ตอนที่ 269 ช้าเร็วต้องถูกถอดถอน
“เสด็จพ่อ ลูกอยากออกไปเที่ยวเล่นเพียงลำพัง ช่วงนี้เกิดเรื่องต่างๆ ขึ้นมากมาย จนทำให้นอนไม่ค่อยหลับ ไม่แน่ว่าหากได้ออกไปข้างนอกบ้างก็คงจะดีขึ้นนะเพคะ” อวี้อาเหราวางแผนเกลี้ยกล่อม แต่หลังจากนั้นกลับถูกหลิงอ๋องปฏิเสธในทันที “ไม่ได้ ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไรพ่อก็ไม่อนุญาต”
“เสด็จพ่อ…” อวี้อาเหรายังอยากที่จะพูดต่อ แต่เมื่อเหลือบสายตาไปเห็นสีหน้าที่ไม่ใคร่ยินดีของหลิงอ๋องแล้ว นางก็รีบปิดปากอย่างรู้งานทันที
ครั้นแล้วหลิงอ๋องถึงได้เงยหน้าขึ้นมองไปยังจวินอู๋เหิน “อาเหราไม่รู้ความจนไปรบกวนท่านอ๋องน้อยเสียแล้ว แต่ว่าเรื่องที่ออกไปข้างนอกนั้นเป็นเรื่องใหญ่ เรารู้สึกไม่ค่อยสะดวกอยู่บ้าง ขอให้ท่านอ๋องน้อยกลับไปก่อนเถิด”
จวินอู๋เหินมองหลิงอ๋องด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วทำได้แต่เพียงขอลา
รอจนกระทั่งเขาเดินออกไปแล้ว หลิงอ๋องก็หันมาพูดกับบุตรสาวของตนด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “อาเหรา เหตุใดเจ้าถึงไปอยู่กับเขาได้”
อวี้อาเหราก้มหน้าลงไม่กล่าววาจา
หลิงอ๋องทอดถอนใจออกมา “ท่านอ๋องน้อยจวินนั้นแต่ไรมามักจะก่อเรื่องราววุ่นวายอยู่เสมอ หนานหยางอ๋องจึงตีเขาหลายครั้งหลายครา แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่จำ ได้ยินมาว่าชอบไปเที่ยวเล่นที่หอวั่นฮวาเป็นประจำ ผู้ชายเช่นนี้พ่อก็ไม่ต้องการ หากเป็นคนอื่นเจ้าชอบใคร แน่นอนว่าพ่อจะช่วยคิดหาทางให้”
“เสด็จพ่อ ท่านกล่าวอะไรเช่นนั้นเพคะ” อวี้อาเหราพละนหัวเราะร่วนในใจ ที่แท้หลิงอ๋องก็คิดว่านางชอบจวินอู๋เหินอย่างนั้นหรือ
“หรือว่าไม่ใช่?” หลิงอ๋องเองก็สับสนขึ้นมา
แน่นอนว่าอวี้อาเหราส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่ใช่เขา ลูกก็ยังมีสายตายาวไกลนะเพคะ แม้ว่าจวินอู๋เหินจะเป็นคนมีน้ำใจมาก แต่ก็เป็นได้เพียงมิตรสหาย และไม่ได้เป็นดังเช่นที่เสด็จพ่อคิดเลยแม้แต่น้อย อีกอย่าง ตอนนี้ลูกยังเด็กนัก ไหนเลยจะคิดถึงเรื่องหมั้นหมายแต่งงาน”
“เจ้าพูดจริงหรือ” หลิงอ๋องได้ยินนางยืนยันเช่นนั้น ก็ถึงได้วางใจ
“ย่อมจริงแน่นอนเพคะ ลูกยังอยากที่จะอยู่ปรนนิบัติเสด็จพ่อไปอีกนาน” อวี้อาเหราป้อยอคำหวานให้หลิงอ๋องฟัง ทำให้เขารู้สึกยินดียิ่งนัก “ยังเป็นอาเหราที่ห่วงใยพ่อ แต่ว่าเจ้าเองก็อยู่ในช่วงวัยที่เหมาะสมแล้ว ภายในสองปีนี้ก็สมควรจะถึงเวลาออกเรือนแล้ว คงจะให้อยู่ข้างกายพ่อต่อไปไม่ได้ตลอดนะ”
“เรื่องการแต่งงานของลูกนั้น แน่นอนว่าลูกจะจัดการตามแต่ใจของลูกเอง แต่เสด็จพ่อไม่ต้องกังวลนะ จวนหลิงอ๋องของพวกเรายังกลัวว่าธิดาจะแต่งไม่ออกอีกหรือเพคะ”
“วาจานี้ก็ไม่ผิดนัก” หลิงอ๋องเห็นพ้องเป็นอย่างยิ่ง กล่าวพลางขมวดคิ้ว ”แต่เรื่องแต่งงานนั้นจะให้เจ้าเป็นผู้ตัดสินใจเองก็คงไม่ได้ ฝ่าบาทยังไม่ได้ทรงถอดถอนเรื่องหมั้นหมายระหว่างเจ้าและองค์รัชทายาท ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นที่โปรดปรานจากฮ่องเต้ แต่ก็ยังมีไทเฮาคอยหนุนหลัง ไม่แน่ว่าอาจจะได้แต่งกับเจ้าในเร็ววันนี้ เมื่อถึงตอนนั้นพ่อก็คงไม่อาจที่จะ…”
“เสด็จพ่ออย่าได้กังวลไปเลยเพคะ หากฝ่าบาทจะทรงให้ลูกแต่งจริงก็คงแต่งไปแล้ว มีความจำเป็นใดที่จะต้องถ่วงเวลามาจนถึงตอนนี้ด้วย” สายตาของอวี้อาเหราเต็มไปด้วยแววครุ่นคิด “รัชทายาทมีอุปนิสัยเสเพล ฝ่าบาทเองก็ทรงอดทนกับเขามานาน แต่เพราะได้รับแรงกดดันจากไทเฮาและขุนนางใหญ่บางคนจึงจำต้องยอมรับ เพียงแต่ลูกได้ยินมาว่า ในวันที่องค์ไทเฮาทรงประชวรนั้น ฝ่าบาทได้ทรงเขียนราชโองการถอดถอนรัชทายาทไว้แล้ว แต่คาดว่าเป็นเพราะองค์ไทเฮาอาจจะได้รับข่าวคราวมาก่อน ดังนั้นจึงทรงแกล้งประชวร ฝ่าบาทเห็นแก่พระพลานามัยของไทเฮา เช่นนั้นจึงไม่อาจเป็นลูกอกตัญญูประกาศราชโองการออกไปได้ แต่หากรัชทายาทยังเป็นเช่นนี้ต่อไป หากจะถูกถอดถอนก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายเพคะ”
“ราชโองการถอดถอนรัชทายาท?” หลิงอ๋องตกใจเสียจนใบหน้าเปลี่ยนสี มองไปรอบๆ ตัวด้วยความระมัดระวัง “เรื่องนี้ไม่ควรพูดส่งเดช หากมีผู้ใดรู้เขาพวกเราจะ…แต่ว่าเจ้าไปรู้มาจากไหนกัน”
“ได้ยินเซิ่นซื่อจื่อพูดขึ้นโดยบังเอิญเพคะ” อวี้อาเหราเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
หลิงอ๋องเงียบงันไป “เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ”
ตอนที่ 270 ฝีมือทางการแพทย์
“เดิมทีก็นึกสงสัยว่าไทเฮาก็ทรงดูแข็งแรงดี แต่เหตุใดจู่ๆ ก็ประชวรทันทีหลังจากที่รัชทายาททรงหนีออกไปจากวังตะวันออก” อวี้อาเหรานิ่งไปสักครู่หนึ่ง มองประเมินสายตาระแวงของหลิงอ๋องด้วยความละเอียด แล้วจึงพูดต่อว่า “ภายหลังเพิ่งจะได้ยินเซิ่นซื่อจื่อกล่าวถึงโดยบังเอิญ เมื่อคิดดูแล้วก็คงไม่ผิดจริงๆ ลูกเชื่อว่าเซิ่นซื่อจื่อก็ไม่มีความจำเป็นใดที่ต้องจงใจหลอกพวกเราหรอกเพคะ”
“ในเมื่อเซิ่นซื่อจื่อเป็นคนพูด อย่างไรก็คงไม่ใช่เรื่องเท็จแน่” หลิงอ๋องพยักหน้าลง
“ใช่เพคะ เพราะอย่างนั้นลูกก็คิดว่าคงเป็นเพราะฮ่องเต้ทรงเขียนพระราชโองการถอดถอนขึ้นมาจริงๆ เพราะฉะนั้นไทเฮาจึงแสดงท่าทีอยู่ไม่สุขแล้วแสร้งประชวร ลูกเองก็เพิ่งรู้ตอนที่ช่วยเหลือหมอหลวงตรวจพระอาการ พระพลานามัยของไทเฮานั้นแข็งแรงยิ่ง หากไม่ใช่เพราะเซิ่นซื่อจื่อแสร้งกระแอมไอขึ้นมาเพื่อเตือน ลูกคงจะเผลอพูดความจริงออกไปเสียแล้ว”
“เจ้าทำถูกแล้ว เรื่องของราชวงศ์นั้นเราเข้าไปยุ่งให้น้อยที่สุดจึงจะเป็นการดี” หลิงอ๋องชื่นชมในความสามารถของนาง จากนั้นจึงเลิกคิ้ว “แต่เหตุใดเจ้าถึงเพิ่งมาบอกพ่อตอนนี้”
“หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้น เซิ่นซื่อจื่อก็ได้บอกลูกถึงเรื่องผลลัพธ์อันร้ายแรงของเรื่องนี้ ตอนนั้นจึงไม่กล้าทูลค่อเสด็จพ่อ ภายหลังเกิดเรื่องราวขึ้นมามากมาย ลูกจึงลืมไปแล้ว จนกระทั่งเมื่อครู่ที่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นถึงค่อยๆ จำขึ้นมาได้เพคะ”
“ต่อไปหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจำต้องรีบบอกพ่อทันที เจ้าเป็นธิดาเอกของจวนเรา ทุกถ้อยคำทุกการกระทำล้วนแล้วแต่เป็นที่สนใจของคนทั้งใต้หล้า ไม่อาจเกิดเรื่องผิดพลาดได้ อีกทั้งเมื่อวานเจ้าก็ยังถูกลักพาตัวไปจากหน้าประตูวัง เจ้าต้องรอบคอบเสียหน่อย มิเช่นนั้นพ่อคงไม่ให้เจ้าออกไปที่ไหนอีกแล้ว” หลิงอ๋องพูดขึ้นด้วยท่าทีจริงจัง
“เพคะ ลูกเข้าใจแล้ว เพียงแต่ว่า…” อวี้อาเหรายังคงไม่ยอม
“เรื่องออกไปเที่ยวเล่นหย่อยใจเจ้าไม่ต้องพูดแล้ว” หลิงอ๋องตั้งใจที่จะหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องนี้ มองนางด้วยความไม่แน่ใจ “ว่าแต่เจ้าไปเรียนวิชาการแพทย์มาตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดพ่ออยู่กับเจ้ามาตั้งแต่เล็กจนโตถึงไม่เคยรู้มาก่อน?”
“ลูกเป็นวิชาแพทย์เสียที่ไหนกันเพคะ” อวี้อาเหราหัวเราะน้อยๆ แล้วตอบกลับว่า “เพียงแต่หมอหลวงเหล่านั้นยกยอความสามารถของลูกมากจนเกินไปต่างหาก คงเพราะตัวเขาไม่อยากวินิจฉัยส่งเดชจึงลากลูกเข้าไปเกี่ยวด้วย อีกทั้งลูกยังทำได้เพียงตรวจชีพจรเบื้องต้นเท่านั้น เรื่องรักษาอาการป่วยอะไรลูกไม่รู้เรื่องเลยเพคะ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง แต่ก็ไม่เคยเห็นเจ้าตรวจชีพจรมาก่อนเลย?” หลิงอ๋องพยักหน้า และยังคงไถ่ถามด้วยความสงสัยต่อ
อวี้อาเหราชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงค่อยหาข้อแก้ตัว “เสด็จพ่อคงจำได้กระมังเพคะว่าก่อนหน้านี้ลูกก็มักจะถือตำราติดตัวเสมอ นั่นก็เป็นเพราะลูกไม่มีอะไรทำจึงเอาตำราแพทย์มาอ่าน แต่ก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรมากมาย ภายหลังเซิ่นซื่อจื่อก็ได้ยินมาว่าลูกกำลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับการแพทย์พอดี เขาก็เลยช่วยสอนวิธีการตรวจชีพจรให้ เขาก็ช่างมีความสามารถยิ่งนัก แม้แต่นักเรียนที่แสนโง่เขลาก็ยังสามารถเข้าใจได้ เรียนเพียงไม่กี่วันลูกก็สามารถตรวจวัดชีพจรได้แล้วเพคะ แต่ก็ไม่อาจบอกได้จริงๆ ว่าผู้ป่วยนั้นป่วยเป็นโรคอะไร”
“ก็จริงดังว่า ลูกสาวของพ่อเองเหตุใดพ่อถึงยังไม่กระจ่างอีกนะ” ได้ฟังเช่นนี้แล้วหลิงอ๋องจึงค่อยคลายความสงสัยทั้งหมดลง แล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง
อวี้อาเหราเห็นดังนั้นมุมปากของนางจึงยกโค้งขึ้น ที่แท้แล้วในใจของหลิงอ๋องนั้นเห็นนางเป็นเพียงบุตรสาวแสนอ่อนแอที่ไม่อาจทำอะไรได้เองเท่านั้น เขาช่างเป็นบิดาที่รักและเป็นห่วงบุตรสาว คุณหนูรองหลิงตัวจริงที่มีบิดาซึ่งรักใคร่เอ็นดูนางเช่นนี้ชาตินี้ก็คงไม่ต้องวิตกกังวลอะไรอีกแล้ว
เพียงแต่น่าเสียดาย ที่นางไม่ใช่บุตรสาวที่แท้จริงของหลิงอ๋อง
เมื่อคิดว่าบุตรสาวตัวจริงของเขานั้นอาจจะยังมีชีวิตอยู่ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวยิ่งนัก แต่ว่าโลกนี้ก็ล้วนเต็มไปด้วยคนที่เห็นแก่ตัว นางที่ได้รับความทุกข์ทรมานมามากมายเช่นนั้น ดวงใจของนางจึงไม่ค่อยจะหลงเหลือไว้ซึ่งความดีงามเท่าใดนัก