ตอนที่ 369 พูดตามความจริง
“ข้าเข้าใจแล้ว” ฉู่เกอพยักหน้าอีกครั้ง “ถ้าเช่นนั้นพี่เหราเอ๋อร์ก็พักรักษาตัวเถิด ครั้งหน้าจะมาเยี่ยมใหม่ ข้าขอตัวก่อน”
ดวงตาของอวี้อาเหรากะพริบถี่ๆ ทันใดนั้นก็กล่าวว่า “หากเจ้าอยากรู้จริงๆ ก็สามารถไปถามที่เรือนพักของอนุรองดูได้ เพราะนางเป็นแม่แท้ๆ ของน้องสาม แน่นอนว่าต้องรู้เรื่องนี้ดีที่สุด”
“ขอบคุณพี่เหราที่กล่าวเตือน” ฉู่เกอไม่พูดอะไร จากนั้นจึงค่อยหมุนตัวแล้วเดินจากไป
ทันทีที่นางจากไปแล้ว เมี่ยวอวี้ก็เดินเข้ามาข้างใน แล้วส่งชาให้อวี้อาเหรา “นี่เป็นน้ำชาที่บ่าวเพิ่งชงใหม่ๆ ในเมื่อท่านหญิงน้อยไม่ดื่ม คุณหนูก็ดื่มเถิดเจ้าค่ะ ร่างกายจะได้อบอุ่น ป่วยหนักเพียงนี้จะต้องดื่มเครื่องดื่มร้อนๆ ถึงจะดีนะเจ้าคะ”
“ข้ายอมที่จะหายช้ายังจะดีเสียกว่า” อวี้อาเหราถอนหายใจ แล้วรับน้ำชามาดื่มอย่างเกียจคร้าน
หลังจากดื่มไปหนึ่งอึก นางก็ชะงักไป แล้วจึงเงยหน้ามองเมี่ยวอวี้ ทันใดนั้นนางก็เอ่ยถามว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าได้ยินที่พวกข้าคุยกันหรือไม่”
“บ่าว…” จู่ๆ เมี่ยวอวี้ก็เกิดอึกอักขึ้นมา
อวี้อาเหราพูดขึ้นอย่างผ่อนคลาย “ไม่ต้องลังเล ได้ยินหรือไม่ก็ให้พูดมาตามตรง”
“เจ้าค่ะ เมื่อครู่นี้บ่าวได้ยินแล้ว” นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมี่ยวอวี้พูดความจริงออกไปทั้งหมด
“ถ้าเช่นนั้นเจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรกัน” สีหน้าของอวี้อาเหราไม่แสดงอาการอะไร เมื่อครู่นี้นางเฝ้าอยู่หน้าประตูตลอด เมี่ยวอวี้มีฝีมือทางการต่อสู้ แน่นอนว่าการได้ยินคงจะดีกว่าคนทั่วไป คงจะต้องได้ยินเรื่องที่นางคุยกัยฉู่เกอเมื่อครู่นี้เป็นแน่
“ที่คุณหนูถามก็คือ?” เมี่ยวอวี้ชะงัก
อวี้อาเหราหัวเราะ “ก็เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนางและน้องสามของข้าอย่างไรเล่า”
“เรื่องนี้บ่าวไม่กล้าพูดหรอกเจ้าค่ะ…” เมี่ยวอวี้รีบก้มหน้าลงในทันที ไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมาแม้แต่น้อย
อวี้อาเหราโบกมือขึ้นมาอย่างนึกรำคาญ “เจ้ามีอะไรก็พูดมาเถิด ไม่ต้องมาทำอ้ำๆ อึ้งๆ แค่ข้าถามเจ้าก็ตอบมาเถอะน่า”
“ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะพูดเจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้รวบรวมความกล้าขณะที่มองตานาง จากนั้นจึงรีบก้มหน้าลงอีกครั้ง “บ่าวรู้สึกว่า แม้ท่านหญิงน้อยจะพูดว่านายน้อยสามเป็นผู้มีพระคุณต่อนาง แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่รู้ แต่เมื่อเห็นท่าทีของท่านหญิงน้อยก็รู้ว่าไม่น่าจะโกหก แต่บ่าวคิดว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องบุญคุณแต่เพียงอย่างเดียว”
อวี้อาเหราจ้องมองเมี่ยวอวี้แล้วนิ่งคิดไปชั่วขณะ จากนั้นก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เจ้าเองก็พูดได้ไม่เลว หากให้ใครมองก็คงจะรู้ มิเสียงแรงที่เป็นคนที่เสด็จพ่อฝึกมากับมือ ไม่ธรรมดาจริงๆ”
“คุณหนูกล่าวชมเกินไปแล้ว บ่าวไม่กล้ารับหรอกเจ้าค่ะ…” เมี่ยวอวี้ก้มหน้าลง เมื่อได้ยินคำชมเลยของอวี้อาเหราก็ไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเพียงคำพูดไม่กี่คำก็ทำให้สีหน้าที่ไม่เคยแสดงสีหน้ายินดียินร้ายเปลี่ยนไปแล้ว
แม้ว่าเจาเอ๋อร์จะอยู่ติดกับนางตลอดมา และนางเองก็ถือว่าฉลาดเฉลียว ทว่าความคล่องแคล่วว่องไวอย่างยอดเยี่ยมของเมี่ยวอวี้นั้นไม่มีใครเทียม เหมือนกับชื่อเมี่ยวอวี้ของนางนั่นเอง
นางพูดมานาน อวี้อาเหรายิ่งรู้สึกเหนื่อยอ่อน วางมือที่วางค้ำศีรษะแล้วนอนลงไป หลับตาลงแล้วโบกมือ “เจ้าไปพักผ่อนเสียเถิด ข้าเหนื่อยแล้ว ถึงแม้จะมีเรื่องอะไรก็อย่าเข้ามารบกวนข้า หากไม่ฟังข้าจะไล่เจ้าไปเสีย”
“…เจ้าค่ะ” มุมปากของเมี่ยวอวี้เบ้ลงเล็กน้อย
นิสัยของคุณหนูรองช่างไม่เหมือนคนอื่น ไม่เคยมองใครอยู่ในสายตา ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม นางล้วนแล้วแต่ไม่ไว้หน้าทั้งนั้น
หลังจากที่เดินออกไปแล้ว นางก็ปิดประตูแน่นหนา มิให้ลมหนาวเล็ดลอดเข้ามาได้ หลังจากที่เมี่ยวอวี้ออกไปแล้ว อวี้อาเหราก็ลืมตาขึ้นในฉับพลัน พลิกตัวบนเตียง จ้องมองกำไลหยกเลือดในมือจนเหม่อลอย แล้วค่อยๆ ผล็อยหลับไป
ตอนที่ 370 รัชทายาทมาเยี่ยมไข้
อวี้อาเหรานอนยังไม่ทันถึงหนึ่งชั่วยาม ที่ด้านนอกก็เกิดเสียงรายงานขึ้น นางพยายามอดทนโดยการยกผ้าห่มขึ้นมาปิดหู แต่ผ่านไปเพียงชั่วครู่ เมี่ยวอวี้ก็รีบวิ่งเข้ามา
“คุณหนู บ่าวมีเรื่องมารายงานเจ้าค่ะ”
อวี้อาเหราโกรธนัก เอนกายลงนอนไม่ขยับ “บอกแล้วมิใช่หรือว่าห้ามมารบกวนยามข้านอน?”
“บ่าวทราบเจ้าค่ะ แต่คนผู้นี้บ่าวก็ไม่กล้าปฏิเสธ” เมี่ยวอวี้ว่าอย่างกระวนกระวาย
อวี้อาเหรากระชากผ้าห่มออกจากกาย จ้องมองเมี่ยวอวี้ “ถึงแม้จะเป็นฮ่องเต้หรือไทเฮาเสด็จมาแต่เจ้าก็ต้องปฏิเสธไป”
“คุณหนู ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ”
“ไทเฮากับฮ่องเต้เสด็จมาจริงๆ หรือ?”
อวี้อาเหราตื่นตกใจอย่างเห็นได้ชัด ความง่วงสลายหายไปในบัดดล ลุกขึ้นนั่งบนเตียงในทันที
“ไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะ แต่เป็นนางกำนัลอาวุโสประจำตัวของรัชทายาทมาหาท่าน และอัญเชิญราชโองการของรัชทายาทมาด้วย เพราะฉะนั้นบ่าวจึงไม่กล้าที่จะพูดมั่วๆ จึงได้แต่เพียงมารายงานคุณหนูเจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้คุกเข่าลงกับพื้น ยอมให้อวี้อาเหราโกรธ น้ำเสียงของนางแทบจะสั่นเทา
อวี้อาเหราชะงัก “เจ้าก็บอกไปสิว่าข้าป่วยหนักจนไม่อาจพบใครได้ มิเช่นนั้นจะติดโรคได้…”
“แน่นอนว่าบ่าวบอกไปแล้วเจ้าค่ะ แต่รัชทายาทตรัสว่าคุณหนูไม่ได้อ่อนแอจนไม่อาจพบใครได้ เพียงแค่เป็นไข้หวัดเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หากไม่ยอมให้พบก็เท่ากับฝ่าฝืนพระราชเสาวนีย์ของไทเฮา ในเมื่อตรัสเช่นนี้ ไหนเลยบ่าวจะกล้าปฏิเสธ” เมี่ยวอวี้อธิบายเรื่องที่เกี่ยวข้อง
รัชทายาทอีกแล้วหรือ? อวี้อาเหราพ่นลมหายใจ “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไปเชิญเข้ามาเถิด”
ที่จวินฉางอวิ๋นทำเช่นนี้ก็คงจะเป็นเพราะต้องการบีบบังคับนางเป็นแน่ โทษฐานที่ไม่เคารพไทเฮานั้นหนักหนายากที่จะทานทน ดังนั้นทำอย่างไรนางก็ไม่อาจหลบหน้าเขาได้ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะมาเยี่ยมไข้หรือมาโยนหินถามทางกันแน่ อวี้อาเหราไม่เชื่อว่าเขาจะมีจิตใจดีมีเมตตา จึงมาพบนางตามคำสั่งของไทเฮา
เมี่ยวอวี้พยักหน้าแล้วทำตามคำสั่งอย่างยินดี เพียงไม่นานก็พารัชทายาทและนางกำนัลอาวุโสเข้ามาในห้อง
มุมปากที่เผยเป็นรอยยิ้มเย็นได้หายไปในทันทีที่พวกเขาเดินเข้ามา
นางกำนัลอาวุโสหัวเราะร่าขณะที่ก้มหน้าลงทำความเคารพนาง “ข้าน้อยคารวะคุณหนูรอง เพราะองค์ไทเฮาทรงมีพระพลานามัยไม่อำนวย จึงไม่อาจเสด็จออกมาเยี่ยมท่านได้ ดังนั้นจึงส่งตัวข้าน้อยมาโดยเฉพาะ ทั้งยังประทานสินค้าบรรณาการของปีนี้มาให้คุณหนูรองด้วย ทานให้มากๆ จะได้หายไวๆ เจ้าค่ะ”
“ขอบพระคุณที่ใส่ใจ เพราะไม่มีแรงที่จะเข้าไปขอบพระทัยในวังหลวง หวังว่าท่านผู้อาวุโสจะช่วยตอบแทนพระกรุณาขององค์ไทเฮาแทนข้าได้” ใบหน้าของอวี้อาเหราเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มบางๆ นางเข้าใจเรื่องมารยาทและการปฏิบัติตัวดี จากนั้นจึงค่อยหันไปสั่งเมี่ยวอวี้ “รีบไปรินน้ำชาและนำขนมมาต้อนรับท่านผู้อาวุโสเร็วเข้า ดูแลให้ดีด้วย”
“ขอบพระคุณคุณหนูรอง” เมื่อนางกำนัลอาวุโสเห็นว่านางเข้าใจเรื่องราวเช่นนี้ ใบหน้ายับย่นก็ลอบยิ้มขึ้นมา
ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ อวี้อาเหราก็ไม่สนใจจวินฉางอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ เลยแม้แต่น้อย แม้แต่จะมองนางยังขี้เกียจ นางยังคงจำได้ว่าตอนน้นเพราะเหตุใดเจ้าของร่างเดิมของนางจึงได้ร่วงลงจากหน้าผา ชายหนุ่มผู้มีคุณธรรมบางเบาเหมือนใยบัวเช่นนี้ เหตุใดจะต้องไปสนใจด้วย เป็นเพราะเจ้าของร่างเดิมนั้นตาบอด จึงได้มีใจต่อชายผู้นี้
จวินฉางอวิ๋นถูกเมินอย่างสมบูรณ์แบบ จึงทำเพียงยืนนิ่งๆ ไม่สามารถสอดปากขึ้นมาได้สักคำ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องถูกเชิญให้ดื่มน้ำชาหรือทานขนมเลย ในเมื่อเจ้าบ้านเขาไม่ได้เชิญ เขาก็ไม่อาจแบกหน้าไปร้องขอ จึงทำได้เพียงยืนอยู่ที่เดิมเช่นนั้นเอง
เมี่ยวอวี้สั่งสาวใช้ให้ไปชงชา ส่วนตัวนางก็ประคองอวี้อาเหราให้ลุกขึ้น