ตอนที่ 371 ถือสาหาความ
อวี้อาเหราช้อนตาขึ้นมองน้อยๆ ก่อนจะหันไปถามนางกำนัลอาวุโส “ไม่ทราบว่าพระพลานามัยของไทเฮาเป็นอย่างไรบ้าง ก่อนหน้านี้หลายวันได้ยินมาว่าทรงพระประชวรอีกแล้ว เดิมทีข้าก็คิดว่าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้า เพียงแต่ยืดเยื้อเสียจนตอนนี้ป่วยหนักขึ้นมาแล้ว แม้แต่แรงจะลุกจากเตียงก็ยังไม่มี หวังว่าองค์ไทเฮาจะทรงให้อภัย”
“คุณหนูรองช่างใส่ใจยิ่งนัก องค์ไทเฮาคงต้องทรงให้อภัยท่านแน่เจ้าค่ะ” นางกำนัลอาวุโสพยักหน้ารับ
ทั้งสองคนพูดคุยกัน จนแทบจะลืมรัชทายาทไปเสียสนิท
สีหน้าของจวินฉางอวิ๋นโกรธขึ้งขึ้นมา แต่ทำได้เพียงกัดฟันแน่น แล้วจ้องมองนางกำนัลอาวุโสอย่างนึกรำคาญใจ
นางกำนัลอาวุโสสัมผัสได้ถึงสายตาของเขา เช่นนั้นจึงรีบเอ่ยเพื่อทำให้บรรยากาศดีขึ้น “คุณหนูรองป่วยหนัก ไทเฮาทรงใส่พระทัยยิ่งนัก แต่เป็นเพราะตัวพระองค์เองไม่สามารถเสด็จออกมาจากวังหลวงได้ อีกทั้งเป็นเพราะองค์รัชทายาททรงกตัญญูยิ่งนัก ดังนั้นจึงเสด็จมาเยี่ยมท่านแทนองค์ไทเฮาเจ้าค่ะ”
“องค์ไทเฮาทรงใส่พระทัยเช่นนี้ ช่างเป็นบุญของอาเหรายิ่งนัก” อวี้อาเหราแสร้งทำเป็นซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ก่อนจะมองไปยังจวินฉางอวิ๋นราวกับเพิ่งเห็นเขาเป็นครั้งแรกด้วยท่าทีเกินจริง “ไม่คิดว่าองค์รัชทายาทจะเสด็จมาเยี่ยมหม่อมฉันได้ ถือเป็นเกียรติของหม่อมฉันโดยแท้ หม่อมฉันมิกล้ารับไว้หรอกเพคะ…”
จวินฉางอวิ๋นมีท่าทีรำคาญใจ อวี้อาเหราผู้นี้ไม่ได้มีท่าทีหลงใหลในตัวเขาเหมือนเช่นเมื่อก่อนหน้านี้เลย แต่กลับมีท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์ เขานั้นเป็นถึงองค์รัชทายาท เป็นชายหนุ่มที่มีเกียรติยศรองจากฮ่องเต้เพียงคนเดียว แต่กลับถูกคุณหนูแห่งจวนอ๋องคนหนึ่งดูแคลนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
เมื่อมองหน้านางอย่างพินิจพิเคราะห์ ใบหน้าของนางก็ไม่ได้มีสีสันทับถมกันหลายสีเหมือนที่ผ่านมา แต่กลับขาวซีดเหมือนไร้สีเลือด แต่ดวงตาทั้งคู่กลับงดงามส่องประกาย เหตุใดถึงไม่เหมือนกับหญิงสาวที่แต่งหน้าหนาหนักเหมือนเมื่อก่อนเลยเล่า สายตากลับแฝงรอยยิ้มให้เห็น แต่กลับไม่มีแววแห่งความอ่อนโยนเลยแม้แต่น้อย กลับแสดงให้เห็นถึงความหนาวเหน็บ
สายตาของนางราวกับเป็นคู่แค้นกันมา
อวี้อาเหราสัมผัสได้ถึงสายตาสับสนของเขา ในใจก็ยิ่งเกลียดชัง สายตาก็ยิ่งเย็นชามากยิ่งขึ้น
นางกำนัลอาวุโสมองคนทั้งสอง มุมปากก็เหยียดเป็นรอยยิ้ม “ข้าน้อยก็รู้สึกหิวขึ้นมาอยู่บ้าง จึงคิดว่าจะไปหาอะไรทานในห้องครัว แม่นางเมี่ยวอวี้ เจ้าช่วยนำทางข้าไปหน่อยเถิด ให้คุณหนูรองกับรัชทายาทสนทนากันมากๆ หน่อย”
เมี่ยวอวี้มองมาที่อวี้อาเหราอย่างลังเล เมื่อเห็นนางพยักหน้าแล้วจึงพาไป
นางกำนัลอาวุโสจากไปพร้อมกับเมี่ยวอวี้ อวี้อาเหราไหนเลยจะไม่เข้าใจว่านางกำนัลอาวุโสนั้นจงใจที่จะปล่อยให้นางและจวินฉางอวิ๋นมีโอกาสที่จะได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง
จวินฉางอวิ๋นนึกถึงพระราชเสาวนีย์ของไทเฮาก่อนที่จะออกจากวัง เช่นนั้นจึงพยายามฝืนที่จะสูดลมหายใจ แล้วก้าวไปข้างหน้า “คิดว่าเจ้าคงรู้ว่าเสด็จย่านั้นทรงให้ความสำคัญกับงานแต่งงานของพวกเราสองคนมาก แต่ไม่ใช่มีเพียงเสด็จย่าเท่านั้น แม้แต่เสด็จพ่อและเหล่าไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินก็ติดตามเรื่องงานแต่งงานของเรา เราเองก็จะไม่ถือสาเรื่องราวในหนหลัง ขอเพียงเจ้าเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่หาเรื่องใส่ตัว แน่นอนว่าข้าก็จะดีต่อเจ้า เจ้าว่าอย่างไร”
“องค์รัชทายาทกำลังถามหม่อมฉันอยู่หรือ” อวี้อาเหราหันหน้ามองไปรอบๆ ตัว สุดท้ายแล้วจึงค่อยชี้นิ้วมาที่ตัวเอง สายตาที่มองจวินฉางอวิ๋นดูไม่อยากจะเชื่อนัก
จวินฉางอวิ๋นรู้ว่านางตั้งใจ แต่ครั้งนี้กลับเป็นครั้งแรกที่เขาไม่โกรธ แต่กลับพยักหน้าอย่างยากที่จะพบเห็น
อวี้อาเหราไม่ตอบ แต่กลับวางสายตาเอาไว้ตรงหน้าของโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วจึงชี้ไปยังสร้อยไข่มุกที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะหันกลับไปมองจวินฉางอวิ๋น “หม่อมฉันป่วยหนักจนลงจากเตียงไม่ได้ แม้แต่หยิบของก็ยังทำไม่ได้ รบกวนรัชทายาททรงช่วยหยิบมาให้หม่อมฉันได้หรือไม่”
ตอนที่ 372 คนขี้ขลาด
“ได้” จวินฉางอวิ๋นไม่รอช้า ก้าวยาวๆ เข้าไปหยิบสิ่งนั้นทันที
สร้อยไข่มุกเส้นนั้นกลมอวบงดงาม ทุกเม็ดล้วนเต็งตึงงดงาม ถือเป็นไข่มุกชั้นหนึ่ง ยามที่อวี้อาเหรายื่นมือออกไปรับสิ่งนั้น เล็บแหลมคมกลับทำให้สายสร้อยขาดโดยไม่ทันระวัง ไข่มุกนับร้อยเม็ดหล่นกระจายเต็มพื้น
ในมือของนางเหลือแต่เพียงสายสร้อยเท่านั้น
“อ๊ะ! ไข่มุกร่วงหมดแล้ว องค์รัชทายาททรงช่วยเก็บให้หม่อมฉันหน่อยเถิด นี่เป็นของที่เสด็จแม่ผู้ล่วงลับของหม่อมฉันทรงทิ้งเอาไว้ให้ มีตั้งหนึ่งร้อยแปดเม็ด หากหายไปแม้แต่เม็ดเดียวหม่อมฉันจะมีหน้าไปพบเสด็จแม่ได้อย่างไรกัน รัชทายาททรงรีบหน่อยเพคะ หากหาไม่เจอแล้วจะลำบาก” อวี้อาเหราจ้องมองไข่มุกที่ร่วงหล่นพื้นพลางเอามือทาบอก ใบหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ทน พลางร้องบอกให้จวินฉางอวิ๋นช่วยเก็บไข่มุกให้นาง
จวินฉางอวิ๋นชะงักไปสามวินาที เดิมทีเขาก็คร้านที่จะตามเก็บ แต่เมื่อได้ยินคำว่าเสด็จแม่จากปากของนางก็อดไม่ได้ที่จะก้มตัวลงไปเก็บไข่มุกที่อยู่บนพื้น มุมปากของอวี้อาเหรายกโค้งขึ้น ชี้ไม้ชี้มือไปทั่ว เดี๋ยวก็ให้เขาไปเก็บตรงนั้น เดี๋ยวก็ให้เขาไปเก็บตรงนี้
หลังจากเก็บไข่มุกทุกเม็ดด้วยความยากลำบาก อวี้อาเหราก็นำมานับอย่างพอใจ เมื่อยืนยันว่าครบทั้งหนึ่งร้อยแปดเม็ดแล้วก็พยักหน้าอย่างยินดี
“ขอบพระทัยองค์รัชทายาทที่ทรงช่วยเหลือ ช่างซาบซึ้งใจอย่างหาที่สุดมิได้เพคะ”
จวินฉางอวิ๋นมองใบหน้ายิ้มแย้มของนาง ทันใดนั้นก็ใจลอย
สีหน้ายิ้มแย้มของอวี้อาเหราเปลี่ยนไปเป็นเย็นชา โยนไข่มุกที่กุมเอาไข่มุกไว้เต็มฝ่ามือลงพื้นอีกครั้ง นางชี้นิ้วไปที่พื้นพร้อมแสร้งแสดงท่าทีตกใจ “องค์รัชทายาท จะทำอย่างไรดีเพคะ เพราะเมื่อครู่ไม่ทันระวังจนทำให้ไข่มุกที่พระองค์ทรงเก็บมาอย่างยากลำบากนั้นตกพื้นไปอีกแล้วเพคะ ทำให้พระองค์ต้องทรงเก็บอีกครั้งเสียแล้ว”
“ไม่เป็นไร” จวินฉางอวิ๋นเหลือบมองอย่างสงสัยอยู่บ้าง ก่อนจะมองสีหน้าของอวี้อาเหราอย่างพินิจพิเคราะห์ เมื่อเห็นว่านางดูไม่มีท่าทีว่าจะพูดโกหก จึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าวางใจเถิด เราจะเก็บให้เจ้าเอง” เมื่อพูดจบ ก็ก้มลงไปเก็บอีกครั้ง
อวี้อาเหรามองมาจากบนเตียงด้วยสายตาเย็นชา ไม่คิดว่ารัชทายาทจะมีความอดทนถึงเพียงนี้
จวินฉางอวิ๋นยื่นไข่มุกทั้งหนึ่งร้อยแปดเม็ดส่งคืนให้อวี้อาเหราอย่างระมัดระวัง ก่อนจะปาดเช็ดเหงื่อบนใบหน้า “ครั้งนี้เจ้าเก็บดีๆ หน่อยก็แล้วกัน”
“แน่นอนเพคะ” อวี้อาเหราก้มหน้าลงไปนับ
ยามที่นางก้มหน้าลงไปนั้น ในเวลาเดียวกันก็ได้เผยลำคอและกระดูกไหปลาร้าขาวราวหิมะที่ส่งกลิ่นหอมน่าหลงใหล ใบหน้าหมดจดงดงามหยาดเยิ้มราวกับหญิงงามล่มเมือง จวินฉางอวิ๋นเหม่อมองจนเหม่อลอยไร้สติไปอีกครั้ง แต่กลับถูกเสียงๆ หนึ่งทำให้คืนสติขึ้นได้
เมื่อจ้องมองไข่มุกที่ตกลงสู่พื้นอีกครั้ง จวินฉางอวิ๋นก็ยิ้มไม่ออกอีกแล้ว หากเพียงครั้งสองครั้งยังสามารถบอกได้ว่าบังเอิญ แต่อย่างไรก็ไม่ควรเกินสามครั้ง ตกลงพื้นถึงสามครั้งจะเรียกบังเอิญได้หรือ? เขามองออกจนหมด นี่เป็นเพราะอวี้อาเหรากำลังทำให้เขาลำบาก น้ำเสียงของเขาจึงฟังดูเย็นชาขึ้นมา “เหตุใดถึงร่วงอีกแล้ว?”
“องค์รัชทายาท ทรงรีบช่วยหม่อมฉันเก็บเถิดเพคะ” อวี้อาเหรายังคงใช้ลูกไม้เดิมๆ ชี้ไปที่พื้นเพื่อให้จวินฉางอวิ๋นช่วยเก็บไข่มุกอีกครั้ง
จวินฉางอวิ๋นไม่อาจยับยั้งความโกรธเอาไว้ได้ เขาจึงตะคอกใส่ด้วยความโกรธ “เรารู้ว่าเจ้าจงใจใช่หรือไม่”
“จงใจหรือ” มุมปากของอวี้อาเหราที่เผยให้เห็นเป็นรอยยิ้มค่อยๆ จางหายไป มองทีท่าโกรธเคืองของจวินฉางอวิ๋น สายตาเปลี่ยนไปเป็นเยาะเย้ยอย่างเย็นชา แล้วพยักหน้ายอมรับโดยไม่ปิดบัง “ไม่ผิด เป็นข้าที่จงใจ จงใจให้เจ้าเก็บอย่างไรเล่า! เป็นอย่างไร? รัชทายาทก็ทรงกริ้วแล้วหรือเพคะ? มาสิ มาฆ่าข้าเหมือนตอนที่เจ้าผลักข้าตกจากหน้าผานั่นเป็นอย่างไร หากตีข้าไม่ตายเจ้าก็คือคนขี้ขลาด!”
กล้าบอกว่าเขาเป็นคนขี้ขลาดอย่างนั้นหรือ?!
จวินฉางอวิ๋นพลันโกรธจนหน้าดำคล้ำเขียวขึ้นมาแล้ว