นกลับเห็นว่าฉู่ป๋ายนั่งก้มหน้าอยู่บนเตียงนิ่งไม่ขยับไปไหน เส้นผมสีขาวสยายยาวไปทั่วแผ่นหลัง
พวกเขาทั้งสองต่างตกตะลึงในทันที
“เจ้า…” เมื่ออวี้อาเหราเพิ่งจะก้าวเข้าไป ฉู่ป๋ายก็เงยหน้าขึ้นมองนางด้วยความเงียบงันทันที ช่วงเวลานั้น กลับเกิดเป็นความสั่นสะท้านอยู่ในส่วนลึก ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดมากมาย เป็นสีแดงก่ำจนดูเหมือนดวงตาของสัตว์ป่า ไร้ซึ่งแววตาและความรู้สึก ราวกับสัตว์ร้ายที่หิวโหยกำลังจ้องมองเหยื่ออันโอชะ
ใบหน้าซีดเผือด แตกต่างไปจากยามปกติราวกับคนละคน
ริมฝีปากแดงก่ำราวกับเลือดสดๆ ช่วงเวลาที่หยุดนิ่งนั้น เห็นแม้กระทั่งหยดเลือดที่ยังไม่แห้งเหือดไหลออกมาจากมุมปากของเขา
อวี้อาเหรามองจนตัวสั่นไหว น้ำเสียงเปลี่ยนไปเป็นแหบแห้งโดยพลัน “จะ…เจ้า นี่เจ้าเป็นอะไรไป”
“คุณหนูรอง รีบถอยออกมาขอรับ!” หานสือที่เห็นเช่นนี้ก็พลันตื่นตระหนกอยู่หลายส่วน ไม่มีท่าทีนิ่งสงบเหมือนที่เคยเป็นมาก่อน ดวงตาเบิกกว้างขึ้น ราวกับพบเจอกับสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดกลัว
สมองของอวี้อาเหราหยุดประมวลผลไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินเสียงร้องตื่นตระหนกของหานสือก็ลืมที่จะตอบสนอง ยังคงยืนนิ่งงันอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ด้วยเพราะตกใจกับสภาพเช่นนี้ของฉู่ป๋ายไปเสียแล้ว
นี่เขาเป็นอะไรไป
ตอนที่ 254 โรคกระหายโลหิต
“คุณหนูรอง ท่านรีบออกมาเถิดนะขอรับ ตอนนี้ซื่อจื่อก็อันตรายเกินไปแล้ว” หานสือเมื่อเห็นว่านางยังคงยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว ก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายลึกๆ รีบเอ่ยประโยคเดิมซ้ำขึ้นมาในทันที ก่อนจะหันไปมองสภาพของซื่อจื่อในตอนนี้อีกครั้ง ตอนนี้ก็ยากที่จะรับรองได้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วจริงๆ
“หานสือ นี่ซื่อจื่อของเจ้าเป็นอะไรกันแน่” อวี้อาเหราถูกเขาร้องเรียนจนได้สติขึ้น ทันใดนั้นก็รู้ได้ทันทีว่านี่ก็ไม่ปกติเสียแล้ว
ดวงตาของคนธรรมดาไหนเลยจะสามารถเปลี่ยนไปเป็นสีแดงได้ถึงเพียงนี้
ใบหน้าของคนธรรมดาไหนเลยจะซีดขาวได้ถึงเพียงนี้
ริมฝีปากของคนธรรมดาไหนเลยจะกลายเป็นสีแดงถึงเพียงนี้
ย่อมไม่มีทางแน่!
หานสือปิดปากไม่พูดถึงเรื่องนี้ “คุณหนูรองท่านรีบออกไปเถิด หากช้าไปกว่านี้จะไม่ทันการนะขอรับ ซื่อจื่ออาจจะทำร้ายท่านได้”
“หากเจ้าไม่ยอมบอกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าก็จะไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น” อวี้อาเหราตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าอย่างไรนางจะต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่ว่าหานสือจะพูดอย่างไรนางก็ไม่มีทางออกไป จนทำให้อีกฝ่ายปวดหัว จำต้องอธิบายขึ้นมาอย่างไม่มีทางเลือก
“ซื่อจื่อป่วยเป็นโรคกระหายโลหิตตั้งแต่เด็ก อาการจะกำเริบทุกครั้งที่เข้าสู่ฤดูหนาว หากได้เจอผู้ใดก็จะสังหารเสียสิ้น แม้จะมีอาการเพียงแค่เล็กน้อยแต่ก็ทำให้ซื่อจื่อต้องทนทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก ตอนนี้อาการนับว่ายังดีที่ซื่อจื่อยังคงไม่สูญเสียการควบคุมสติไปจนหมด แต่หากรออีกสักพักจนอาการกำเริบขึ้นมา ซื่อจื่อจะทำสิ่งใดเขาก็คงไม่รู้ตัวแล้ว ถ้าหากไม่เห็นเลือดก็จะไม่สามารถฟื้นฟูสติขึ้นมาได้ เพราะอย่างนั้นข้าน้อยจึงขอร้องคุณหนูรองว่าอย่าได้เข้ามา”
“ที่ใบหน้าของเขาขาวซีดถึงเพียงนี้ก็เป็นเพราะโรคนี้อย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่ขอรับ” หานสือส่ายหน้า “โรคนี้เพียงแค่ทำให้ซื่อจื่อกระหายโลหิตทุกครั้งที่เข้าสู่ช่วงฤดูหนาว ในยามปกติก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อปีนั้นที่ซื่อจื่อได้พยายามที่จะควบคุมอาการของโรคนี้ก็ได้ทุ่มกำลังฝึกวิชาเผาไหม้ตัวตนที่แสนอันตรายอย่างยากลำบาก ถึงแม้จะอันตราย แต่ก็สามารถยับยั้งอาการของโรคกระหายโลหิตได้ หลายปีมานี้ก็ถือว่าดีขึ้นบ้าแล้ว แต่ก็เพราะว่าฝึกวิชานี้ ทำให้ต้องควบคุมเปลวเพลิงน้ำแข็งไม่ให้ลุกไหม้ ดังนั้นใบหน้าจึงขาวซีดผิดปกติ”
“ในเมื่อควบคุมได้แล้วทำไมถึงได้กำเริบอีกล่ะ” อวี้อาเหราตื่นตระหนก
“นี่ก็เป็นเพราะว่าเมื่อหลายวันก่อนซื่อจื่อได้ช่วยคุณหนูเอาไว้ ซื่อจื่อได้ถ่ายทอดลมปราณเข้าสู่ร่างของท่านจนทำให้ไม่อาจควบคุมไว้ได้ โรคกระหายโลหิตและลมปราณของวิชาเผาไหม้ตัวตนในร่างจึงปะทุขึ้นในเวลาเดียว ทำให้อาการแย่ลงกว่าเดิมขอรับ”
“เพราะว่าเขาช่วยข้า?” อวี้อาเหรายืนนิ่งอยู่ที่เดิม คิดไม่ถึงเลยว่าเพื่อช่วยชีวิตตนเองในครั้งก่อนทำให้ฉู่ป๋ายต้องเสี่ยงชีวิตจนเขาต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ และครั้งนั้นนางก็ยังโกรธเขาเพราะเรื่องของอวิ๋นเซิ่นอีก
ราวกับมีน้ำชาร้อนๆ รินรดลงบนหัวใจของราง นางเริ่มที่จะแยกแยะออกแล้วว่าอะไรเป็นอะไร
และตอนนี้นางก็กลับเชื่อคำสั่งของหนิงจื่อเย่ ฆ่าเขาอย่างนั้นหรือ?
เขาที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เดิมทีก็ไม่จำเป็นให้นางลงมือก็เกรงว่ายากที่จะรอดได้แล้ว…
อวี้อาเหรามองฉู่ป๋ายอย่างเงียบงัน ใบหน้าหล่อเหลาสง่างามของของเขาค่อยๆ บิดเบี้ยวมากยิ่งขึ้น เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาเครียดเขม็ง กัดริมฝีปากอย่างอดกลั้น ทั้งๆ ที่ท่าทางเช่นนี้ช่างดูโหดร้ายและอันตรายยิ่งนัก แต่เมื่อนางได้เห็นใบหน้างดงามและความอดทนอดกลั้นของเขาเช่นนี้แล้ว ในใจของนางก็รู้สึกขมขื่นขึ้นมาในทันที
ไม่สิ เขาช่วยชีวิตนางหลายครั้งต่อหลายครั้ง แล้วนางจะหลงลืมบุญคุณฆ่าเขาได้อย่างลงคอเชียวหรือ
อย่าได้กล่าวเลยว่าด้วยความสามารถของนางแล้วไม่มีทางที่จะทำได้ ทว่าแม้แต่ความคิดที่จะยกมีดขึ้นจ่อคอเขาก็ยังไม่กล้า
ทันใดนั้นเอง ในที่สุดฉู่ป๋ายก็ไม่อาจต้านทานความกระหายเลือดอย่างรุนแรงของตัวเองได้อีกแล้ว ท่าทางของเขาค่อยๆ ดุดัน เดินเข้าทางพวกเขาอย่างเชื่องช้า