ตอนที่ 273 ดูอาการ
“ไม่เลว”
“หากคุณหนูชอบ หลังจากนี้บ่าวจะชงมาให้ทุกวันเลยเจ้าค่ะ”
“อืม”
หลังจากที่เมี่ยวอวี้เดินจากไปแล้ว เจาเอ๋อร์ก็หันกลับมา ส่งจานขนมบนโต๊ะให้นางอย่างเคืองๆ “คุณหนู ท่านทานเถิดเจ้าค่ะ”
อวี้อาเหราทานเข้าไปสองสามคำ เมื่อเห็นท่าทีกระเง้ากระงอดของนางแล้วก็ทำเพียงยิ้มไม่พูดจา
ยามนี้ เมี่ยวอวี้ก็เข้ามารายงานว่า “คุณหนู อนุรองและคุณหนูใหญ่ขอเข้าพบท่านเจ้าค่ะ”
“หือ?” อวี้อาเหราเกิดความสนใจขึ้นมาในทันที มองออกไปทางด้านนอก “พวกนางมาทำไมกัน”
“พวกนางกล่าวว่า กลัวว่าท่านจะขวัญเสียเพราะเรื่องลักพาตัวเมื่อ เช่นนั้นจึงได้มาเยี่ยมเจ้าค่ะ” ยามที่เมี่ยวอวี้กล่าววาจานั้น ดวงตาของนางก็เปล่งประกายแปลกๆ ทว่าเมื่อเห็นสายตาของอวี้อาเหราที่มองมา เมี่ยวอวี้ก็รีบก้มหน้าลง “คุณหนูจะให้พวกนางเข้ามาหรือไม่เจ้าคะ”
“อืม” อวี้อาเหราพยักหน้าลง นางไม่เชื่อว่าอนุรองจะมีจิตใจดีงามถึงเพียงนี้ แต่ก็พยายามที่จะระงับอารมณ์โกรธของตัวเองไว้ เพราะนางอยากจะรู้ว่าสองแม่ลูกกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ นางจะต้องใช้โอกาสก่อนที่จะไปยังตลาดมืดนั้นสั่งสอนพวกนางเสียก่อน มิเช่นนั้นหากเห็นว่านางไม่อยู่อาจจะมีท่าทีกระด้างกระเดื่องขึ้นมาได้
เมี่ยวเอ๋อร์รีบเลิกม่านออก ก่อนจะเชิญพวกนางเข้ามา
เจาเอ๋อร์ขมวดคิ้วมุ่น “คุณหนู อนุรองกับคุณหนูใหญ่นั้น…”
“ชู่” อวี้อาเหรารีบยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปากแล้วทำเสียงให้เจาเอ๋อร์เงียบ เจาเอ๋อร์จึงรีบปิดปากฉับทันที ได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาในห้อง เมื่อมองไปก็เห็นอนุรองลากอวี้จื่อเยียนที่ไม่เต็มใจเข้ามาในห้องของอวี้อาเหรา
“ข้าน้อยคารวะคุณหนูรอง”
“อนุรองไม่ต้องมากพิธี” อวี้อาเหรายิ้มแย้มสดใส นั่งอยู่บนเก้าอี้ขณะที่กำลังหยิบขนมชิ้นหนึ่งขึ้นมาเล่น เมื่อได้ยินเสียงอนุรองแล้วนางก็เบนสายตาจากขนมที่เล่นอยู่ สายตามองไปยังร่างของสองแม่ลูก “ครรภ์ของอนุรองนั้นมีค่ามากนัก หากมาหกล้มอะไรไปต่อหน้าข้าก็คงจะไม่ดีนัก”
“คุณหนูกล่าววาจาล้อเล่นแล้ว สองสามวันมานี้ข้าน้อยทานยาบำรุงมาโดยตลอด ไหนเลยร่างกายจะอ่อนแอปานนั้น” ใบหน้าของอนุรองนั้นพรายไปด้วยรอยยิ้ม ที่ข้างกายนั้นคืออวี้จื่อเยียนที่มีท่าทีไม่ยินดีนัก เงยหน้าขึ้นมองอวี้อาเหราอย่างเกียจคร้าน
“ท่านแม่ ท่านลากข้ามาที่นี่ทำไมเจ้าคะ”
“เงียบนะ” อนุรองต่อว่า อวี้จื่อเยียนจึงเงียบปากอย่างรู้งาน
อวี้อาเหราตีหน้าขรึม “อนุรองคงไม่ได้มาเยี่ยมข้าจริงๆ หรอกใช่หรือไม่ นี่ก็ฟังไม่ขึ้นเลยจริงๆ!”
“ฟังไม่ขึ้นอะไรกัน” อนุรองหัวเราะออกมา “คุณหนูรองมีสถานะสูงส่ง ที่ข้าน้อยมาเยี่ยมนั้นก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าคุณหนูท่านบาดเจ็บตรงที่ใดบ้าง นักฆ่าผู้นั้นก็ช่างหาญกล้าเทียมฟ้ายิ่งนัก อุกอาจกล้าที่จะก่อการหน้าประตูวังได้ ไม่รู้จักพวกเราเสียแล้ว!”
อวี้อาเหราเห็นอนุรองแสร้งทำเป็นมีศีลธรรมจรรยา เช่นนั้นก็เอ่ยปากอย่างสอดคล้องกัน “ข้าสบายดีมาก”
เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ ท่าทีของอนุรองก็ชะงักไป จากนั้นก็ถึงพูดขึ้นว่า “ร่างกายของคุณหนูรองเกี่ยวพันผู้คนทั้งจวนอ๋อง แน่นอนว่าจะต้องดูแลรักษาให้ดีๆ เมื่อครู่นี้ข้าน้อยเพิ่งจะเชิญหมอฝีมือดีจากข้างนอกมาเพื่อดูอาการท่าน คุณหนูรองจะลองตรวจอาการดูเสียหน่อยเป็นอย่างไร”
ดูอาการให้นาง? ทันใดนั้นอวี้อาเหราก็หรี่ตาลงอย่างระแวดระวัง อนุรองไม่ใช่คนดีถึงเพียงนี้แน่ๆ แต่จู่ๆ กลับให้คนมาดูอาการป่วยของนางเช่นนี้ แน่นอนว่าจะต้องมีเจตนาอะไรแอบแฝงอยู่เป็นแน่
ตลอดเวลาที่พูดคุยกันนั้นอนุรองเห็นนางไม่มีท่าทีอะไรแม้แต่น้อย จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยวาจาเร่งรัด “คุณหนูรอง เมื่อครู่นี้ข้าน้อยก็ได้ขออนุญาตท่านอ๋องแล้ว พระองค์ตรัสว่าจะต้องให้ตรวจดูอย่างละเอียด ด้วยเกรงว่าจะเกิดเรื่องผิดพลาดอันใดขึ้น หรือว่าที่คุณหนูไม่ยอมให้พวกเราตรวจดู ก็เป็นเพราะมีเรื่องลำบากใจอันใดอยากจะปกปิดพวกเราหรือ”
ตอนที่ 274 ขู่บังคับ
เรื่องที่อยากจะปกปิด…
อวี้อาเหราจ้องมองดวงตาของอนุรอง มองเห็นประกายความมุ่งมาดในดวงตาของนางอย่างชัดเจน ทันใดนั้นมุมปากของนางก็ค่อยๆ ยกโค้งขึ้น มิน่าเล่าถึงได้เชิญหมอมาตรวจดูอากาของนางด้วยความปรารถนาดีเช่นนี้ นี่เป็นเพราะครั้งก่อนพวกนางก็สงสัยเรื่องตัวตนของนางอยู่ก่อนแล้วสินะ อีกอย่างอนุรองยังเป็นคนเลี้ยงดูคุณหนูรองตัวจริงจนเติบใหญ่ แน่นอนว่านางย่อมต้องรู้ถึงร่องรอยต่างๆ บนร่างกายของนางแน่ เช่นนั้นจึงใช้โอกาสนี้ในการตรวจสอบให้แน่ชัดว่านางนั้นเป็นคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องตัวจริงหรือไม่
ช่างมีจิตใจที่ล้ำลึกยิ่งนัก
ในช่วงเวลานี้ นางก็รีบพยักหน้าลงในทันที “ตกลง เจาเอ๋อร์ เจ้าพาอนุรองและพี่หญิงไปดื่มน้ำชาที่ห้องใหญ่ก่อน แล้วค่อยเชิญหมอเข้ามาตรวจชีพจรของข้า”
“เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อรไม่รู้ว่านางกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ เช่นนั้นจึงทำได้เพียงนำทางสองแม่ลูกให้ออกไปเท่านั้น
ในห้องจึงเหลือเพียงหมอชราและเมี่ยวอวี้สองคน อวี้อาเหราออกคำสั่งเนิบๆ ว่า “เมี่ยวอวี้ เจ้าก็ออกไปพร้อมกับเจาเอ๋อร์เถิด”
“บ่าวรับคำสั่งเจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้ปิดประตูแล้วออกไป
รอกระทั่งคนออกไปจนหมดแล้ว หมอชราถึงค่อยเอ่ยปากพูดขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “คุณหนูรองโปรดยื่นมือออกมาให้ข้าน้อยเถิดขอรับ”
อวี้อาเหราไม่ขยับ มือที่กุมถ้วยชาเอาไว้ค่อยๆ กระชับแน่นขึ้น หรี่ตาลงแล้วมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา น้ำเสียงเย็นชาเปล่งออกมาจากลำคอ หมอชราพลันรู้สึกได้ถึงความกดดันที่ไร้ลักษณ์ขนานใหญ่ “เจ้าคงจะรู้ใช่หรือไม่ว่าเรื่องใดควรพูด เรื่องใดไม่ควรพูด”
“คุณหนูหมายถึงอะไรหรือ” ใบหน้าของหมอชราเผยให้เห็นความตื่นตระหนก ด้วยเพราะตกใจสีหน้าของนางเสียจนชะงัก น้ำเสียงที่ใช้พูดค่อยๆ สั่นเทาขึ้นมา
“อย่ามาแกล้งโง่ต่อหน้าข้า!” อวี้อาเหราออกแรงบีบมากขึ้นจนถ้วยชาในมือแตกกระจาย น้ำชาไหลรอดผ่านช่องนิ้วของนาง แต่มือของนางกลับไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บ แม้แต่รอยเลือดสักหยดก็ไม่มี ค่อยๆ ใช้ผ้าเช็ดมือเช็ดน้ำชาที่ฝ่ามือออก แล้วจึงเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงเข้มงวด “ความหมายของข้าชัดเจนเป็นอย่างมาก ข้ามีสถานะเช่นไร นอกจากหมอหลวงแล้วมีใครกล้าที่จะตรวจชีพจรข้าอีกหรือ? หากวันหน้าตรวจพบความผิดปกติแม้เพียงน้อย ก็อย่าได้โทษว่าข้าลากคอเจ้าไปลงโทษ จวนอ๋องแห่งนี้ที่ไม่ขาดก็คือคนตาย ตอนนี้เจ้าก็คงจะรู้แล้วสินะ แล้วยังอยากที่จะตรวจอาการข้าอีกหรือไม่…”
“คุณ…คุณหนูรองโปรดไว้ชีวิตด้วย!” หมอชราตกใจกลัวจนรีบคุกเข่าลง
“เจ้าคงจะรู้แล้วสินะว่าต้องทำอย่างไร” อวี้อาเหราถามกลับ
“ข้าน้อยทราบแล้วขอรัย” แพทย์ชราไม่กล้าที่จะพูดอะไรให้มากความ
“ลุกขึ้นเถิด” อวี้อาเหราพยักหน้าลง น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นมาก
หมอชราค่อยๆ ตะเกียกตะกายลุกขึ้น ก่อนจะลอบมองไปที่คุณหนูรอง ท่าทีเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ราวกับหญิงสาวที่ดุดันเข้มงวดเมื่อครู่นี้ไม่ใช่นาง แต่ก็ไม่กล้าบ่นอะไรแม้เพียงครึ่งคำ จึงยืนขึ้นอย่างเป็นทุกข์ มองนางที่ยังคงดื่มน้ำชาและทานขนมต่อไปอย่างไม่ทุกข์ร้อน
ผ่านไปสักพัก อนุรองที่อดรนทนไม่ไหวก็เข้ามาดู “ท่านหมอ ร่างกายของคุณหนูมีอะไรผิดปกติหรือไม่”
แพทย์ชรามองไปยังอวี้อาเหราเงียบๆ เมื่อยังคงเห็นนางดื่มน้ำชาด้วยท่าทีผ่อนคลายเช่นเดิม ซึ่งนางในยามนี้ก็นับว่าน่าหวาดกลัวว่ายามโกรธเคืองเป็นร้อยเท่า มุมปากของเขาก็กระตุก แล้วจึงตอบกลับไปว่า “ร่างกายของคุณหนูแข็งแรงดี แต่เพราะได้รับความตกใจจึงทำให้เลือดลมอ่อนแอ ขอเพียง…ดื่มน้ำแกงพุทราแดงเพื่อบำรุงสุขภาพก็ไม่ต้องกังวลอะไรขอรับ”
“จริงหรือ” อนุรองไม่อยากเชื่อเท่าใดนัก “ท่านไม่พบความผิดปกติใดเลยหรือ”
นางพูดขึ้นโดยแฝงความนัยอย่างเห็นได้ชัด หมอชราเม้มปาก เขาไม่ได้ตรวจชีพจรเลยด้วยซ้ำ ไหนเลยจะรู้ได้ว่านางป่วยเป็นอะไรกันแน่ แต่กระนั้นก็ไม่กล้าพูดความจริงออกไป เพราะหากทำเช่นนั้นก็คงเท่ากับเป็นการรนหาที่ตาย เขาเพิ่งจะเห็นคุณหนูรองบีบถ้วยชาแตกกับมือตัวเอง คนธรรมดาก็จะทำเช่นนั้นได้หรือ