ตอนที่ 263 ฟังคำเจ้า
มองเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของซื่อจื่อตนเองแล้ว เขาก็ทำได้แต่เพียงตอบกลับอย่างจนใจ “โรคชนิดนี้ไม่มีผู้ใดเคยเป็นมาก่อน น้อยเสียจนยากจะพบเห็น จึงไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรขอรับ”
“เช่นนี้นี่เอง” อวี้อาเหราพยักหน้าลง แล้วหันกลับไปมองฉู่ป๋าย “เจ้าก็จะไม่ทานอะไรจริงๆ หรือ”
ฉู่ป๋ายยังคงส่ายหน้า สีหน้าดูราวกับไม่อยากทานอะไรเลยแม้แต่น้อย
สีหน้าของอวี้อาเหราเผยให้เห็นถึงความไม่ยินยอม “ลุกขึ้นมาทานข้าวเถิด รอจนน้องสาวเจ้ากลับมาแล้วเจ้าก็จะได้หายดี อีกอย่างเจ้าเองก็ยืนหยัดมาได้ตั้งหลายปีเพียงนี้แล้ว หากยอมแพ้ไปเสียตอนนี้ จะทำให้ความพยายามของคนพวกนี้สูญเปล่าไปมากเท่าใด และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือตัวเจ้าเองที่อุตส่าห์หยัดยืนมาได้ตั้งหลายปีมิใช่หรือ”
วาจาของนางต่างทิ่มแทงจิตใจของเขาทุกถ้อยทุกคำ มิอาจปฏิเสธได้เลย
ฉู่ป๋ายลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นว่า “ก็ได้ ข้าฟังคำเจ้า”
ทั้งสองคนจึงนั่งร่วมโต๊ะทานอาหารเช้า นับเป็นมื้ออาหารที่สมานฉันท์แบบอย่างยากที่จะได้เห็น ก่อนหน้านี้หากอวี้อาเหราไม่ทานอาหารคนเดียว นางก็จะทานกับหลิงอ๋องและพวกอนุรอง คนเหล่านั้นเมื่อทานอาหารแล้วก็ไม่ลืมจะกล่าววาจาเสียดสี ทำร้ายจิตใจกันตลอดเวลา
ตลอดทั้งมื้ออาหารไม่ได้รับรู้ถึงรสชาติแม้แต่น้อย ไหนเลยจะหารสชาติความอร่อยได้
อวี้อาเหรานิ่งงันไปเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าลงกัดช้อนเอาไว้ “จริงสิ ท่านหญิงน้อยของพวกเจ้าจะกลับมาเมื่อไรหรือ”
“ค่ายใหญ่แห่งซีซานอยู่ไกลถึงเพียงนั้น คาดว่าคงจะกลับมาถึงในช่วงสิ้นปีขอรับ” หานสือตอบคำ จากนั้นก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา “ไม่ทราบว่าคุณหนูรองท่านถามทำไมหรือขอรับ”
“ไม่มีอะไร ก็เพียงแค่ถามไปเท่านั้นเอง” อวี้อาเหรากลืนโจ๊กขาวๆ ตรงหน้าไปคำหนึ่ง เอียงคอมองฉู่ป๋ายที่รับประทานด้วยความสุภาพเรียบร้อย เช่นนั้นนางก็เม้มริมฝีปาก “แค่ทานข้าวเจ้าก็ต้องทำท่าไม่อยากกินเช่นนั้นด้วยหรือ”
“?” ฉู่ป๋ายมองมาด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าได้รับความทรมานจากโรคกระหายโลหิต แน่นอนว่าย่อมทานอะไรไม่ลง มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้าจะผอมแห้งถึงเพียงนี้หรือ”
เมื่อได้ยินดังนั้นแล้ว อวี้อาเหราก็ไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรออกมาอีก
ร่างกายผอมบางของเขานางก็เห็นมันกับตามาโดยตลอด เมื่อมองก็รู้สึกว่ารูปร่างของเขาก็ช่างเหมือนกับหนังหุ้มกระดูก อย่ากล่าวเลยว่าเมื่อวานยามที่นางโอบกอดเขาจะรู้สึกกระดูกที่ทิ่มแทงถึงเพียงใด นี่ก็ช่างน่าตกใจเสียจริงๆ ที่แท้แล้วเขาก็ป่วยหนักหนาเสียจนน่าสงสารถึงเพียงนี้
เสื้อผ้าอาภรณ์ชั้นดีที่เขาสวมใส่อยู่นั้นก็ไม่อาจปิดบังรูปร่างผอมบางของเขาได้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็อดตกตะลึงขึ้นมาไม่ได้ “เจ้าว่าทุกครั้งหยกเลือดนี้จะช่วยชีวิตเจ้า เช่นนั้นก็ไม่แน่ว่าหากนำหยกชิ้นนี้ไว้กับเจ้าแล้วอาจจะทำให้อาการป่วยของเจ้าดีขึ้นใช่หรือไม่”
“ไม่หรอก” ฉู่ป๋ายออกปากปฏิเสธ “หากหยกเลือดชิ้นนี้ช่วยข้าได้จริงๆ เหตุใดหลายปีมานี้จึงไม่ดีขึ้นเลยเล่า ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะวิชาเผาไหม้ตัวตนเท่านั้น อีกอย่าง ยามนี้เจ้าสวมเอาไว้ที่ข้อมือ ทำอย่างไรก็ถอดไม่ออก แล้วจะให้ข้าได้อย่างไร”
“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก” อวี้อาเหราจำต้องละทิ้งความคิดนี้ไป
แต่จะว่าก็แปลก นางก็ใช้หยกเลือดช่วยชีวิตเขามาครั้งแล้วครั้งเล่า
แล้วจะไม่มีประโยชน์อะไรแม้แต่น้อยเชียวหรือ?
หลังจากนางถึงคิดเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้นางเคยเห็นในบันทึกโบราณเล่มนั้น ราวกับมีเพียงแต่คนที่มีความสามารถพิเศษเท่านั้นจึงจะสามารถใช้หยกเลือดชิ้นนี้ได้ เช่นนั้นนางจึงค่อยเข้าใจว่าเหตุใดถึงอยู่กะฉู่ป๋ายแล้วหยกชิ้นนี้ถึงไม่มีประโยชน์ คงเพียงนางคนเดียวที่ใช้มันช่วยเหลือคนได้
ต้องเป็นเพราะเหตุผลนี้แน่ๆ!
ทันใดนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังฉู่ป๋าย “ครั้งก่อนเจ้าที่ฝังเข็มให้ข้าแล้วรีบออกไปจากห้องของข้านั้น เป็นเพราะว่าอาการของโรคกระหายโลหิตของเจ้ากำเริบหรือ”
“อืม” เขาพยักหน้าน้อยๆ ยามที่พูดมีแววความเหนื่อยอ่อนอยู่บ้าง เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว หานสือก็เข้ามาตอบคำถามแทน “เป็นเช่นนั้นจริงๆ ขอรับ ครั้งก่อนเป็นเพราะซื่อจื่อถ่ายทอดกำลังภายในให้คุณหนูรองจนหมดจึงทำให้ได้รับบาดเจ็บ”
ตอนที่ 264 ยอดฝีมือแห่งยุทธภพ
“ทำให้โรคกระหายโลหิตที่ถูกวิชาเผาไหม้ตัวตนควบคุมเอาไว้ได้กำเริบขึ้นมาในรอบหลายปี โชคบังดีที่เพิ่งจะเริ่มต้น ซื่อจื่อจึงสามารถกัดฟันอดทนได้ สองสามวันมานี้อาการยิ่งแย่ลง จนกลายเป็นสภาพที่คุณหนูรองได้เห็นเมื่อคืนนี้…”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” อวี้อาเหราเข้าใจขึ้นมาในทันที พึมพำเสียงเบาว่า “ข้าก็นึกว่าเป็นเพราะอวิ๋น…”
“เจ้าว่าอะไรนะ” ฉู่ป๋ายรวบรวมพละกำลังเล็กน้อย จากนั้นก็จ้องมองนางด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไร” อวี้อาเหรายั้งปากเอาไว้ทัน ส่ายหน้าอย่างวุ่นวายใจ
แต่หลังจากที่นางเข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกว่าในใจเบาขึ้นมากโข ราวกับว่าอารมณ์ความรู้สึกที่แสนอึดอัดนั้นถูกกำจัดออกไปเสียสิ้น จนแม้แต่นางก็ยังแปลกใจตัวเอง
ฉู่ป๋ายเห็นว่านางปิดปากแน่นไม่กล่าววาจา จึงถอนสายตาแล้วหันกลับมา แล้วดื่มโจ๊กเปล่าในถ้วยต่อไป
หลังจากได้ทานอะไรลงไปบ้างแล้ว ก็ทำให้เขาเกิดมีพละกำลังมากขึ้น ตอนนี้เขาอ่อนแอนัก แม้แต่คนที่มีวรยุทธ์อ่อนด้อยเขาก็คงเอาชนะไม่ได้ นั่นจึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาเก็บเรื่องที่ตนเป็นโรคกระหายโลหิตเอาไว้เป็นความลับสูงสุดไม่ยอมเปิดเผย
“ครั้งที่แล้วที่ข้ามานั้นก็เห็นสีหน้าเจ้าเป็นสีแดงราวกับดอกเหมยอยู่บ้าง จุงคิดว่าไม่เป็นไรแล้ว แต่สองสามวันมานี้เหตุใดถึงได้กลับมาอ่อนแอถึงเพียงนี้เล่า…” อวี้อาเหรานึกถึงครั้งก่อนที่ได้พบกับเขา ซึ่งสภาพของเขานั้นก็ไม่ได้ดูแตกต่างไปจากคนปกติเท่าไรนัก
“คุณหนูรอง ตอนนั้นเป็นเพราะว่าข้าน้อยและเหล่าผู้มีวรยุทธิ์สูงช่วยกันส่งทอดพลังลมปราณเข้าสู่ร่างกายของซื่อจื่อ จึงทำให้อาการพอจะดีขึ้นบ้าง แต่วิธีการนี้ก็ยังไม่ได้ผล เพียงผ่านไปไม่กี่วันอาการก็ได้กำเริบขึ้นมาอีก…” หานสือเห็นสีหน้าของซื่อจื่อขาวซีด จึงช่วยตอบแทนเขา
“อ้อ เช่นนั้นเขาก็ถ่ายทอดพลังอะไรเข้าสู่ร่างของข้ามิใช่หรอกหรือ ถ้าอย่างนั้นเรียกคืนได้หรือไม่”
“ไม่ได้ขอรับ พลังนั้นสร้างขึ้นมาเพื่อเยียวยาบาดแผลให้คุณหนูรอง ได้หล่อรวมเข้ากับร่างกายของคุณหนูรองแล้ว หากจะนำกลับคืนก็ไม่อาจกลับมาได้”
“หา?” อวี้อาเหราตกใจ รีบหันไปมองฉู่ป๋ายทันที “พลังของเจ้าอยู่ในร่างกายของข้าหรือ”
“อืม” ฉู่ป๋ายพยักหน้า
“ถ้าเช่นนั้นก็เท่ากับข้ามีวิทยายุทธ์แล้วน่ะสิ” สิ่งที่อวี้อาเหราสนใจก็คือเรื่องนี้
ฉู่ป๋ายทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก หานสือจึงรีบอธิบายด้วยรอยยิ้มเฝื่อนๆ “คุณหนูรอง ข้าน้อยเพิ่งจะพูดว่าพลังนี้สร้างขึ้นมาเพื่อรักษาท่าน แม้ว่าจะหล่อหลอมเข้ารวมกับร่างกายของท่านแล้ว แต่เพราะไม่ได้ฝึกฝนมาเป็นสิบๆ ปี ถึงจะมีพลังอำนาจแต่ก็ไม่อาจใช้ได้ขอรับ”
“เช่นนั้นหรือ” อวี้อาเหราก้มหน้าอย่างผิดหวัง
นางยังคิดว่าตัวเองจะได้เป็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพในพริบตาเสียอีก แต่สุดท้ายนางกลับไม่ได้สัมผัสการเป็นยอดฝีมือเลยแม้แต่น้อย เรื่องทุกเรื่องใช่ว่าจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ นางที่คิดอยากจะมีพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่ง เห็นทีจำต้องเริ่มเรียนด้วยตัวเองกระมัง เช่นนั้นถึงจะมีก็นับว่าไม่มี ไม่ได้แตกต่างจากคนธรรมดาเลย
ฉู่ป๋ายเห็นท่าทีของนางแล้ว ใบหน้าขาวซีดก็พลันปรากฏรอยยิ้มอย่างหาได้ยาก
“เจ้าอย่าได้เศร้าใจไปเลย หากอยากจะมีวิทยายุทธ์ก็ค่อยๆ ฝึกด้วยตัวเองได้ แต่ว่าไม่มีสิ่งใดที่ได้มาโดยเปล่าๆ คุณสมบัติของเจ้านั้นเดิมทีก็ไม่เหมาะกับการฝึกวิชายุทธ์ เพราะฉะนั้นจึงจำต้องลำบากกว่าคนอื่นหลายเท่า เรื่องนี้จำต้องคิดให้ดี”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้แล้ว ทันใดนั้นอวี้อาเหราก็ไร้ซึ่งความหวังแม้แต่น้อย หากต้องฝึกฝนอย่างยากลำบากก็ช่างมันเถิด อย่างไรนางก็คงจะอดทนไม่ได้เป็นแน่
แต่ที่กล่าวว่านางนั้นไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ คำพูดนั้นจะไม่ใช่การทำร้ายจิตใจไปหน่อยหรืออย่างไร คงจะมีเพียงฉู่ป๋ายคนเดียวเท่านั้นที่กล้าจะกล่าววาจาไม่ถนอมน้ำใจเช่นนี้ ราวกับกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าตัวเองนั้นไม่จริงใจหรืออย่างไร ช่างน่ารังเกียจเสียยิ่งนัก