ตอนที่ 483 เกิดอะไรขึ้น
อวี้อาเหราเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจวินเสวียนจีต้องช่วยนางด้วย แม้ว่านางจะตกที่นั่งลำบาก แต่จวินเสวียนจีก็น่าจะทำเพียงยืนมองอยู่ที่เฉยๆ แต่ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกัน?
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮ่องเต้ก็ชะงักไป แต่ก็ไม่ได้ตรัสอะไรออกมา
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ลอบมองท่าทีของชายสูงศักดิ์ที่สุดผู้นี้ ไม่กล้าที่จะออกความคิดเห็นอะไร
นี่ก็ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะทรงจัดการเรื่องนี้อย่างไร
ในเวลานี้ ด้านนอกก็มีเสียงรายงานเข้ามา “ไทเฮา รัชทายาทเสด็จ!”
ทุกคนเบิกตากว้าง ก่อนจะมองไปด้านนอก
ครั้นจึงมองเห็นไทเฮาและรัชทายาทเดินเข้ามา การปรากฏตัวของทั้งสองทำเอาคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันตกใจไปเสียหมด
ไทเฮาสวมชุดหงส์สว่างตาดูหรูหรางดงาม
และจวินฉางอวิ๋นสวมชุดมังกรของรัชทายาท ยืนอยู่ตรงหน้าไทเฮาแต่ไม่ได้ดูด้อยกว่าเลยแม้แต่น้อย
อวี้อาเหราเพิ่งจะเคยพิจารณาจวินฉางอวิ๋นอย่างละเอียดเป็นครั้งแรก เพราะเมื่อก่อนนางเอาแต่โกรธแค้นเขา หากจะพูดตามจริงแล้วเขาก็เป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลางดงามไม่มีที่ติจริงๆ แม้ว่าจะมีชายหนุ่มที่หล่อเหลากว่ายืนอยู่ตรงหน้า แต่ก็ไม่อาจแผ่รัศมีความสง่างามได้เท่าเขาเลย
มารดาที่ให้กำเนิดของเขาก็เป็นชนชั้นสูง แน่นอนว่าจะต้องมีรัศมีแห่งความสง่างามอยู่ด้วยแน่นอน
และผู้ที่เลี้ยงดูเขามาก็คือฮองเฮา ยิ่งทำให้เขาดูสูงส่งและสง่างามมากยิ่งขึ้น
ทว่าความสง่างามของเขากลับโดนท่าทียโสโอหังของเขาปิดบังเอาไว้ เพราะฉะนั้นจึงยากเหลือเกินที่จะมองเห็น
จวินฉางอวิ๋นมองไปยังฮ่องเต้ ก่อนจะถวายบังคมด้วยความจำยอม “ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” ฮ่องเต้รับคำเบาๆ แล้วจึงคารวะต่อไทเฮาอย่างมีพิธีรีตอง “ลูกถวายพระพรเสด็จแม่ เหตุใดจึงเสด็จมาที่นี่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ที่นี่ก็ไม่ต้อนรับแม่หรืออย่างไร?” ไทเฮามอง พระสุรเสียงไม่หลงเหลือความอบอุ่นอ่อนโยน
“ลูกมิกล้า” ฮ่องเต้ส่ายหน้า “เพียงแต่ลูกเห็นว่าเสด็จแม่ทรงถือศีลกินเจและสวดมนต์อยู่เป็นนิจ แต่วันนี้กลับเสด็จมาหาลูกถึงที่นี่ได้”
“แน่นอนว่าแม่ต้องมีเหตุผลถึงมาที่นี่” ไทเฮาไม่ปิดบังที่จะพูดออกมา
“ไม่ทราบว่าเสด็จแม่ทรงมีเรื่องอันใดหรือ” ฮ่องเต้ช้อนตามอง
ไทเฮาปรายตามองไปยังอวี้อาเหรา “เมื่อครู่นี้อยู่ที่ตำหนัก ได้ยินว่าคุณหนูรองหลิงได้ย่างปลาร้อนที่ฝ่าบาททรงเลี้ยงเอาไว้ที่พระแท่นวายุจันทรา จึงถูกจับมาลงโทษที่นี่ อย่างไรเสียนางก็จะได้ขึ้นเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทในอนาคต แม่จึงต้องมาดูให้เห็นกับตา”
“ที่แท้ เสด็จแม่ก็มาเพราะเรื่องของแม่นางผู้นี้…” ฮ่องเต้เข้าใจขึ้นมาในทันที
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แม้นางจะย่างปลาร้อนแต่ก็คงมีเหตุผล เหตุใดจึงจับนางมาโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ยังได้ยินมาว่ามีชาวบ้านออกมาดูนางระหว่างทางที่โดนจับตัวมาจากพระแท่นวายุจันทราถึงวังหลวง อย่างไรนางก็เป็นว่าที่พระชายารัชทายาท เหตุใดถึงได้จับตัวกลับมาเช่นนี้ คนทั่วไปเห็นแล้วคงจะต้องหัวเราะเยาะเอาแน่ ฝ่าบาท เรื่องนี้ทรงทำไม่ค่อยถูกนัก”
สายพระเนตรที่ไม่ค่อยยินดีนักของไทเฮามองมาที่ฮ่องเต้ คำพูดแฝงให้เห็นถึงความหมายชัดเจน
ฮ่องเต้ก้มพักตร์ลงในทันที “เป็นเพราะลูกเลินเล่อ เสด็จแม่ช่างทอดพระเนตรเห็นรอบด้านอย่างถี่ถ้วน ต่อไปลูกจะไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก”
“อืม” ไทเฮาเห็นว่าเขาพูดเช่นนี้ แล้วพยักหน้าอย่างพอใจ
จวินไหวซ่งที่มองสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อได้ยินไทเฮากล่าวเช่นนี้ก็เข้าใจอย่างแน่ชัดแล้วว่าไทเฮาต้องการที่จะช่วยเหลืออวี้อาเหราแน่ เพราะต้องการที่จะใช้กำลังอำนาจของจวนหลิงอ๋องเพื่อหนุนตำแหน่งของรัชทายาทให้มั่นคง เป็นเรื่องที่ใครต่างก็รู้ดี แต่ที่ช่วยเหลืออวี้อาเหรา นางก็ไม่ค่อยพอใจนัก
นางถึงได้ก้าวมาข้างหน้าแล้วกล่าวว่า “เสด็จย่า อวี้อาเหรานำปลาร้อนของเสด็จพ่อมาย่างกิน ไม่เพียงเท่านั้น นางที่ไม่ได้นำป้ายพระราชทานมาด้วยกลับบีบบังคับให้องครักษ์ปล่อยให้นางเข้าไปยังพระแท่นวายุจันทรา อย่างนี้ไม่เท่ากับขัดราชโองการของเสด็จพ่อหรือเพคะ เสด็จย่าอาจไม่ทรงทราบ นางยังใส่ความเซิ่นซื่อจื่อ กล่าวว่าเป็นเซิ่นซื่อจื่อที่บังคับให้นางกินปลา และให้นางเข้าไปยังพระแท่นวายุจันทรา ช่างน่าหัวร่อนัก นางไม่อยากกินปลา แล้วเซิ่นซื่อจื่อจะยัดเนื้อปลาลงคอนางได้หรือเพคะ!”
ตอนที่ 484 ไทเฮาขออภัยโทษ
“มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ?” ปรายตามอง หากฟังแต่เสียงของไทเฮาก็ฟังไม่ออกว่าไทเฮาอยู่ในอารมณ์ไหน
“มีเรื่องเช่นนั้นจริงเพคะ ไหวซ่งจะกล้าโกหกเสด็จย่าได้อย่างไร” จวินไหวซ่งรีบพยักหน้า พูดขึ้นด้วยความกระตือรือร้น
ไทเฮามองอวี้อาเหรา “เจ้าจะว่าอย่างไร”
“ไทเฮาทรงพระปรีชา อาเหราไม่ได้เป็นเช่นที่องค์หญิงรองกล่าวหา ในเมื่อหม่อมฉันไม่มีป้ายพระราชทานอยู่ในมือจริง ไหนเลยจะเข้าไปได้ องรักษ์เหล่านั้นบอกให้หม่อมฉันกลับไปเอา ไทเฮาเพคะ ด้านนอกอากาศหนาวถึงเพียงนี้ หม่อมฉันก็คร้านเหลือเกินที่จะกลับไปเอาป้ายยพระราชทาน กลับไม่คิดว่าองครักษ์เหล่านั้นจะคิดว่าหม่อมฉันบีบบังคับให้ปล่อยหม่อมฉันเข้าไป ไม่กล้าที่จะขัดขวาง และเซิ่นซื่อจื่อที่กลัวว่าเหล่าองครักษ์จะลำบากใจจึงยอมรับรองให้หม่อมฉันให้เข้าไป แค่คิดก็รู้แล้วว่าใครกำลังใส่ร้ายใคร!”
อวี้อาเหรากล่าวจบ ก็ปรายตามองไปทางฉู่ป๋าย
ไทเฮาไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนาง แน่นอนว่าย่อมคล้อยตามคำพูดของนาง แล้วถามเหล่าองครักษ์ว่า “ที่คุณหนูรองกล่าวมานั้นหมายความว่าอย่างไร? หากพวกเจ้ากล้าที่จะให้การส่งเดช เราจะไม่ปล่อยพวกเจ้าแน่!”
“ไทเฮาทรงไว้ชีวิตด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ร่างกายขององครักษ์ผู้นั้นสั่นเทา “คุณ…คุณหนูรองเหมือนจะพูดว่าไม่อยากกลับไปเอา…”
“จริงหรือ” ไทเฮาถามอีกครั้ง
“จริงพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่กล้าพูดส่งเดช” องครักษ์ถูกขู่เข็ญเช่นนี้ ไหนเลยจะกล้าพูดอะไรมาก
มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าไทเฮาพลิกคดีเพื่อคุณหนูรอง หากไม่พูดตามที่นางกล่าวก็เท่ากับรนหาที่ตาย อีกอย่างคุณหนูรองพูดเพียงเท่านี้จริงๆ ที่เขาพูดว่าทำให้เซิ่นซื่อจื่อลำบากใจนั้นจึงไม่กล้าพูดขึ้นมาอีก
องครักษ์ที่น่าสงสาร ถูกขู่เข็ญเสียจนตกใจสั่นไปหมด
ไทเฮาจึงมองไปยังฮ่องเต้ “พระองค์ก็ทรงได้ยินแล้ว ว่าคนผู้นี้กลับคำให้การของอาเหรา จนทำให้คนอื่นเข้าใจผิด และทางเซิ่นซื่อจื่อนั้นก็ช่วยเหลือนางเพราะเขามีจิตใจเมตตาเท่านั้น ไหนเลยจะเป็นการขัดราชโองการได้ หากเป็นการขัดพระราชโองการจริงๆ แล้ว นางคงจะหนีเข้าไปด้านในเองโดยพลการ ไหนเลยจะให้เซิ่นซื่อจื่อช่วยรับรองให้”
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่ตรัสได้ถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง” ในเมื่อฮ่องเต้เห็นว่าไทเฮากล่าวเช่นนี้ ก็ไม่กล้าที่จะบิดพลิ้ว ทำเพียงเออออตามไปเท่านั้น จากนั้นก็ส่งสายตาไปทางองครักษ์หญิง “นำองครักษ์ที่ให้การส่งเดชผู้นี้ไปโบยยี่สิบไม้”
องครักษ์หญิงรีบทำตามในทันที
อวี้อาเหราถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ดีที่ไทเฮามาที่นี่ มิเช่นนั้นคงเป็นนางที่โดนโบยยี่สิบไม้ และสิ่งที่นางคิดไม่ถึงก็คือ ในช่วงวิกฤติเช่นนี้ กลับเป็นไทเฮาที่เป็นผู้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ครั้งหนึ่ง
หลังจากฮ่องเต้จัดการเรื่องขององครักษ์เรียบร้อย แล้วยังเอ่ยขึ้นว่า “เสด็จแม่ โทษฐานที่นางไม่เคารพเบื้องสูงจะละเว้นก็คงไม่เป็นไร แต่นางกินปลาร้อนเข้าไปจริงๆ ซึ่งเป็นของมีค่าของลูก คงไม่อาจที่จะละเว้นโทษได้กระมัง? ทุกคนล้วนพูดว่ากษัตริย์ทำผิดโทษเท่าสามัญชน หากจะละเว้นโทษง่ายๆ ลูกคงไม่มีหน้าไปพบใคร ต่อไปจะบงการปกครองเหล่าขุนนางได้หรือ”
“ฮ่องเต้ตรัสได้ไม่ผิดนัก” ไทเฮาพยักหน้าเห็นด้วยอย่างลึกซึ้ง
เมื่ออวี้อาเหราเห็นดังนี้ก็รีบเอ่ยปากว่า “ฝ่าบาท หากตรัสว่ากษัตริย์ทำผิดโทษเท่าสามัญชน แม้ว่าหม่อมฉันจะเป็นคนสั่งให้จับปลา แต่คนกินไม่ได้มีแต่หม่อมฉันเพียงผู้เดียว ทั้งเซิ่นซื่อจื่อและท่านหญิงเซิ่นต่างก็กินเข้าไปเช่นกัน หากลงโทษแต่หม่อมฉันเพียงผู้เดียว อาเหราไม่ยอมเพคะ!”
“เจ้าไม่ยอมหรือ” ฮ่องเต้เลิกพระขนง จากนั้นใบหน้าก็เผยให้เห็นรอยยิ้ม “เจ้าก็ช่างกล้าพูดออกมาได้”
เมื่ออวี้อาเหราเห็นเขาว่าเช่นนี้ ก็รู้แล้วว่าพวกฉู่ป๋ายดิ้นไม่หลุดแน่ นางคิดเอาไว้แล้ว หากนางไม่อาจสลัดความผิดให้พ้นตัว ก็ไปตายด้วยกันเถิด