ลิขิตฟ้าชะตารัก – ตอนที่ 451 ไม่อายฟ้าดิน / ตอนที่ 452 ได้แล้ว

ตอนที่ 451 ไม่อายฟ้าดิน

 

ฉู่ป๋ายขบฟันแน่น “ท่านพี่ ไม่เห็นจะต้องพูดกับน้องสาวแท้ๆ ถึงเพียงนี้เลย”

“ก็ได้ ข้าไม่พูดแล้วก็ได้” ฉู่ป๋ายยิ้มอย่างอ่อนโยน

“เหอะ” ฉู่เกอแค่นเสียงอย่างไม่พอใจ แล้วหันไปทางอวี้อาเหรา “พี่เหราเอ๋อร์ ท่านดูสิเขาจับปลาไม่ได้เหมือนข้า แต่กลับมาว่าข้าเช่นนี้ นี่ก็เรียกว่าอะไรนะ? วิ่งสิบก้าวหัวเราะร้อยก้าว[1] ความหมายนี้ใช่หรือไม่ ฮ่าๆ…”

“จับปลาไม่ได้?” อวี้อาเหราได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไป

นี่หมายความว่าอย่างไร

ฉู่เกอลอบมองฉู่ป๋ายน้อยๆ แล้วพูดความจริงขึ้นด้วยความลังเล “ที่จริงแล้ว อย่าเห็นว่าพี่ชายของข้าเก่งกาจ จริงๆ แล้วเขาบื้อจะตาย ทำอย่างไรก็จับปลาไม่ได้เสียที ทั้งๆ ที่มีพลังยุทธ์สูงส่งถึงเพียงนั้นแท้ๆ”

“จริงหรือ” อวี้อาเหรามองฉู่ป๋ายด้วยความไม่แน่ใจนัก นางยังจำได้ว่าครั้งนั้นเขาใช้กำลังภายในย่างปลาจนสุก พลังที่ควบคุมได้ตามใจเช่นนั้นเหตุใดจึงจะจับปลาไม่ได้กัน? นี่กำลังหลอกใครอยู่หรือไม่

“แน่นอนว่าจริงเจ้าค่ะ!” ฉู่เกอเห็นนางไม่เชื่อก็เลิกคิ้วขึ้นสูง “หากท่านไม่เชื่อ เช่นนั้นก็ลองให้เขาจับปลาดูสิ อย่างไรก็จับไม่ได้หรอก”

“พวกเจ้าสองคนกำลังพูดเรื่องอะไรกัน” เมื่อเห็นสายตาของคนทั้งสองเอาแต่มองมาที่เขา แม้แต่ฉู่ป๋ายที่เป็นคนนิ่งๆ ยังอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา

เมื่อได้ยินเสียงเขาแล้ว อวี้อาเหราและฉู่เกอก็หยุดพูด

ฉู่เกอมองอวี้อาเหรา ราวกับกำลังพูดว่า หากไม่เชื่อ ก็ลองดูสักครั้งสิ

อวี้อาเหรากลืนน้ำลาย ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมาด้วยความแปลกใจ ยามที่มองไปทางฉู่ป๋ายก็แย้มยิ้มออกมา “ได้ยินมาว่าแม้แต่จับปลาเจ้าก็ยังทำไม่ได้ เป็นเรื่องจริงหรือไม่”

“ได้ยินมา? เจ้าได้ยินมาจากเกอเอ๋อร์หรือ” ฉู่ป๋ายเลิกคิ้วถาม ขณะที่พูดก็มองไปทางฉู่เกอ หากมองเพียงสายตาก็มองไม่ออกว่าเขาโกรธหรือไม่กันแน่

ฉู่เกอหลบอยู่หลังของอวี้อาเหราไม่กล้าออกมา แล้วค่อยๆ ยื่นหูออกมาฟังว่าพวกเขาพูดอะไรกัน

อวี้อาเหราสบถ “เจ้าจะสนใจทำไมว่าข้าไปได้ยินมาจากที่ใด เพียงแต่ถามเจ้าเท่านั้นว่าจริงหรือไม่”

“ไม่จริง” ฉู่ป๋ายออกปากปฏิเสธ

“เช่นนั้นก็จับปลาให้ดูหน่อยสิ” อวี้อาเหราว่าพร้อมกับยิ้มกว้าง

“ข้าจับปลาไม่เป็น” ฉู่ป๋ายส่ายหน้าด้วยความนิ่งขรึม

ฉู่เกอทำราวกับเพิ่งได้ยินข่าวที่ยิ่งใหญ่สะเทือนฟ้าดิน รีบโผล่ศีรษะออกมาจากด้านหลังของอวี้อาเหราในทันที “ข้าบอกแล้ว!”

“อ้อ ที่แท้ก็เป็นเจ้าเองหรือ” ฉู่ป๋ายมองมาหานาง ใบหน้าแสร้งทำเป็นไม่รู้

ฉู่เกอเข้าใจทันทีว่าตัวเองตกหลุมพรางเข้าให้แล้ว จึงรีบเม้มปากแล้วหดศีรษะกลับไป

อวี้อาเหราไม่สนใจว่าพวกเขากำลังทำอะไรกัน ทันใดนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่คิดว่าเซิ่นซื่อจื่อที่เป็นเลิศทั้งทางบุ๊นและทางบู๊ แม้แต่ปลาสักตัวกลับจับไม่เป็น หากเรื่องนี้แพร่ออกไป คงจะเป็นเรื่องน่าขายหน้าแย่เลยกระมัง!”

“เจ้ากำลังด่าข้าหรือว่าชมข้ากันแน่?” ฉู่ป๋ายไม่โกรธ แต่กลับหัวเราะออกมา “หากเจ้าต้องการที่จะชมข้า ก็พูดออกมาตรงๆ เหตุใดจะต้องพูดจาอ้อมค้อมให้เสียเวลาเช่นนี้ด้วยเล่า”

อวี้อาเหราพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะอดกลั้นความโกรธของตัวเองเอาไว้ มองไปที่บุรุษผู้นี้ ช่างหน้าไม่อายนัก ชมตัวเองออกนอกหน้าเช่นนี้ ช่างไม่อายฟ้าอายดินเอาเสียเลย

รอยยิ้มของฉู่ป๋ายยิ่งกว้างขึ้น ทว่าไม่ใช่ปากหรอกที่ยิ้ม เป็นดวงตาต่างหาก

อวี้อาเหราถอนสายตาออกมา “ในเมื่อเจ้าจับปลาไม่เป็นจริงๆ…”

“ข้าก็จับปลาไม่เป็นจริงๆ” ฉู่ป๋ายตัดบทขึ้นมาทันที ทันใดนั้นก็ยืดหลังตรง “แต่ข้าตกปลาได้นะ”

“ตกปลาหรือ?” อวี้อาเหราชะงัก

ทั้งสองอย่าง มันต่างกันอย่างไร? มองไม่ออกว่าฉู่ป๋ายคิดที่จะทำอะไรกันแน่

 

——

[1] วิ่งสิบก้าวหัวเราะร้อยก้าว (หรือวิ่งห้าสิบก้าวหัวเราะร้อยเก้า) เป็นคำสุภาษิต หมายถึง ผู้ที่มีความผิดหรือข้อบกพร่องเช่นเดียวกับผู้อื่นแม้ว่าจะเบากว่าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ควรหัวเราะเยาะหรือประนามผู้อื่นเพราะถึงอย่างไรตนเองก็ผิดหรือมีข้อบกพร่องเช่นเดียวกัน

 

ตอนที่ 452 ได้แล้ว

 

“ไม่ผิด” ฉู่ป๋ายพยักหน้า แล้วก้าวเข้าไปพร้อมทั้งออกคำสั่งกับหานสือ “ไปเอาเบ็ดกับเหยื่อมาที”

“ขอรับ” หานสือรับคำสั่งแล้วเดินออกไป

อวี้อาเหรามองฉู่เกออย่างสงสัย ใช้สายตาสอบถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

ไหนบอกว่าจับปลาไม่ได้ แล้วที่ตกปลาเป็นคืออะไรกัน?

ฉู่เกอหน้าม่อย มีท่าทีเศร้าหมองเล็กน้อย แน่นอนว่าพี่ชายของนางนั้นจับปลาไม่เป็น แต่ใครจะรู้ว่าเขาตกปลาเป็นกันเล่า?

หลังจากที่หานสือนำอุปกรณ์สำหรับตกปลามา ฉู่ป๋ายก็คว้าเอาไว้แล้วนั่งลงบนม้านั่งข้างลำธาร โดยไม่กลัวว่าเสื้อผ้าสีขาวที่ตัวเองใส่จะเปรอะเปื้อน ภาพฉากนี้ราวกับคนและทิวทัศน์จะรวมกันเป็นสิ่งเดียว ฉู่ป๋ายนั่งอยู่ข้างลำธารไม่ขยับไปไหน แผ่นหลังตั้งตรง

อวี้อาเหราและฉู่เกอเดินเข้ามา เพื่อจะดูว่าเขาจะตกปลาอย่างไร

เมื่อหย่อนเหยื่อลงไปในน้ำเป็นนานก็ไม่เห็นว่าจะมีการเคลื่อนไหว ทางด้านหานสือก็ยังจับปลาได้อีกหลายตัว

เมื่อมองไปที่ฉู่ป๋ายอีกครั้ง เขาก็ไม่เห็นจะมีท่าทีร้อนรนอะไร ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีผ่อนคลาย

อวี้อาเหราจ้องมองไปที่ผิวน้ำอย่างเงียบงัน แล้วหัวเราะเยาะว่า “ดูแล้วเจ้าคงไม่ได้ปลาสักตัว แม้แต่ตกปลาเจ้าก็ตกไม่ได้”

ฉู่ป๋ายไม่สนใจคำพูดของนาง ทำเพียงปรายตามามองเท่านั้น และยังคงมองไปที่พื้นน้ำเช่นเดิม

ฉู่เกอรอดูจนเบื่อหน่าย เมื่อมองไปทางหานสือ นางก็เห็นว่าเขาจับปลาได้หลายตัว หากนำไปทำอาหารก็เพียงพอไปนานแล้ว เห็นฉู่ป๋ายนั่งอยู่ที่เดิมแต่ปลาไม่กินเบ็ดเสียที ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านพี่ ช่างมันเถิด ท่านตกปลาไม่ได้หรอกน่า”

และไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร พี่ชายของนางนั้นทำอะไรก็ล้วนแล้วแต่ทำได้ดี แต่มีเพียงเรื่องตกปลาเท่านั้นที่ราวกับเป็นจุดอ่อนของเขา ไม่ว่าจะจับปลาหรือตกปลา อย่างไรก็ทำไม่ได้ หรือจะพูดอีกอย่าง เขาอาจจะมีเวรมีกรรมกับปลาเหล่านี้ก็เป็นได้

“ช้าก่อน” น้ำเสียงของฉู่ป๋ายนิ่งสงบ ยังคงไม่มีทีท่าเร่งร้อน

แต่ฉับพลันนั้นอวี้อาเหราสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จ้องมองไปยังผิวน้ำ “ได้แล้ว! ได้แล้ว!”

เมื่อฉู่ป๋ายเห็นดังนั้นก็ค่อยๆ ดึงเบ็ดตกปลากลับเข้ามาอย่างระมัดระวัง ถึงได้ค้นพบว่าไม่มีอะไรเลย แต่เหยื่อกลับโดนกินไปเสียแล้ว ทันใดนั้นเขาก็มองไปทางอวี้อาเหรา “เมื่อครู่นี้ข้าตกปลาได้แล้วเชียว แต่เป็นเจ้าที่เอาแต่ร้องโวยวาย จนปลาตกใจหนีไป ครั้งนี้ไม่นับ เอาใหม่”

“…” อวี้อาเหราเหลือทนแล้ว เหตุใดจึงมาโทษนางได้เล่า?

ฉู่เกอเม้มปาก เป็นอย่างที่นางคิดจริงๆ ว่าเขาไม่อาจจะตกปลาได้แม้แต่ครึ่งตัวหรอก

เมื่อเห็นว่าเวลาค่อยๆ ผ่านไป แต่ฉู่ป๋ายก็ยังคงตกปลาอยู่ไม่ยอมไปไหนเสียที

รู้แต่แรกแล้วว่าไม่ควรบอกอวี้อาเหราเลย ตอนนี้ตัวนางกลับอยู่นสถานะเข็ญครกขึ้นภูเขาเสียอย่างนั้น

ผ่านไปไม่นานก็มีปลาตัวหนึ่งว่ายอยู่บนผิวน้ำ แต่อยู่ห่างจากเบ็ดตกปลานัก จึงไม่ว่ายน้ำมากินเหยื่อ

ปลาแหวกว่ายอยู่บนผิวน้ำอย่างไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ราวกับกำลังยั่วโมโหฉู่ป๋ายก็ไม่ปาน

ฉู่ป๋ายชะงัก ทันใดนั้นก็คว้าเอาฉมวกแทงปลาที่อยู่ข้างๆ แล้วปาออกไป ทันใดนั้นฉมวกก็พุ่งออกไปยังปลาตัวใหญ่ที่กำลังว่ายอยู่ในผิวน้ำ “หานสือ ไปเก็บมา”

หานสือรีบไปเก็บมาในทันที ปลายังไม่ตายสนิท พยายามที่จะกระเสือกกระสนอยู่ในมือของเขา จากนั้นก็นิ่งสนิท

ฉู่ป่ายมองอวี้อาเหราและฉู่เกอ “ข้าตกปลาได้แล้ว”

“แบบนี้ไม่นับ! เห็นอยู่ว่าปลาว่ายน้ำ แล้วเจ้าก็แค่เอาฉมวกแทงเท่านั้น เป็นใครก็ทำได้ เจ้าได้ตกปลาเองเสียที่ไหนเล่า” อวี้อาเหรารีบส่ายหน้าทันที ปลาตัวนี้เขาใช้ฉมวกแทงเอาชัดๆ กลายเป็นเขาตกปลามาได้อย่างไร

ฉู่ป๋ายกลับถามว่า “ข้ากำลังตกปลาอยู่ใช่หรือไม่”

“ใช่” อวี้อาเหราพยักหน้า

“ปลาตัวนี้ถูกจับได้แล้วใช่หรือไม่” ฉู่ป๋ายถามอีกครั้ง

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ลิขิตฟ้าชะตารัก

วิญญาณของ อวี้อาเหรา หญิงสาวจากศตวรรษที่ 21 ได้ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องที่มีร่างกายอ่อนแอ ซ้ำยังถูกองค์รัชทายาทที่นางรักมานานหลายปีผลักตกเหวจนตายอย่างไร้เยื่อใย! หลังจากที่อวี้อาเหราได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้ว ด้วยสภาพร่างกายของร่างเดิมทำให้นางต้องทนรับกับอาการป่วยไข้หลังจากที่ถูกน้ำซัดไปเป็นเวลานาน แต่นับว่าสวรรค์ยังมีเมตตานัก ที่ทำให้นางรอดชีวิตมาได้ด้วยความช่วยเหลือของ ฉู่ป๋าย ซื่อจื่อผู้โดดเด่นแห่งจวนเซิ่นอ๋อง ต่อหน้าบุรุษผู้โดดเด่นเช่นเขา นางไหนเลยจะกระโจนเข้าหาเฉกเช่นสตรีนางอื่น สิ่งที่นางทำนั้นคือการหลีกเลี่ยงเขาให้ไกลที่สุด แต่ใครเล่าจะรู้ว่าเรื่องไม่คาดฝันได้เกิดขึ้นเสียแล้ว… … “คุณหนู ท่าน…ท่านตั้งครรภ์แล้ว!” เสียงสาวใช้เอ่ยบอกด้วยความตกใจ “เหลวไหล! ข้ายังไม่เคยข้องเกี่ยวกับบุรุษใด แล้วจะตั้งครรภ์ได้อย่างไรกัน!” อวี้อาเหราเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ ฉับพลันนั้นเซิ่นซื่อจื่อที่นั่งอยู่ข้างกายจึงเอ่ยขึ้น “หากว่าเจ้าลำบากใจนัก เช่นนั้นข้าจะรับเป็นพ่อของเด็กให้เอง”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset