ตอนที่ 455 พระแท่นวายุจันทรา
“หากข้าไม่พูดเช่นนั้น ตอนนี้เจ้าจะมีร่างกายแข็งแรงเช่นนี้ได้หรือ มีคำกล่าวที่ว่าอาจารย์ที่เข้มงวดถึงจะได้ศิษย์ชั้นดี เมื่อเห็นเจ้าแล้วข้าก็รู้สึกว่าคำพูดนี้ช่างเป็นจริงเสียเหลือเกิน” ฉู่ป๋ายเลิกคิ้วขณะที่ถามนางกลับ พูดเสียจนฉู่เกอไร้คำจะพูดต่อ
นางจึงทำได้เพียงเม้มปาก แล้วพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ
อวี้อาเหรามองไปมองมา แล้วก็ก้มหน้าลงทานอาหารต่อ
สองพี่น้องเถียงกันอีกสองสามคำแล้วจึงเลิกรา ก่อนหน้านี้นางเห็นว่าฉู่ป๋ายเป็นคนเงียบๆ และดูเหมือนไม่ค่อยคิดอะไรมาก แต่เมื่อเห็นเขาในวันนี้แล้วก็รู้สึกขบขันยิ่งนัก คนอื่นคงไม่ได้เห็นง่ายๆ กระมัง?
หลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว อวี้อาเหราก็ควรจะกลับจวนเสียที
แต่ฉู่ป๋ายกลับเรียกนางเอาไว้เสียก่อน “หลังจากอาหารกลางวันแล้ว เกอเอ๋อร์จะไปที่พระแท่นวายุจันทรา ไม่รู้ว่าเจ้าจะอยากไปกับนางหรือไม่”
“พระแท่นวายุจันทรา? คือที่ใดกัน” สมองของอวี้อาเหราคิดทบทวนก็ไม่พบว่ามีข้อมูลอะไรที่เกี่ยวข้องกับพระแท่นวายุจันทรานี่เลย นางเกือบจะลืมไปแล้วว่าตอนนี้ตัวนางนั้นไม่ใช่คุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องตัวจริง แล้วนางจะมีความทรงจำเรื่องสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไร
“วังหลวงมีพระตำหนักรู่หวง แน่นอนว่าเมืองเฟิ่งเฉิงจะต้องมีพระแท่นวายุจันทรา ท่านไม่เคยได้ยินประโยคนี้หรือ” ฉู่เกอถามกลับตรงๆ
เมื่อได้ยินนางพูดเชีนนี้ ฉู่ป๋ายก็ค่อยๆ ยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างช้าๆ
อวี้อาเหรารีบส่ายหน้าในทันที “ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“ดังออกปานนี้ ท่านจะไม่เคยได้ยินได้อย่างไรกัน นี่ท่านเติบโตที่เมืองเฟิ่งเฉิงจริงๆ หรือไม่” ฉู่เกอถามขึ้นด้วยความสงสัย แล้วหันไปทางด้านหลัง “ในเมื่อท่านไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ก็คงเคยไปยังพระตำหนักรู่หวงมาก่อนใช่หรือไม่”
นางก็ไม่ได้เติบโตที่นี่จริงๆ เสียหน่อย อวี้อาเหราคิดอย่างขุ่นมัว จากนั้นก็พยักหน้าลง “เคยแล้ว”
“เดิมทีฮ่องเต้สร้างพระตำหนักรู่หวงให้กับฮองเฮา เมื่อฮองเฮาสิ้นพระชนม์ลงจึงได้สร้างพระแท่นวายุจันทราที่งดงามที่สุดในเมืองเฟิ่งเฉิงขึ้นมา ที่นั่นมีดอกไม้บานสะพรั่งกระจายไปทั่วราวพื้นพรม ซึ่งบานไม่โรยราตลอดทั้งสี่ฤดู สิ่งที่น่าสนใจที่สุดก็คือที่นั้นมีศาลาน้อยใหญ่มากมาย ช่างโอ่อ่างดงามยิ่งนัก” ฉู่เกออธิบายโดยละเอียด ขณะที่พูดนั้น สายตาของนางก็ส่องประกายระยิบระยับ
ที่แท้ก็เกี่ยวข้องกับฮองเฮา นางไม่รู้ว่าฮองเฮานั้นเป็นคนเช่นใด จึงสามารถทำให้ฮ่องเต้รักใคร่นางได้ถึงเพียงนี้ ทั้งสร้างพระตำหนักรู่หวงที่งดงามให้ พร้อมทั้งยังรักใคร่เมตตาต่อพระสนามซูเฟยซึ่งหน้าตาเหมือนฮองเฮา ในเมืองเฟิ่งเฉิงยังมีพระแท่นวายุจันทราอีก
อวี้อาเหราเอ่ยถามไปตามเรื่องตามราว “เหตุใดถึงได้ชื่อพระแท่นวายุจันทราเล่า”
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน ทราบแต่เพียงว่าเป็นชื่อที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ คำว่าพายุจันทรา[1]ก็คงเป็นความรู้สึกที่ฮ่องเต้ทรงมีต่อฮองเฮากระมัง” ฉู่เกอส่ายหน้า แล้วจึงพยักหน้าลงอีกครั้ง
“เป็นเช่นนี้นี่เอง!” อวี้อาเหราพยักหน้าลงอย่างเห็นด้วย
“วายุจันทราหรือ เสียดายที่ตอนนี้ไม่มีอยู่แล้ว ตอนนี้ก็กลายเป็นเพียงความทรงจำเท่านั้น” จู่ๆ ฉู่ป๋ายก็หัวเราะออกมา ทำให้อวี้อาเหราและฉู่เกอตกใจจนหันไปมอง เสียงหัวเราะของเขาทำให้คนที่ได้ยินสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงเย้ยหยัน ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ควบคุมตัวเองได้เช่นเขาจะ…
อวี้อาเหรารู้สึกว่ารอยยิ้มของเขานั้นช่างดูมีความหมายลึกซึ้งยิ่งนัก “หรือว่าเจ้าจะตีความเป็นอื่น?”
“ตีความเป็นอื่นหรือ?” สายตาของฉู่ป๋ายมองทะลุเข้ามาในสายของนาง “มิได้”
อวี้อาเหราก้มหน้าลง ไม่มีก็ไม่มีซี เหตุใดจะต้องทำเรื่องให้มันใหญ่ด้วย แต่นางก็ยังรู้สึกสงสัยอยู่ เพราะเมื่อครู่นี้นางรู้สึกว่าฉู่ป๋ายนั้นแฝงความหมายอื่นเอาไว้อย่างชัดเจน
ไม่ต้องสงสัย ว่าจะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฮองเฮาแห่งตำหนักรู่หวงเป็นแน่
ฉู่ป๋ายเปลี่ยนเรื่องพูดในทันใด “เมื่อครู่นี้ข้าถามว่าเจ้าจะไปพระแท่นวายุจันทรามิใช่หรือ จะไปหรือไม่”
“ไปสิ” อวี้อาเหราพยักหน้าอย่างมั่นใจ แต่เดิมนางไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่เมื่อเห็นว่าฉู่เกอชื่นชมความงามเช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะอยากชมดูสักครั้ง
——
[1] วายุจันทรา 风月 มีความหมายแฝงเกี่ยวกับความรักใคร่ของชายหญิง
ตอนที่ 456 อึดอึดตายแน่
“หานสือ เตรียมรถ” ฉู่ป๋ายออกคำสั่ง
“ในเมื่อเป็นพระแท่นที่ฮ่องเต้สร้างขึ้นมา แล้วผู้ใดจะไปก็ได้หรือ” อวี้อาเหราราวกับเพิ่งนึกขึ้นมาได้จึงรีบเอ่ยถามขึ้น เพราะหากเป็นของที่เกี่ยวกับราชวงศ์นั้น คนธรรมดาไม่อาจแตะต้องได้ แล้วสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์เช่นนี้เล่า
ฉู่ป๋ายส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่ได้ ย่อมต้องเป็นผู้ที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งในเมืองเฟิ่งเฉิงเท่านั้นจึงจะสามารถไปยังพระแท่นวายุจันทราได้ เพราะหากเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า อาจจะไปแล้วไม่กลับได้”
อวี้อาเหราเข้าใจขึ้นมาในทันที เมื่อครู่นี้ได้ยินฉู่ป๋ายออกคำสั่งโดยไม่ลังเล คงเพราะพวกเขาทั้งหมดล้วนสามารถไปได้กระมัง
แต่ว่านี่ก็ไม่ผิด ในเมื่อเป็นถึงซื่อจื่อและคุณหนูแห่งจวนอ๋อง ยังถือว่ามีเกียรติยศศักดิ์ศรีไม่พออีกหรือ?
ฉู่เกอได้ยินว่าอวี้อาเหราอยากจะไปด้วย นางก็เดินเข้าไปลากแขนอย่างยินดี “พี่เหราเอ๋อร์ไปด้วยก็ดีแล้ว มิเช่นนั้นหากให้ข้าไปกับฉู่ฉู่สองคนต้องอึดอัดตายแน่ ท่านรู้หรือไม่ เขาก็ไม่ชอบสนทนากับผู้อื่นเท่าไร มีท่านไปด้วยก็คงจะสนุกขึ้นโข”
“ไม่ชอบสนทนากับผู้อื่นเท่าไร? แล้วเมื่อครู่นี้เขาเถียงกับใครอยู่ตั้งนานเล่า” อวี้อาเหราถามกลับ
ฉู่เกอหัวเราะคิกคัก “เขาจะพูดก็ต่อเมื่อเห็นข้าทำอะไรไม่เข้าตาเท่านั้น แต่ใครกันเล่าที่อยู่ดีๆ ก็อยากจะโดนด่าตลอดเวลากัน”
เมื่อรถม้าถูกจัดเตรียมจนเรียบร้อยแล้ว ทั้งนายทั้งบ่าวก็พร้อมที่จะเดินทางไปยังพระแท่นวายุจันทรา
พระแท่นวายุจันทราค่อนข้างอยู่ในสถานที่ลับตาคนของเหมืองเฟิ่งเฉิง ว่ากันว่ายามที่ยังคงพระชนม์อยู่ ฮองเฮาโปรดสถานที่เงียบสงัด เช่นนั้นฮ่องเต้จึงเลือกสถานที่ห่างไกลจากตัวเมืองที่เงียบสงบ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาประมาณหนึ่งในการจัดเตรียมสถานที่
เมื่อนั่งรถม้าได้ชั่วระยะเวลาครึ่งก้านธูป ในที่สุดก็มาถึงพระแท่นวายุจันทรา
ไม่เพียงแต่ชื่อที่ฟังดูงดงามราวบทกวี ทว่าบรรยากาศก็ยังสวยสดไม่มีใครปาน ทั้งดอกไม้และต้นไม้บานสะพรั่ง มีแต่กลิ่นดอกไม้หอมและเสียงนกร้อง แม้ว่าจะเดินมาถึงด้านหน้าและยังไม่ได้เข้าไป ทว่าก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเป็นอย่างมาก ความงดงามเป็นธรรมชาติเช่นนี้ ช่างทำให้ผู้พบเห็นตื่นตะลึง ราวกับจะพบเจอหญิงงามแห่งยุคสมัยกำลังแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยนอยู่ภายใต้บรรยากาศที่สวยงามแห่งนี้
นั่นก็คือฮองเฮา
แต่น่าเสียดายที่ไม่อาจเห็นพระพักตร์ที่แท้จริงของฮองเฮาได้จริงๆ ไม่รู้ว่านางนั้นจะงดงามปานใด
ที่นี่มีดอกไม้เต็มพื้นที่ราวพื้นพรม แต่ด้านนอกยังสามารถมองเห็นต้นไม้นานาพันธุ์ที่ยืนต้นตาย เพราะไม่อาจสกัดกั้นฤดูหนาวที่เข้ามาเยือน
หลังจากชื่นชมบรรยากาศอยู่สักครู่ อวี้อาเหราจึงค่อยลดทอนสายตาตื่นตะลึงกลับมา ใช่ ทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้านี้ต้องใช้คำว่าตื่นตะลึงในการบรรยายเท่านั้น
ทุกที่ที่สายตาสอดส่องเข้าไปนั้นสามารถพูดได้ว่างดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แม้จะมองจากภายนอกเท่านั้น ทว่าพระแท่นวายุจันทรานี้ช่างกว้างใหญ่และซับซ้อน เพียงสายตานั้นไม่อาจเก็บพื้นที่เอาไว้จนหมด อวี้อาเหราเชื่อแล้วว่าเหตุใดฉู่เกอจึงพูดว่าที่นี่มีศาลาจำนวนนับไม่ถ้วน เกรงว่าหากจะนับก็คงนับไม่ถ้วนกระมัง
เมื่อหยุดฝีเท้าลง เหล่าองครักษ์หลวงจำนวนหนึ่งก็มาหยุดอยู่ตรงหน้า ฉู่ป๋ายจึงมอบป้ายประจำตัวของจวนเซิ่นอ๋องส่งให้
องครักษ์ชะงักไป แล้วรีบทำความเคารพอย่างตกใจ “คารวะเซิ่นซื่อจื่อ”
“อืม” ฉู่ป๋ายพยักหน้า แล้วหันกลับไปมองฉู่เกอและอวี้อาเหราที่ยืนอยู่ด้านหลัง “นี่คือท่านหญิงเซิ่นและคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋อง”
“คารวะท่านหญิง คุณหนูรอง” องครักษ์รีบทำความเคารพ ในใจคิดว่าเหตุใดวันนี้เหล่าชนชั้นสูงมาที่พระแท่นวายุจันทรามากมายถึงเพียงนี้
“ลุกขึ้นเถิดๆ” ฉู่เกอโบกไม้โบกมือเป็นการใหญ่
คนทั้งหมดกำลังเตรียมตัวจะเดินเข้าไปด้านใน แต่องครักษ์กลับมีความลังเลอยู่บ้าง อีกทั้งยังเดินเข้ามาขวางอวี้อาเหราไว้ จนทุกคนต้องหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับมามอง
อวี้อาเหราชะงัก “เจ้ามาขวางข้าด้วยเหตุใดกัน”
องครักษ์ตัวสั่นเทา “ฝ่าบาทมีคำสั่ง อนุญาตเพียงผู้ที่มีตราสัญลักษณ์ของจวนอ๋องเท่านั้นจึงจะเข้าไปได้ คุณหนูรองเป็นคุณหนูแห่งจวนหลิงอ๋อง ขอให้แสดงป้ายประจำตัวของจวนหลิงอ๋องด้วยเถิดขอรับ มิเช่นนั้นข้าน้อยคงไม่กล้าให้ท่านเข้าไป”