ตอนที่ 383 ไม่กินแล้ว
“เจ้าไม่กินแล้วหรือ” ฉู่ป๋ายเมียงมองนาง เมื่อเห็นท่าทีโกรธเคืองของนางแล้วก็หัวเราะออกมา หยุดตะเกียบไว้อีกทาง แล้ววางชามกับตะเกียบลง แล้วยื่นมือไปหยิบน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะมาดื่ม จิบไปสักนิดเพื่อล้างความมันเลี่ยน
“ไม่กินแล้ว!” อวี้อาเหราเห็นท่าทีสบายๆ ของเขาเช่นนี้ ก็สบถเสียงเย็นๆ ออกมา แล้วก้าวเท้าเข้าไปยังเตียงในห้อง ดึงผ้าห่มออก แม้แต่เสื้อตัวนอกก็ขี้เกียจถอด กลับนอนลงไปบนเตียงแล้วเตรียมนอน
ฉู่ป๋ายถอนสายตาสำรวจกลับมา แล้วออกคำสั่งกับเมี่ยวอวี้ “เก็บอาหารเหล่านี้ไปเถิด”
“เจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้หันไปเรียกสาวใช้สองสามคนเข้ามา
และฉู่ป๋ายก็เดินเข้ามาทางเตียงนอน ดึงผ้าห่มออกด้วยท่าทีสบายๆ อย่างไม่รีบร้อน ลมเย็นทะลุเข้ามาในผ้าห่ม อวี้อาเหราหนาวจนต้องพ่นลมหายใจออกมา แล้วจ้องมองมองเขาตาถลน “เจ้าทำอะไรน่ะ”
“เมื่อครู่เจ้าเพิ่งกินข้าวเสร็จ หากนอนเลยจะไม่ดีต่อกระเพาะ” ฉู่ป๋ายว่า น้ำเสียงเรียบๆ เคร่งขรึม
อวี้อาเหราดึงผ้าห่มคืนมาห่ม แล้วปรายตามองเขาด้วยสีหน้าโกรธเคือง “เจ้ากินอิ่มแล้วก็พูดได้ซี แต่ข้ายังไม่อิ่มนี่”
ฉู่ป๋ายหัวเราะเรียบๆ แล้วเสียงหัวเราะก็ค่อยๆ จางหายไป “ที่แท้เจ้าก็โกรธข้า แต่อาหารเหล่านี้เป็นเมี่ยวอวี้ที่ยกเข้ามา และข้านั้นเป็นแขกของจวนหลิงอ๋อง จะปล่อยให้ของพวกนั้นสูญเปล่าได้อย่างไร ก่อนหน้านี้เจ้าบอกเองมิใช่หรือว่าให้ข้ากินเยอะๆ หรือว่าก่อนหน้านี้เจ้าโกหกกันเล่า”
“แน่นอนว่าไม่ได้โกหก” อวี้อาเหราโดนย้อนเข้าไปเช่นนี้ถึงกับไม่รู้จะพูดอย่างไร
เขาพูดถูก เป็นเมี่ยวอวี้ที่ยกเข้ามา แม้ว่าจะไม่อยากทานแต่ก็ต้องทานเข้าไป แต่ทำไมนางไม่เห็นเขาดูว่าจะฝืนใจเลยแม้แต่น้อยเล่า ทำไมนางก็เห็นว่าเขาดูมีความสุขดี แม้ว่าเขาจะทานไม่หมดจนเหลือบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร นางไม่เชื่อว่าเขาไม่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นแล้วที่เขาพูดเช่นนี้มันน่าเชื่อถือหรือไม่เล่า?
“แล้วยังเรื่องนี้ เจ้าเป็นธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋อง แต่กลับแผลงฤทธิ์ต่อหน้าบรรดาสาวใช้ พวกนางจะไม่หัวเราะเยาะเจ้าลับหลังหรือ เจ้าว่าข้าพูดถูกหรือไม่” น้ำเสียงอ่อนโยนของเขาดังขึ้น
น้ำเสียงของเขาเหมือนมีมนตร์เสน่ห์ แม้ว่าจะฟังดูเป็นคำตำหนิติเตียน แต่เมื่อพูดผ่านเสียงของเขาแล้ว ทันใดนั้นก็ฟังดูรื่นไหล ราวกับกำลังฟังเรื่องวิถีธรรมอยู่อย่างไรอย่างนั้น
อวี้อาเหรานิ่งไป ไม่ได้พูดอะไร ท้องของนางยังกินไม่อิ่ม หากจะออกไปทานอาหารต่ออีกก็สงสารตัวเองที่เมื่อครู่สะบัดสะบิ้งเอาไว้มาก หากต้องออกไปจริงๆ ก็จะต้องถูกพวกเมี่ยวอวี้หัวเราะแน่ๆ และจะคิดว่านางเปลี่ยนใจเพราะคำพูดของฉู่ป๋ายหรือเปล่านะ
“หากเจ้าไม่ยอมไป ก็พักผ่อนเสียเถิด” ฉู่ป๋ายไม่พูดอะไรมาก พูดทิ้งท้ายแล้วจึงจากไป จึงเห็นเมี่ยวอวี้ที่เก็บกวาดเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามา นางเงยหน้าขึ้นขณะที่เดินเข้ามาด้านใน “คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“เจ้าเข้าไปดูเองเถิด” ฉู่ป๋ายว่าจบแล้วก็หยุดฝีเท้าข้างกระถางไฟ ร่างทั้งร่างที่สวมชุดสีขาวดูงดงามองอาจ ทุกการกระทำและทุกคำพูดดูสงบเยือกเย็น เสื้อผ้าสีขาวนั้นเหมาะกับเขามากที่สุด
องครักษ์หญิงเห็นเขาแล้ว ก็รีบหยิบเบาะรองนั่งมาวางบนเก้าอี้ทันที “เก้าอี้เย็น เซิ่นซื่อจื่อประทับบนนี้เถิดเจ้าค่ะ”
“อืม” ท่าทีของฉู่ป๋ายเยือกเย็น ทำเพียงพูดว่า “อืม” เบาๆ ต่อท่าทีแข็งขันนั้น แม้แต่ใบหน้าก็ไม่เงยขึ้นมามอง
เพียงคำพูดด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก กลับทำให้องครักษ์หญิงหน้าแดงก่ำ และยังราวกับตกอยู่ในความลุ่มหลง ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เอ่ยถามขึ้นว่า “ห้องหนังสือของคุณหนูเจ้าอยู่ที่ใดกัน นำช้าไปชมหน่อยซี”
“เจ้าค่ะ” องครักษ์หญิงจึงค่อยได้สติ แล้วเดินนำเขาเข้าไปยังห้องหนังสือที่อยู่ข้างๆ ระหว่างทางเดินที่ไม่ได้ไกลนั้น ใบหน้าของนางก็แดงก่ำเหมือนกุ้งต้มสุกไม่มีผิด
ตอนที่ 384 โจ๊กไข่เยี่ยวม้าใส่เนื้อแห้ง
“เจ้าถอยไปเถิด”
เมื่อนำทางมาถึงหน้าห้อง ฉู่ป๋ายก็มองไปยังใบหน้าเหนียมอายขององครักษ์ญิง สายตาเต็มไปด้วยความชืดชา น้ำเสียงยามพูดก็ยังเฉยเมยกว่ายามปกติ
“เจ้าค่ะ บ่าวทูลลา”
องครักษ์หญิงชะงัก สัมผัสได้ถึงสายตาอบอุ่นทว่าห่างเหินของเขาแล้ว ทันใดนั้นก็ก้มหน้าลงทันที ไม่กล้าที่จะมองอะไรอีก แม้สายตานั้นจะดูอบอุ่น ทว่าเมื่อจ้องมองอย่างลึกซึ้งแล้ว กลับค้นพบสายตาที่แฝงไปด้วยเข็มแหลมคอยทิ่มแทง พยายามที่จะไม่เผยให้เห็นถึงความไม่พอใจข้างใน
ภายในห้อง เมี่ยวอวี้ได้ยกโจ๊กไข่เยี่ยวม้าใส่เนื้อแห้งมาให้อวี้อาเหรา เมื่อเปิดม่านไข่มุกเข้ามา ก็เห็นอวี้อาเหราหิวจนแทบจะทนไม่ไหว สายตาของนางจ้องมองนิ่งไปที่เพดาน ราวกับจะมองจ้องทะลุไปยังยอดหลังคาภายนอก ดูเหมือนกำลังคิดว่าควรจะออกไปหาอะไรทานที่ภายนอกดีหรือไม่
เมื่อได้กลิ่นหอมๆ ของโจ๊กแล้ว นางก็รีบลุกขึ้นนั่งบนเตียง สายตาจ้องมองไปยังโจ๊กที่เมี่ยวอวี้ยกมา ส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งห้อง นางอดไม่ได้ที่จะลอบกลืนน้ำลาย แต่เมื่อเห็นเมี่ยวอวี้ก็รีบก้มหน้าลง ยกผ้าห่มขึ้นปกคลุมแล้วหลับตาลง
เมี่ยวอวี้วางโจ๊กเอาไว้อีกทาง จากนั้นก็เรียกอวี้อาเหราด้วยความพยายามที่จะกลั้นยิ้ม “คุณหนู รีบลุกขึ้นมาทานอาหารเถิดเจ้าค่ะ บ่าวรู้ว่าท่านไม่ชอบทานสิ่งนั้น ดังนั้นจึงสั่งให้คนต้มโจ๊กใส่เนื้อแห้งไว้แล้ว ตอนนี้ต้มเอาไว้จนเรียบร้อยแล้ว หากยังไม่ทานอีกจะเย็นนะเจ้าคะ”
“เหตุใดเจ้าไม่บอกให้เร็วกว่านี้” เมื่ออวี้อาเหรารู้ดังนั้นจึงค่อยลุกขึ้นจากเตียง แล้วมองโจ๊กไข่เยี่ยวม้าใส่เนื้อแห้งที่วางอยู่อย่างเร่งร้อน แล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ยังดีที่เจ้ารู้ใจคุณหนูของเจ้า รู้ว่าจะต้องต้มโจ๊กมาให้ หากเจ้ายกมาเร็วกว่านี้ก็ดีอยู่หรอก”
“อาหารเหล่านั้นเป็นท่านอ๋องรับสั่งเอาไว้ บ่าวไม่กล้าว่าหรอกว่าไม่ดี เมื่อครู่มีคนอื่นอยู่ จึงไม่อาจยกโจ๊กออกมาได้ มิเช่นนั้นคุณหนูคงจะโดนท่านอ๋องดุว่าเป็นแน่เจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้หัวเราะ แล้วค่อยๆ ยกโจ๊กขึ้นมา
อวี้อาเหรารับโจ๊กมาแล้วก็ดื่มทันที เพราะตุ๋นมาเป็นเวลานานจึงนุ่มและลื่นคอนัก ทั้งๆ ที่เป็นเพียงโจ๊กไข่เยี่ยวม้าใส่เนื้อแห้งธรรมดา แต่ตัวนางในยามนี้ราวกับเป็นอาหารรสเลิศ ทานติดต่อกันสามถ้วยก็ยังทานได้
หลังจากทานจนอิ่มแล้ว เมี่ยวอวี้ก็ยกชาร้อนเข้ามาให้
แม้ว่าอวี้อาเหราจะชอบทานอาหารจานเนื้อ แต่ทุกครั้งที่ทานจนอิ่มแล้วก็มักรู้สึกเลี่ยน จะต้องดื่มชาร้อนสักถ้วยก่อนจึงจะหาย หลังจากดื่มชาแล้ว ทันใดนั้นก็นึกถึงเจาเอ๋อร์ที่พักรักษาตัวอยู่ในห้องมาตลอดนับตั้งแต่กลับมาจากตลาดมืด ไม่พบนางมาสองวันแล้ว
ดังนั้นนางจึงถาม “เมี่ยวอวี้ อีกสักครู่เจ้าก็ยกโจ๊กไปให้เจาเอ๋อร์สักถ้วยเถิด”
“หลังจากที่บ่าวตุ๋นโจ๊กเสร็จแล้วบ่าวก็ให้คนนำไปส่ง ได้ยินคนที่ไปส่งว่าเจาเอ๋อร์ทานได้อร่อยมาก เหมือนกับคุณหนูไม่มีผิด นางต้องทานถึงสองถ้วยจึงจะอิ่มเลยเจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้รีบตอบทันที
“อย่างนั้นหรือ เจ้าทำได้ไม่เลวเลย” ยิ่งอวี้อาเหรามองเมี่ยวอวี้ก็ยิ่งพอใจ มีนางอยู่ก็ช่วยงานได้ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดนางก็ช่วยคิดช่วยทำได้หมด
“ขอบพระคุณคุณหนูที่กล่าวชม บ่าวขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
ในยามที่เมี่ยวอวี้กำลังหันหลัง อวี้อาเหราก็เรียกนางเอาไว้ “เมื่อครู่นี้เจ้าเห็นเซิ่นซื่อจื่อหรือไม่ เขากลับไปหรือยัง”
“บ่าวเห็นเซิ่นซื่อจื่อเจ้าค่ะ ท่านให้บ่าวเข้ามาดูคุณหนู ตอนนี้คิดว่าคงไปผิงไฟข้างนอกน่ะเจ้าค่ะ” หลังจากเมี่ยวอวี้ตอบแล้ว ก็ลอบมองนาง “แต่บ่าวไปดูให้คุณหนูดีหรือไม่”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวข้าจะไปดูเอง” อวี้อาเหราส่ายหน้า