ตอนที่ 339 ผิดที่ตรงไหน
สาวใช้คนนั้นนำทางพวกนางนายบ่าวสองคนไปสู่ห้องโถงด้านหน้า จากนั้นจึงได้ถอยออกไปอย่างรู้งาน
อวี้อาเหรารีรออยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ สาวเท้าก้าวเข้าไปด้านใน ถึงได้เห็นว่าหลิงอ๋องกำลังนั่งหันหลังอยู่ที่เก้าอี้ตัวนั้น ข้างกายมีอนุรองและอวี้จื่อเยียนนั่งอยู่ เมื่อเห็นนางเดินเข้ามาแล้ว มุมปากของอวี้จื่อเยียนก็เหยียดเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน
“เสด็จพ่อ น้องสาวมาแล้วเพคะ”
หลิงอ๋องและอนุรองต่างก็ส่งสายตาเคลือบแคลงมา
อวี้อาเหรามองอวี้จื่อเยียนด้วยแววตาสงสัย ที่พวกนางสองแม่ลูกสู้อุตส่าห์มาถึงที่นี่ก็คงเพราะสบโอกาสที่จะว่าร้ายนางต่อหน้าหลิงอ๋องเป็นแน่ จากนั้นนางก็เบนสายตา เดินไปข้างหน้าสองสามก้าว แล้วคุกเข่าลงต่อหน้าหลิงอ๋อง “ลูกคารวะเสด็จพ่อเพคะ”
“เจ้ายังรู้จักกลับมาด้วยรึ” หลิงอ๋องหันขวับกลับมาในทันที ดวงตาส่องประกายจ้องมองร่างของนางนิ่ง ใบหน้าแสดงให้เห็นถึงความโกรธเคืองสุดแสน น้ำเสียงยังแฝงด้วยความสั่นเทา
“ที่นี่คือจวนหลิงอ๋อง ลูกที่เป็นธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋องย่อมจะต้องกลับมาอยู่แล้วเพคะ” อวี้อาเหราเชิดใบหน้า ไร้ซึ่งความกลัวเกรงแม้แต่น้อย สายตาจ้องมองหลิงอ๋องอย่างกล้าหาญ น้ำเสียงแน่วแน่ ราวกับพูดเรื่องจริงที่สมเหตุสมผลเป็นที่สุด
ที่นางพูดก็ไม่ผิด ในเมื่อนางเป็นธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋อง เช่นนั้นย่อมต้องกลับมาอยู่แล้ว
“นี่เจ้า!” หลิงอ๋องโกรธเสียจนตีสีหน้าแข็งกระด้าง โกรธจัดจนหัวเราะออกมา “ดี เจ้าหนีออกไปนอกจวนเพียงครั้งเดียว แต่ฝีปากกลับกล้าแกร่งขึ้นมากนัก แม้แต่เราก็เถียงเจ้าไม่ได้ แต่เจ้าละเลยคำสั่งของเรา ออกจากจวนไปโดยพลการ จะต้องได้รับโทษสถานใด?”
“ลูกผิดไปแล้ว แต่เสด็จพ่อก็โปรดอภัยให้ลูกด้วยเพคะ” อวี้อาเหราก้มหน้าลง คุกเข่าอยู่เป็นนานก็ไม่ยอมลุกขึ้นมา
ในใจของนางนั้นไม่ได้นึกกลัวเสียเท่าไร เพราะหากหลิงอ๋องจะโกรธจริงๆ แล้ว เขาก็คงไม่แอบส่งเมี่ยวอวี้ไปอารักขานางแน่ เพราะฉะนั้นนางคิดว่าหลิงอ๋องคงจะไม่ลงโทษอะไรนางนัก
น้ำเสียงของหลิงอ๋องฉายแววขุ่นหมอง ในสายตาเต็มไปด้วยความจนใจอยู่หลายส่วน คิดอยู่เป็นนานจึงค่อยเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้าสำนึกผิดจริงๆ เราก็จะลงโทษเจ้าสถานเบา กักบริเวณเจ้าเป็นเวลาหนึ่งเดือน หากไม่ได้รับคำสั่งจากเรา ห้ามเจ้าก้าวเท้าออกนอกจนวนเด็ดขาด ได้ยินหรือไม่?”
“ลูกเข้าใจแล้วเพคะ” มุมปากของอวี้อาเหราโค้งขึ้นแล้วก็พยักหน้า
อนุรองและอวี้จื่อเยียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก อวี้จื่อเยียนโกรธจนแทบจะระงับอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ “เสด็จพ่อ เหตุใดถึงได้ทรงเลือกที่รักมักที่ชังเช่นนี้เล่าเพคะ หากตามกฎของจวนของเรา ในเมื่อมีสถานะเป็นธิดาเอก แต่ไม่ทำตามกฎที่ตั้งไว้นี่ก็ถือเป็นโทษหนัก หากแค่เพียงกักบริเวณนางเป็นเวลาหนึ่งเดือน อย่าว่าแต่ลูกเองจะไม่เชื่อฟังเลยเพคะ แม้กระทั่งพวกบ่าวไพร่จะควบคุมกันได้อย่างไร”
“ในเมื่อตั้งกฎนี้ขึ้นได้ เพราะฉะนั้นมันก็เป็นธรรมดาที่จะต้องปรับเปลี่ยนได้” อวี้อาเหราเอ่ยแทรกขึ้นมา
“ปรับเปลี่ยนได้หรือ? เจ้าก็พูดง่ายสิ กฎข้อนี้ตั้งขึ้นมาหลายปีแล้ว แต่กลับปรับเปลี่ยนตามใจเจ้าเช่นนี้ นี่ก็จะเป็นการไม่เคารพบรรพบุรุษ และยิ่งเป็นการไม่ให้ความเคารพต่อเสด็จพ่อ จะให้เปลี่ยนไปตามใจเจ้าได้หรืออย่างไร” อวี้จื่อเยียนได้ยินนางพูดด้วยท่าทีผ่อนคลายเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธเคือง
“ในเมื่อพี่สาวกล่าวออกเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ที่ท่านไม่ให้ความเคารพต่อตัวข้า อีกทั้งยังกระทำความผิดเสียมากมาย คิดร้ายวางแผนที่จะทำร้ายธิดาเอก กล่าววาจาโป้ปดว่าข้าตายเพื่อหวังประโยชน์ในภายหลัง เรื่องราวเหล่านี้หากนำมาไต่สวนใหม่อีกครั้ง ลงโทษท่านตามกฎจวนเล่าท่านจะว่าอย่างไร? อีกอย่างเรื่องบัวกลีบม้าและน้ำแกงตะพาบน้ำก่อนหน้านี้เล่า ท่านเองก็ถูกเสด็จพ่อคาดโทษเอาไว้ ลองคิดดูเสียดีๆ เถิด ตอนนี้ก็ยังไม่ถึงวันเวลาที่เสด็จพ่อบอกเอาไว้มิใช่หรือ? แล้วท่านกลับโผล่มาอยู่ตรงนี้ได้ ไม่ไปนั่งภาวนาสำนึกผิดนี่มันหมายความว่าอย่างไร หรือว่ากฎเกณฑ์ในสายตาของอวี้จื่อเยียนนั้นเป็นเพียงคำพูดไร้สาระเท่านั้นหรือ”
ตอนที่ 340 ขู่เข็ญเป็นช่องเป็นฉาก
อวี้อาเหราพูดขู่เข็ญเป็นฉากๆ ไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย วาจาเชือดเฉือนหลุดออกมาจากปากของนาง น้ำเสียงเยียบเย็น พุ่งกระแทกใจของอีกฝ่ายประโยคแล้วประโยคเล่า
“เจ้า…” อวี้จื่อเยียนได้ยินแล้วใบหน้าก็แดงก่ำไปจนถึงใบหู ไม่อาจหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองได้ จ้องมองอีกฝ่ายคอแข็งตาถลน แต่กลับไม่กล้าทำอะไรนางจริงๆ ทำได้แต่เพียงโกรธเคืองแต่ไม่กล้าตอบโต้
อวี้อาเหราเองก็ชอบมองท่าทางที่นางเห็นตนเองไม่เข้าตาแต่กลับไม่สามารถทำอะไรตนเองได้เช่นนี้ ในใจพลันมีความรื่นเริงเป็นอย่างมาก ได้กล่าววาจาต่อว่าต่อขานออกไป ได้มองอวี้จื่อเยียนที่มีท่าทีคอแข็งใบหน้าโกรธขึ้ง นางก็ยิ้มอย่างสาสมใจ “หากพี่สาวไม่ว่าอะไร เช่นนั้นก็ขอเชิญว่ากฎของจวนอีกครั้งเถิด ข้าไม่กลัวอยู่แล้ว”
“เจ้า…ข้า…” อวี้จื่อเยียนไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
“เลิกเจ้าๆ ข้าๆ เสียที ในเมื่อเจ้าไม่ยอมปล่อยข้าเอง ไฉนเลยข้าจะเมตตาต่อเจ้ากัน?” อวี้อาเหราแค่นเสียงเย็นชา เอียงหน้ามองไปทางหลิงอ๋องแล้วยิ้มขึ้น “เสด็จพ่อว่าเช่นนี้ยุติธรรมดีหรือไม่เพคะ”
อวี้จื่อเยียนไม่ยอมปล่อยนางไปดีๆ แต่คนอย่างอวี้อาเหราก็ไม่ยอมปล่อยอีกฝ่ายให้อยู่สบายๆ แน่ หากนางจะต้องตาย นางก็ต้องลากอีกฝ่ายให้ตายตกไปตามกัน อย่างนั้นซีถึงจะเป็นตัวนาง
“พอได้แล้ว เมตตาไม่เมตตาอันใดกัน ตอนนี้เรากำลังพูดกันถึงเรื่องของเจ้า เรื่องของเยียนเอ๋อร์นั้นผ่านไปแล้ว” หลิงอ๋องไม่คล้อยตามคำพูดของอวี้อาเหรา กลับดุนางอีกด้วย
อวี้จื่อเยียนมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
อวี้อาเหราเองก็ชะงักไปเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไปนัก ในเมื่อนางยกเรื่องของอวี้จื่อเยียนขึ้นมาเช่นนี้ แน่นอนย่อมรู้ว่าตัวเองคงไม่ได้มีผลลัพธ์ที่ดีไปกว่ากันเสียเท่าไร หากไม่ถึงคราวคับขันจริงๆ นางก็คงไม่จำเป็นต้องทำร้ายศัตรูจนตนเองลำบาก นี่ก็ไม่คุ้มกันเลย
ในเมื่อเอ่ยออกมาเช่นนี้ แน่นอนว่าหลิงอ๋องคงไม่จัดการอวี้จื่อเยียนแน่ เขาหันไปหาอนุรองและลูกสาว “พวกเจ้าว่าจะต้องลงโทษอย่างไรจึงจะดี”
“ลูก…” แม้ว่าอวี้จื่อเยียนจะไม่คิดว่าตัวเองจะถูกลากเข้ามาร่วมในเรื่องนี้ด้วย แต่เมื่อได้เห็นอวี้อาเหราได้รับโทษเพียงแค่นี้ก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกไป ได้แต่คิดอยู่ในใจอย่างอึดอัดคับข้อง
อนุรองเองก็รีบยอมรับ “ท่านอ๋องทรงทำถูกแล้วเพคะ แม้ว่าคุณหนูรองจะลอบออกจากจวนโดยพลการ แต่ก็ไม่ได้ก่อเรื่องอะไรมากมาย สิ่งที่ท่านอ๋องตรัสได้นั้นเหมาะควรแล้วเพคะ”
หลิงอ๋องพยักหน้าอย่างพอใจ โบกมือไปทางอวี้อาเหรา “เจ้าออกไปหลายวันคงจะเหนื่อยนัก กลับไปพักเถิด อีกสักพักพ่อจะไปหาเจ้า”
“เพคะ” อวี้อาเหรากำลังเตรียมตัวจะเดินจากไป ทันใดนั้นอนุรองที่นั่งอยู่ก็ยืนขึ้น แล้วร้องเรียกทุกคน ใบหน้าฉายรอยยิ้มไปทางหลิงอ๋องอย่างอ่อนโยน “ท่านอ๋อง หม่อมฉันยังมีเรื่องสำคัญที่อยากจะทูลให้ทราบ เรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับคุณหนูรองด้วย เช่นนั้นก็เชิญคุณหนูรองอยู่ร่วมฟังด้วยกันเถิดเพคะ”
เรื่องสำคัญหรือ? อวี้อาเหราขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว เมื่อได้ยินจากปากของอนุรองว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนางแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่ แต่ที่นางพูดต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ นางคงไม่อาจหนีหายไปไหนได้
ในใจของหลิงอ๋องเกิดนึกสงสัยขึ้นมา จึงเรียกอวี้อาเหราให้อยู่ฟังด้วย
อนุรองเงยหน้าขึ้นมองอวี้อาเหรา จากนั้นจึงค่อยพูดขึ้นมาว่า “ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก แต่ว่าหากท่านอ๋องได้ฟังแล้วก็ขออย่าทรงกริ้ว หม่อมฉันกลัวว่าพระองค์จะโกรธเสียจนกระทบต่อสุขภาพ”
“เรารับได้ มีเรื่องอะไรก็รีบพูดมาเถิด” หลิงอ๋องโบกมือ
“เรื่องก็เป็นเช่นนี้เพคะ เมื่อสองวันก่อนหม่อมฉันอยู่ในจวนกับเยียนเอ๋อร์แล้วรู้สึกเบื่อยิ่งนัก ดังนั้นจึงออกไปเดินเล่นในสวนด้านหลัง แต่กลับไม่คิดว่าจะได้พบกับหวังหลงจู๊ที่ดูแลเรื่องเสบียงกำลังหารือกับองครักษ์ในจวนผู้หนึ่งอย่างส่วนตัวเข้าพอดี นี่ก็ทำให้พวกเราตกใจเป็นอย่างมากเพคะ”