ตอนที่ 327 ยอมรับความพ่ายแพ้
เมื่อได้ยินคำสั่งของนาง หานสือก็รีบบังคับรถม้าไปยังหอจุ้ยเซียนทันที จึงทำให้เห็นว่าหญิงสาวนางนี้มีความสำคัญต่อพวกเขานายบ่าวมากเพียงใด อวี้อาเหราคิดอย่างเคืองๆ ก่อนหน้านี้เหตุใดนางถึงไม่เคยเห็นหานสือเชื่อฟังคำสั่งใครเช่นนี้มาก่อนเลยเล่า
เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวออกไปแล้ว หญิงสาวผู้นี้ถึงค่อยถอนตัวออกมาจากอ้อมแขนของฉู่ป๋าย
อวี้อาเหรามองมายังคนทั้งสอง ในใจของนางก็รู้สึกราวกับเต็มไปด้วยลมอากาศ อึดอัดคับข้องยิ่งนัก ปล่อยก็ไม่ได้ กดไว้ก็ไม่ได้
ที่จริงแล้วนางก็ไม่ได้อยากไปหอจุ้ยเซียนเลย แต่ในเมื่อถูกอีกฝ่ายมัดมือชกเช่นนี้ และยิ่งเห็นสีหน้าที่แสนยินดีของฉู่ป๋ายเพียงนั้น นางก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเสียดื้อๆ เช่นนั้นจึงได้ตามคนทั้งสองมา
เมื่อมาถึงหอจุ้ยเซียนแล้ว เสี่ยวเอ้อร์ของร้านก็เข้ามาต้อนรับอย่างยินดี เมื่อเห็นคนทั้งสามก็ยิ้มแย้มต้อนรับ “ข้าน้อยคารวะเซิ่นซื่อจื่อและคุณหนูรอง เชิญทางนี้ขอรับ!”
“ไปกันเถิด ฉู่ฉู่” หญิงสาวไม่สนใจสายตาของใคร นางดึงแขนของชายหนุ่มเข้าไปในด้านในท่ามกลางสายตาของผู้คน เขาทำเพียงขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยขัดอะไรขึ้นมา อวี้อาเหราเดินตามหลังพวกเขาไปจนกลายเป็นคนนอกอย่างสมบูรณ์แบบ
เสี่ยวเอ้อร์พาพวกเขาเดินเข้าไปด้านในร้านขณะที่หัวเราะยิ้มหัวไปด้วย “เมื่อครู่นี้ท่านอ๋องน้อยจวินและคุณหนูเซิ่นเอ๋อร์ก็มาที่นี่ด้วย ตอนนี้กำลังรอทั้งสามท่านอยู่ในห้องรับรองแล้วขอรับ พวกเขายังกล่าวอีกว่า อีกสักครู่องค์ชายแห่งเป่ยเจียงและคุณหนูเริ่นหว่านเอ๋อร์ก็จะตามมาด้วยขอรับ”
“พวกเขาก็มาด้วยหรือ” อวี้อาเหราพลันชะงัก เดิมทีนางก็คิดว่าจะมีเพียงพวกนางสามคนเท่านั้น ไม่คิดว่าจะมีคนมากถึงเพียงนี้
หญิงสาวพยักหน้าลง “ใช่แล้ว ข้าเชิญพวกเขามาเอง”
อวี้อาเหราได้ยินดังนั้นแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
เมื่อยืนอยู่หน้าห้องรับรองยังไม่ทันได้เข้าไป ที่ด้านในห้องก็ปรากฏเสียงเรียกของจวินอู๋เหินมาเสียก่อน เขาออกมาต้อนรับจากด้านใน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ในที่สุดพวกเจ้าก็มาเสียที หากต้องรอนานกว่านี้ข้าก็คงจะหิวตายไปแล้ว!”
“หากหิวตายไปเลยก็ดีน่ะสิ อย่างไรเสียท่านอ๋องน้อยอยู่ในเมืองเฟิ่งเฉิงแห่งนี้ก็ทำให้คนซวยกันไปทั่วทั้งเมือง หากท่านตายไปเสีย ทั่วทั้งเมืองอาจจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้ก็เป็นได้นะ” หญิงสาวพูดขึ้นอย่างไม่ไว้หน้า พูดจนจวินอู๋เหินหน้าเครียดขมึง “หึ เจ้าก็สนใจแต่ฉู่ฉู่ของเจ้า เราจะหิวตายเจ้าก็คงไม่สนใจ”
“ท่านรู้ตัวก็ดีแล้ว มิเสียแรงที่หนานหยางอ๋องทรงสั่งสอนท่านอย่างใส่พระทัย”
“เหตุใดเจ้าถึงได้ปากคอเราะร้ายเหมือนฉู่ฉู่ของเจ้าไม่มีผิด ช่างไม่เห็นใจผู้อื่นเลยแม้แต่น้อย!”
“เหอะ” หญิงสาวไม่สนความโกรธเคืองของเขา ยังคงเดินอ้อมร่างของเขาแล้วเดินเข้าไปด้านใน
อวี้อาเหรามองไปทางจวินอู๋เหินเงียบๆ “คิดไม่ถึงว่านอกจากข้าแล้วจะมีผู้ใดกล้าพูดจนเจ้าต้องยอมพ่ายแพ้ไปเช่นนี้อีก”
“แพ้อะไรกัน เป็นเพราะเราเห็นว่านางอายุน้อยหรอกถึงได้ปล่อยไป มิเช่นนั้นแล้ว…” จวินอู๋เหินเห็นนางมองมาที่ตนเองด้วยความเย้ยหยัน ทันใดนั้นก็โกรธเคืองขึ้นมา ทำคอแข็งขณะที่เถียง พูดขึ้นยังไม่ทันจบประโยคก็ถูกฉู่ป๋ายขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน “ถ้าเช่นนั้นเราจะเรียกนางออกมาเสีย ท่านลองดูเถิด ดีหรือไม่”
เมื่อได้ยินดังนั้น จวินอู๋เหินก็รีบส่ายหน้าในทันที “ไม่เป็นไรหรอก เราก็ไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับนางนัก”
มุมปากของฉู่ป๋ายเผยให้เห็นรอยยิ้มเรียบเย็น เป็นครั้งแรกที่นางเห็นเขายอมอ่อนข้อให้ผู้อื่นเช่นนี้
ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่? อวี้อาเหราเดาไม่ออกเลยจริงๆ เมื่อเห็นฉู่ป๋ายเดินเข้าไปแล้ว สายตาของนางก็ตกมาอยู่บนร่างของจวินอู๋เหิน “หญิงสาวคนเมื่อครู่นี้เป็นใครกัน เหตุใดพวกเจ้าถึงดูคุ้นเคยกับนางเช่นนี้”
“นางน่ะหรือ…” จวินอู๋เหินกำลังจะกล่าววาจา แต่เมื่อเห็นใบหน้าของนางแสดงความกังวลเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นก็หยุดพูดเสื้อดื้อๆ “หากอยากรู้เจ้าก็ไปถาม ‘ฉู่ฉู่’ ของเจ้าเองเสียไม่ดีกว่าหรือ?”
ในยามที่พูดเขาก็ยังคงเน้นที่คำสองคำนั้น อีกทั้งยังถลึงตาจ้องมองนางอย่างออกรสออกชาติ ใบหน้ายังแสดงให้เห็นถึงรอยยิ้มร้ายกาจ
ตอนที่ 328 ฉู่เกอ
“…” อวี้อาเหรากวาดตามองเขาอย่างหมดคำพูด เดินเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าไม่น่าดูนัก ได้ยินหญิงสาวผู้นั้นเอาแต่เรียกฉู่ฉู่ไปมา ในใจของนางก็ยากที่จะรับได้เหลือเกิน ราวกับมีก้อนหินก้อนใหญ่กดทับอยู่เช่นนั้น ทำอย่างไรก็ไม่อาจจะเคลื่อนย้ายออกไปได้
เมื่อเข้ามาในห้องรับรองแล้ว ก็เห็นว่าอวิ๋นเซิ่นและหญิงสาวผู้นั้นพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เมื่อนางเดินเข้ามาเสียงทุกอย่างก็พลันหยุดลง อวิ๋นเซิ่นช้อนตาขึ้นมอง แล้วก้าวยาวๆ เข้ามาหา “คิดไม่ถึงว่าคุณหนูรองจะมาที่หอจุ้ยเซียนแห่งนี้ด้วย วันนี้คงจะคึกคักมากเลยทีเดียว”
“ก็จริง” อวี้อาเหราทำทีฝืนยิ้มการค้าอย่างขอไปที
“ได้ยินว่าหลายวันมานี้เจ้าไปเที่ยวเล่นที่เมืองตะวันตกมา ทำเอาหลิงอ๋องทรงวิตกแทบแย่ ไม่รู้ว่าที่นั่นมีอะไรน่าเที่ยวหนักหนาหรือ” อวิ๋นเซิ่นถามต่อไป
“ไม่มีอะไรน่าเที่ยวหรอก” น้ำเสียงของอวี้อาเหราฟังดูเรียบเฉย
“อ๊ะ ท่านก็อย่าได้ถามเรื่องนั่นนี่อีกเลย คุณหนูรองเพิ่งจะกลับมา แน่นอนว่าคงจะเหนื่อยล้านัก ให้นางได้พักผ่อนเสียหน่อยเถิด ใครกันจะเหมือนท่านกับข้าที่เติบโตมาในค่ายทหาร จะไปเปรียบเทียบกันได้อย่างไร” หญิงสาวผู้งดงามเอ่ยวาจาสอดขึ้นมาทันที
“ค่ายทหาร?”
อวี้อาเหราชะงักไป หรือนางเป็นคุณหนูจากตระกูลไหนในเมืองเฟิ่งเฉิง? แต่นางก็พอจะเดาได้ว่าสถานะของอีกฝ่ายนั้นจะต้องไม่ธรรมดาแน่ หากเป็นคนทั่วไปไหนเลยจะมีรัศมีสูงส่งเกินธรรมดาเช่นนี้ จะต้องเป็นสิ่งที่โดนฝึกฝนมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยแน่
“นี่ก็ไม่ผิด เป็นเพราะเกอเอ๋อร์มีสุขภาพที่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก จึงได้ถูกส่งตัวไปอยู่ที่ค่ายทหารแห่งซีซานจนเติบใหญ่ที่ค่ายทหาร ผ่านการเคี่ยวกรำมานานหลายปี ถึงได้ไม่อ่อนแอเหมือนหญิงสาวในเมืองเฟิ่งเฉิง” อวิ๋นเซิ่นแย้มยิ้มหัวเราะ
“หรือว่านางคือ…” อวี้อาเหราชะงักขึ้นมาในทันที
ที่แท้นางก็คือฉู่เกอ น้องสาวของฉู่ป๋าย!
มิน่าเล่าถึงได้สนิทสนมกับฉู่ป๋ายถึงเพียงนี้ ที่โดนกอดรัดเช่นนั้นคงจะมีแต่คนที่เป็นน้องสาวแท้ๆ เท่านั้นกระมังจึงจะสามารถทำได้ ก่อนหน้านี้เมื่อมองเห็นคนทั้งสองแล้ว นางยังเผลอคิดว่าฉู่เกอเป็นหญิงในดวงใจของเขาเสียอีก…
ตอนนี้ความสงสัยในหัวใจก็ได้คลี่คลายลงแล้ว ท่าทีของอวี้อาเหราก็ผ่อนคลายลงมาก
“ใช่แล้ว ข้าก็คือท่านหญิงน้อยแห่งจวนเซิ่นอ๋อง เป็นน้องสาวร่วมพระมารดาเดียวกันกับฉู่ฉู่” ฉู่เกอพยักหน้าแล้วยิ้มบาง ในยามที่มองอวี้อาเหรานั้น สายตาก็เต็มไปด้วยแววพินิจพิเคราะห์ลึกซึ้ง “เมื่อครู่นี้ท่านเห็นข้ากับฉู่ฉู่แล้ว คิดว่าพวกเรามีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างไรหรือ”
“ไม่ได้คิดอะไรเลยเจ้าค่ะ” อวี้อาเหราถูกนางทำเสียจนพูดไม่ออก หากพูดความในใจของตัวเองออกไปจนหมดก็คงมิแคล้วเสียหน้าเป็นแน่ นางจะไปรู้ได้อย่างไร ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เรียกเขาว่าพี่ชายเสียหน่อย เรียกแต่ฉู่ฉู่อะไรนั่น แล้วจะไม่ให้ผู้ฟังคิดเป็นอื่นได้อย่างไรกัน
“จริงหรือ” ฉู่เกอไม่เชื่อ ดวงตาฉายประกายรอยยิ้มวิบวับ
“จริงเจ้าค่ะ” อวี้อาเหราพยักหน้าอย่างหนักแน่น นางจะต้องยืนกระต่ายขาเดียวไม่ยอมรับ ต้องห้ามไหลตามน้ำเด็ดขาด
“ดูเจ้าสิ เรียกคนอื่นด้วยคำเช่นนี้ไม่ว่าใครก็ต้องเข้าใจผิด อีกทั้งก็เป็นคุณหนูรองรองด้วยแล้ว เมื่อครู่นี้ข้าก็เห็น คนข้างล่างเองก็เห็น แต่เจ้ากลับไม่ประหม่าเลยแม้แต่น้อย ถ้าเป็นคนอื่นใครจะกล้าจูงมือพี่ชายเช่นนี้กัน” อวิ๋นเซิ่นมองฉู่เกอด้วยความขบขัน
ฉู่เกอเดินเข้าไปชนเข้ากับร่างของฉู่ป๋าย เงยหน้าขึ้นตัดพ้อ “หรือว่าท่านไม่ชอบที่ข้าเรียกท่านเช่นนี้?”
“แน่นอนว่าต้องชอบสิ” ฉู่ป๋ายพยักหน้า
“ท่านดูสิ พี่ชายของข้ายังไม่ว่าอะไร แล้วท่านจะว่าอะไรได้เล่า” ฉู่แกอฉีกยิ้มกว้างอย่างยินดีขณะที่มองไปทางอวิ๋นเซิ่น
“ก็ได้ พวกเจ้าพี่น้องต่างเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ข้าคนเดียวคงเถียงเจ้าไม่ได้หรอก อีกอย่างข้าก็คร้านที่จะเถียงกับเจ้าเรื่องนี้ด้วย” อวิ๋นเซิ่นยิ้มด้วยความเหนื่อยหน่าย แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่นี้บ่าวก็มาบอกว่าลูกพี่ลูกน้องของข้าก็จะมาด้วย”