ตอนที่ 379 เจ้าชอบ
ใบหน้าขาวนวลของฉู่ป๋ายเผยให้เห็นถึงรอยยิ้ม “เจ้าพูดเองนะ”
“ใช่ ข้าพูดเอง” อวี้อาเหราพยักหน้าคล้อยตาม หากการที่จะถอดกำไลหยกเลือดจะต้องใช้การรวมตัวกันของธาตุหยินและธาตุหยางแล้ว ไหนเลยนางจะกล้า? หากจะต้องรวมร่างธาตุหยินและธาตุหยางกับใครสักคน นางยอมที่จะสวมกำไลหยกเลือดไปตลอดชีวิต! เพียงแค่คิด นางก็รู้สึกอึดอัดเสียแล้ว
แล้วอยู่ดีๆ เขาจะนำกำไลหยกเลือดมาให้นางสวมทำไมกัน
อวี้อาเหราลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะมองไปที่ร่างของเขา “ข้าได้ยินฉู่เกอพูดว่า โรคของเจ้าเป็นโรคเก่า หรือว่าเลือดของนางนั้นไม่อาจช่วยเจ้าได้อีกแล้ว”
“ช่วยก็ช่วยได้อยู่หรอก แต่เพียงแค่ระงับเอาไว้เท่านั้น ตอนนี้ข้าสูญเสียพลังยุทธ์แห่งวิชาเผาไหม้ตัวตน ไม่อาจควบคุมตัวเองได้ หากเพียงอาศัยเลือดของเสี่ยวเกอก็คงไม่ใช่วิธีที่ดีนัก” ท่าทีของฉู่ป๋ายดูลังเล จากนั้นจึงค่อยพูดขึ้นมาด้วยท่าทีสบายๆ
“ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไร” อวี้อาเหรามองหน้าเขาอย่างพินิจ พยายามมองหาสีหน้าอย่างอื่นของเขา แต่จนแล้วจนรอดก็เห็นเพียงสีหน้าเรียบเฉย พูดขึ้นอย่างเยือกเย็นราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่กำลังพูดถึงเรื่องของคนอื่น
ฉู่ป๋ายส่ายหน้าอย่างเรียบเฉย “ไม่รู้เหมือนกัน”
“ไม่รู้หรือ? นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเจ้า แต่เจ้ากลับพูดว่าไม่รู้หรือ” อวี้อาเหราอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก เขาจะนิ่งเฉยไปหน่อยหรือไม่
สายตาของฉู่ป๋ายดูไม่ยี่หระ น้ำเสียงลอยแผ่วมาเหมือนหิมะเจือน้ำแข็ง “คนเราไม่ช้าก็เร็วล้วนแล้วแต่ต้องตาย เพียงแต่จะตายเร็วหรือตายช้าก็เท่านั้น ในเมื่อไม่อาจฝืนลิขิตฟ้า ไหนเลยจะต้องหาเรื่องอะไรให้ปวดหัวอีก”
“หากเจ้าไม่ลองทำดูก่อน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสามารถฝืนลิขิตฟ้าได้หรือไม่”
“เจ้าเชื่อข้าหรือ” อารมณ์ของฉู่ป๋ายชะงัก มองนางด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ สายตาจ้องมองนางอย่างสำรวจตรวจตรา หลังจากคิดอยู่นานจึงค่อยได้สติ แล้วหัวเราะออกมาเสียงเบา “เจ้าพูดได้ไม่เลวเลย หากไม่เคยทำมาก่อนแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องใดทำได้เรื่องใดทำไม่ได้ ในเมื่อเจ้าเชื่อว่าข้าทำได้ ข้าก็ย่อมเชื่อว่าตัวเองก็สามารถทำได้”
อวี้อาเหราฟังคำของเขาด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด แล้วพยักหน้ารับอย่างอึ้งๆ รู้สึกราวกับเรื่องที่เขาพูดนั้นเหมือนไม่ใช่เรื่องโรคกระหายเลือด แต่ภายในสายตาของเขา ราวกับถูกห้อมล้อมด้วยความรู้สึกแบบอื่น แต่เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้แล้วนางก็คิดว่าไม่เสียแรงที่สู้อุตส่าห์เปลืองแรงเกลี้ยกล่อมเขามาได้
นิ้วมือเรียวยาวของฉู่ป๋ายนั้นยังคงไม่ขยับออกจากเส้นผมของนางแม้แต่น้อย เล่นผมนางมาได้ตั้งนาน เขาก็รู้สึกเสียดายถ้าไม่ได้เล่น อวี้อาเหราเห็นแล้วก็หมดคำจะเอ่ยอ้าง “เจ้าไม่มีผมหรืออย่างไร เหตุใดจะต้องมาลูบมาคลำผมของข้าเช่นนี้”
“ข้าชอบ” ฉู่ป๋ายก้มหน้า น้ำเสียงแฝงไปด้วยแววขี้เล่น
อวี้อาเหรานิ่งงัน “เจ้าชอบ แต่ข้าไม่ชอบนี่”
“ถึงเจ้าไม่ชอบก็ไม่มีประโยชน์หรอก” ฉู่ป๋ายไม่สนใจสีหน้าไม่พอใจของนาง แต่พูดขึ้นโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า
อวี้อาเหราไม่รู้จะทำอย่างไร เขาไม่หือไม่อือเลยแม้แต่น้อย ยังคงดื้อดึงจะเล่นผมนางอยู่เช่นนั้น อีกทั้งยังทำราวกับเป็นเรื่องธรรมดาเสียเหลือเกินที่เล่นผมนางเช่นนี้ ไม่ได้เห็นว่ามันเป็นเรื่องไม่สมควร เมื่อลมหายใจของเขาเป่ารดกระหม่อมของนางก็ทำให้รู้สึกยากที่จะทานทน แต่เขาก็ทำตามใจชอบ นางจึงทำได้เพียงเปลี่ยนเรื่องคุย
“ที่เจ้ามาหาข้าในตอนนี้เพราะเรื่องถอดกำไลหยกเลือดเช่นนั้นหรือ”
“แน่นอนว่าไม่ใช่” ฉู่ป๋ายส่ายหน้า
“แล้วเจ้ามาทำไมกัน” อวี้อาเหราเกิดความสงสัย ไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้เขากำลังมาไม้ไหน ในวันที่อากาศหนาวเย็นถึงเพียงนี้ ยังอุตส่าห์ดั้นด้นมาจากจวนเซิ่นอ๋องที่ห่างไกล ตัวเขาเองก็ยังป่วยอยู่ หรือว่าว่างเกินไม่มีอะไรทำ?
ตอนที่ 380 ผ้าเช็ดหน้า
ในเวลาเดียวกัน นางก็ยังพอเข้าใจนิสัยของฉู่ป๋ายอยู่บ้าง ว่าอีกฝ่ายนั้นจะไม่มีทางทำเรื่องอะไรก็ตามที่ไม่มีความหมายเด็ดขาด นางเชื่อว่าจุดหมายของเขานั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้แน่
ฉู่ป๋ายชะงักไป ยิ้มขึ้นอย่างลังเลขณะที่พูด “ข้าจะทำอะไรได้ แค่ได้ยินว่าเจ้าป่วย เพราะอย่างนั้นจึงมาดูอาการของเจ้าเท่านั้น อย่างไรเสียพวกเราก็ถือว่ารู้จักกัน เพราะหากวันใดที่เจ้าป่วยจนตายขึ้นมา ก็เท่ากับว่าไม่ได้พบหน้ากันเป็นครั้งสุดท้ายมิใช่หรือ”
“เจ้าน่ะสิถึงจะป่วยตาย!” อวี้อาเหราโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที ที่แท้เขาก็เป็นพวกปากสุนัขพูดอะไรไม่เป็นมงคล
“จริงๆ แล้วข้าเพียงมาเพื่อส่งของบางอย่างให้กับเจ้าเท่านั้น หากเจ้าเห็นเจ้าจะต้องชอบแน่” ฉู่ป๋ายว่ายิ้มๆ แล้วค่อยพูดถึงหัวข้อหลัก ดึงผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดออกมาจากอกเสื้อ เห็นเป็นเพียงผ้าเช็ดหน้าธรรมดาไม่มีอะไรแปลกไปตรงไหน
อวี้อาเหราเห็นแล้วก็เหยียดริมฝีปากออกอย่างเบื่อหน่าย “ข้ายังคิดว่าเซิ่นซื่อจื่อจะมอบของอะไรดีๆ มาให้ ที่แท้ก็เป็นเพียงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งเท่านั้น เจ้าว่าข้าไม่เคยเห็นผ้าเช็ดหน้ามาก่อนหรืออย่างไร”
“เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน” ฉู่ป๋ายกางผ้าเช็ดหน้าสีขาวในมือออกจนเต็มผืน ขณะที่พูดว่า “เจ้าให้คนจุดเทียนมาหนึ่งเล่มเถิด”
“เมี่ยวอวี้ เจ้าเอาเทียนเข้ามาเล่มหนึ่งเถิด” สีหน้าของอวี้อาเหรายังคงดูเหมือนไม่ค่อยสนใจนัก แต่ก็ร้องบอกให้เมี่ยวอวี้นำเทียนเข้ามา
เมี่ยวอวี้ยกตะเกียงเข้ามา เมื่อฉู่ป๋ายรับเอาไปแล้ว ก็หันมาสั่งว่า “เจ้าออกไปคอยด้านนอกก่อน”
หลังจากรอจนอีกฝ่ายออกไปแล้ว เขาจึงค่อยนำเทียนไปวางไว้บนโต๊ะ แล้วนำผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่ถูกแผ่ออกไปวางเอาไว้บนเปลวเทียน จากนั้นจึงส่งให้อวี้อาเหรา “เจ้าลองดมดู แล้วบอกทีว่าได้กลิ่นอะไร”
นางเหลือบมองอย่างสงสัย ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปดมอย่างไม่แน่ใจนัก “มีกลิ่นไหม้ ช้าก่อน ราวกับมีกลิ่นอีกกลิ่นอยู่ด้านบน ราวกับได้กลิ่นมาก่อน แต่ลืมไปแล้วว่าคือกลิ่นอะไร”
“นี่เป็นผ้าเช็ดหน้าของคนที่ทำร้ายเจ้าในวันนั้น” ฉู่ป๋ายเอ่ยปากขึ้นมาทันที
“อะไรนะ” มือของอวี้อาเหราที่จับผ้าเช็ดหน้าอยู่ก็คลายออกทันที ผ้าเช็ดหน้าหล่นจากมือของนาง แล้วนางมองไปยังฉู่ป๋ายด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าหมายถึงหญิงที่เกือบจะทำให้ข้าจบชีวิตคนนั้นน่ะหรือ เจ้าได้มันมาอย่างไรกัน”
ตอนนั้นนางถูกขังเอาไว้ในห้อง สุดท้ายจึงค่อยถูกพวกต้าเว่ยช่วยออกมา หลังจากเกิดเรื่องนางก็ออกคำสั่งให้ตามหาหญิงผู้นั้น แต่ก็หาไม่พบแม้แต่เงา แม้แต่เบาะแสสักเล็กน้อยก็หาไม่พบ หากมีผ้าเช็ดหน้าตกอยู่ที่นั่นจริงๆ พวกต้าเว่ยก็คงหาพบไปแล้ว แต่ตอนนั้นกลับหาอะไรไม่พบเลย
สิ่งที่น่าแปลกมากที่สุดก็คือ เวลาผ่านมานานถึงเพียงนี้ เหตุใดฉู่ป๋ายถึงหาพบได้?
นางก้มลงไปเก็บผ้าเช็ดหน้าอีกครั้งด้วยท่าทีนิ่งเฉย ก่อนพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วน ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้คงจะอยู่มานานแล้ว แม้ว่าจะเก่าไปหน่อย แต่ก็ยังขาวสะอาดไร้รอยเปื้อน ไม่มีคราบสกปรกอะไรเลย เพียงแค่นี้ก็มองออกแล้วว่าวัสดุที่นำมาทำนั้นจะต้องเป็นของที่ดีเป็นอย่างมาก
ฉู่ป๋ายมองไปยังผ้าเช็ดหน้า “กลิ่นของผ้าเช็ดหน้านั้น เป็นตอนที่เจ้าต้องยาพิษ ก่อนที่ข้าจะรักษาเจ้านั้นข้าก็เคยได้กลิ่นมาก่อน ดังนั้นจึงสามารถเดาได้ คงเป็นตอนที่หญิงผู้นั้นทำร้ายเจ้า ได้ทำผ้าเช็ดหน้าหล่นโดยไม่ได้ตั้งใจ เจ้ามองผ้านี่ให้ละเอียดอีกครั้งเถิด ดูว่ามีสัญลักษณ์อะไรอยู่หรือไม่”
อวี้อาเหรารีบพลิกมาดูในทันที จึงค่อยเห็นว่าที่มุมหนึ่งของผ้าเช็ดหน้านั้นมีรอยสีทองแต้มอยู่ แต่ก็ไม่เหมือนรอยแต้ม เพราะรอยนั้นบางเบามาก หากไม่สังเกตดีๆ ก็จะแทบไม่เห็น ทันใดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย “สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับหญิงผู้นั้นหรือ อาจจะเป็นรอยหลังจากที่หล่นก็เป็นได้”