ตอนที่ 559 สู้ไม่ได้
ฉู่ป๋ายสัมผัสได้ถึงความอึดอัดใจของนาง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำเพียงยิ้มน้อยๆ เท่านั้น
คืนนี้เขายิ้มออกมาหลายต่อหลายครั้ง อวี้อาเหราได้เห็นแล้วก็ยิ่งขบฟันมากยิ่งขึ้นไปอีก เขาคงจะมีความสุขมากกระมังที่ได้กลั่นแกล้งนาง
จะให้อวี้อาเหราเฝ้ามองใบหน้ายิ้มแย้มของเขาโดยทำสีหน้านิ่งเฉย โดยพยายามเก็บกดความโกรธเคืองในใจของตัวเองได้อย่างไรกัน?
เหตุใดบนโลกนี้ถึงได้มีผู้ชายที่หน้าไม่อายได้ถึงเพียงนี้นะ?
อวี้อาเหราสบถเสียงเย็น เอียงคอแล้วถามเขา “ตอนนี้เจ้าจะไปได้หรือยัง”
“ไม่ได้” ฉู่ป๋ายค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา “เจ้าเพิ่งบอกเจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้ว่าหานสือจะมารับข้า หากข้าออกไปตอนนี้ พวกนางก็คงจะต้องคิดว่าเจ้าโกหกน่ะสิ”
“โกหกก็โกหกสิ!” อวี้อาเหราไม่สนใจเขาอีกต่อไป
ฉู่ป๋ายว่าขึ้น “ในเมื่อเจ้าคิดเอาไว้แล้วเช่นนี้ นี่ก็เป็นเพราะถูกข้าคุกคามอย่างเสียเปล่าเมื่อครู่นี้ใช่หรือไม่?”
“เจ้า! เจ้ายังจะกล้าพูดเช่นนี้อีกหรือ!” อวี้อาเหราพูดขึ้นมาในที่สุด นางรู้อยู่แล้วว่าถึงตายเขาก็ไม่ไป เช่นนั้นจึงให้เมี่ยวอวี้และเจาเอ๋อร์ช่วยไล่เขาไป กลับกลายเป็นว่าคำพูดเมื่อครู่นี้ที่บอกกับเจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้กลายเป็นว่านางพูดไปเพราะถูกฉู่ป๋ายคุกคาม คำพูดเช่นนี้ช่างดูแย่เสียเหลือเกิน
ทว่านางจำต้องอดกลั้นความโกรธเอาไว้ พยายามที่จะฝืนยิ้มออกมา แล้วพูดขึ้นอย่างประจบเอาใจว่า “เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่”
“ก็ไม่อย่างไร” ฉู่ป๋ายกลับยิ้มแล้วส่ายหน้า “วันนี้ข้าเหนื่อยยิ่งนัก จึงคิดว่าจะนอนที่นี่เสียเลย”
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้พวกเจาเอ๋อร์เตรียมห้อง” อวี้อาเหราพยายามที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อารมณ์นางจึงสงบลง
ฉู่ป๋ายส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่ได้ หากเจ้าพูดเช่นนี้ ที่พูดไปเมื่อครู่นี้ก็จะสูญเปล่า อีกอย่างหากให้คนอื่นรู้ว่าข้าและเจ้าอยู่ร่วมห้องกัน ไม่เพียงแต่ชื่อเสียงของเจ้าจะเสียเท่านั้น แม้แต่ข้าเองก็คงไม่เหลือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าคงจะให้คนอื่นรู้ไม่ได้”
“เจ้าคงไม่คิดจะนอนที่เดียวกับข้าใช่หรือไม่?” อวี้อาเหราได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ทันใดนั้นก็เริ่มจะร้อนรนขึ้นมา
มีหญิงสาวแรกรุ่นที่ไหนถึงจะไปนอนร่วมกับชายหนุ่มสองต่อสองกันบ้าง?
ฉู่ป๋ายพยักหน้าอย่างหนักแน่น แล้วยิ้มน้อยๆ แล้วจึงเอ่ยปากอย่างเย็นชา “ไม่ผิด ก็คือที่เดียวกับที่เจ้านอน”
“ไม่มีทาง” อวี้อาเหราปฏิเสธซึ่งๆ หน้า
“เจ้าลองคิดีๆ ข้าเข้ามาที่นี่แล้วก็ส่งหานสือกลับไป ต้องรอถึงพรุ่งนี้เขาถึงจะมารับข้า ดังนั้นเจ้าว่า หากเจ้าไม่ให้ข้านอนที่นี่แล้วจะให้ข้าไปนอนที่ไหน อีกอย่างเจ้าก็คงจะไม่ยอมให้ข้าออกไปแล้วถูกเจาเอ๋อร์พบเข้าหรอกกระมัง แล้วก็ถึงข้าจะสูญเสียพลังยุทธ์ แต่อย่างไรเจ้าก็สู้ข้าไม่ได้อยู่ดี อย่างไรเสียเจ้าก็ไล่ตามข้าไม่ทัน”
“ใครบอกว่าข้าสู้เจ้าไม่ได้?” อวี้อาเหราได้ยินแล้วก็ไม่ใคร่ยินดีเท่าไหร่นัก
ฉู่ป๋ายเลิกคิ้วแล้วมองตานาง “ลองแข่งกันดูไหมเล่า”
อวี้อาเหราเห็นท่าทีของเขานั้นไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย สีหน้าดูนิ่งสงบ แสดงให้เห็นถึงความสง่างาม น้ำเสียงยามที่พูดขึ้นมานั้นฟังดูแผ่วเบา เมื่อดังเข้ามาในหูกลับเหมือนภูเขาไท่ซานที่ไม่โค่นล้ม ทว่าทีเช่นนี้ หากไม่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นเวลานาน แน่นอนว่าไม่อาจมีได้
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วนางก็ถอนสายตา แล้วทำทีท่านิ่งสงบ “วันนี้ข้าง่วงแล้ว คงไม่แข่งกับเจ้าหรอก”
“เช่นนั้นก็ดี ข้าเองก็ง่วงแล้ว” ฉู่ป๋ายผ่อนลมหายใจออกมา แล้วปรายตามองไปทางเตียงนอนของนางอย่างเกียจคร้าน
อวี้อาเหรายืนขวางอยู่หน้าเตียงนอน “เจ้าอย่าคิดว่าจะนอนกับเข้า หากจะนอนก็ไปนอนที่เตียงนั้น เห็นแก่ว่าเจ้าอ่อนแอลงก็เพราะข้า ข้าจะมอบผ้าห่มให้จ้าหนึ่งผืน อีกอย่างในห้องก็เผาฟืนเอาไว้เรียบร้อย คงไม่หนาวเท่าไรหรอก”
ตอนที่ 560 ช่างใจดีนัก
“เจ้านี่ช่างใจดีนัก” ฉู่ป๋ายมองนางนิ่งๆ
อวี้อาเหราทำราวกับไม่ได้ยินคำพูดที่ส่อเสียดของเขา แล้วตอบกลับอย่างมีมารยาทว่า “เจ้าก็เช่นกันๆ”
ฉู่ป๋ายมองใบหน้าสาแก่ใจของนางแล้ว จึงก้มหน้าลงแล้วนิ่งไปสักพัก ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน
ตกลงเขาจะนอนหรือไม่นอน? นางนั้นก็ง่วงแล้ว เช่นนั้นอวี้อาเหราจึงก้าวเท้าเดินไปทางเตียงนอน ก่อนจะถูกชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังเรียกเอาไว้ “เจ้าก็นอนเร็วเหลือเกิน ผมของเจ้ายังไม่ทันจะแห้งเลย หากนอนเช่นนี้ เดี๋ยวเจ้าก็ป่วยเอาเสียหรอก”
“ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาใส่ใจ” อวี้อาเหราดินต่อ ไม่ยอมหยุด
ฉู่ป๋ายจึงพูดว่า “เจ้ากลัวว่าข้าจะแย่งเตียงเจ้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ? แต่ว่าหากต่อไปเจ้าป่วย ก็อย่าโทษว่าเป็นเพราะข้า”
อวี้อาเหราได้ยินดังนั้นก็หันกลับไป “ข้ารู้สึกว่าเจ้าพูดจามีเหตุผลอยู่บ้าง เช่นนั้นข้าก็จะยังไม่นอน”
เขาเองก็พูดถูก นางไม่ควรนอนตอนผมยังเปียกๆ หากอายุเยอะก็จะปวดหัวโดยง่าย แม้จะบอกว่าควรนอนให้ตรงเวลา แต่สุขภาพนั้นก็เป็นเรื่องสำคัญ ทว่าฝีเท้าของนางยังไม่หยุด เมื่อพูดจบก็เดินไปที่เตียงต่อ ภายใต้สายตาชะงักงันของฉู่ป๋าย นางก็อุ้มเอาผ้าห่มจากเตียงใหญ่มาวางไว้ที่ตั่ง
หลังจากวางเครื่องนอนลงแล้ว นางก็เงยหน้าขึ้นมองฉู่ป๋าย “เอ้า เจ้าก็นอนเถิด”
ฉู่ป๋ายยืนนิ่งไม่ขยับ และยิ่งเงียบงันมากกว่าเดิม ถ้าหากไม่ใช่ว่าขนตาของเขากะพริบ นางก็นึกว่าเขาได้กลายเป็นรูปสลักเสียแล้ว
อวี้อาเหราเมื่อเห็นเขานิ่งเงียบ นางก็เบ้ปากออกมาด้วยความเบื่อหน่าย นางเดินเข้าไปใกล้หน้าต่าง แล้วเปิดหน้าต่างออกเล็กน้อย เพื่อให้ลมยามราตรีเข้ามา นางค่อยๆ ยกมือขึ้นสางเส้นผมที่ยาวจรดเอวของตัวเองช้าๆ ผมของนางยาวเป็นอย่างยิ่ง ในตอนแรกนางไม่ค่อยคุ้นชินที่ตัวเองมีเส้นผมยาวถึงเพียงนี้ แต่หลังจากผ่านไปหลายเดือน นางก็คุ้นชินขึ้นเรื่อยๆ ไม่ค่อยรู้สึกแปลกประหลาดอีกต่อไป
“เจ้าเปิดหน้าต่างเช่นนั้นไม่หนาวหรือ” ฉู่ป๋ายมองมาทางนี้ คิ้วขมวดมุ่น “สุขภาพของเจ้ายังไม่ค่อยดีนัก หากต้องลมหนาวเช่นนี้ ไม่กลัวไข้กลับหรืออย่างไร?
“ไม่หรอก ไม่ได้หนาวถึงเพียงนั้น รอจนผมแห้งก่อนค่อยปิดก็ได้ ผมเปียกๆ กระจายเต็มหลังเช่นนี้ รู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนักหรอก ตอนนี้ค่อยดีขึ้นหน่อย” อวี้อาเหราจัดการเส้นผมของตัวเองต่อไป ทำไปด้วยปากก็ตอบฉู่ป๋ายไปด้วย
ร่างกายของนางไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดที่โดนลมเย็นแล้วจะป่วยเสียหน่อย ถ้าเป็นเช่นนั้น นางก็จะไม่ต่างอะไรกับจวินไหวโหรวน่ะสิ?
ฉู่ป๋ายไม่พูดอะไรอีก ราวกับหมดคำจะเอ่ยอ้างเสียแล้ว หลังจากผ่านไปสักครู่เขาก็มองไปรอบๆ จึงเห็นว่ามีผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่แขวนเอาไว้ที่ชั้นไม้ ดังนั้นจึงหยิบขึ้นมา ชั้นนั้นสูงมาก แต่ยามที่เขาหยิบนั้นกลับดูเหมือนไม่เปลืองแรงเลยแม้แต่น้อย หยิบผ้าออกมาได้อย่างง่ายดาย
จากนั้นจึงก้าวยาวๆ เข้ามาหาอวี้อาเหรา
เมื่ออวี้อาเหราเห็นเขาเดินมาโดยมีผ้าอยู่ในมือ นางจึงชะงักไป
ฉู่ป๋ายยื่นมือออกมา แล้วปิดประตูที่อยู่ข้างๆ อวี้อาเหรา จากนั้นก็มองไปที่สายตาสงสัยและไม่เข้าใจของนาง สะบัดผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ แล้วอธิบายว่า “ข้าจะเช็ดผมเจ้าให้แห้ง ถ้าเอาแต่เป่าลมอย่างเดียวจะไม่ดี อีกอย่างนี่ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้เจ้าจะป่วยแล้วเจ้าจะเข้าวังไปพบไทเฮาไม่ได้ หากนางทราบว่าเจ้าป่วยเป็นวันเป็นคืนเช่นนี้ แน่นอนว่าคงจะต้องสงสัยแน่ เจ้าเองก็อย่าทำให้นางสงสัยเลย นางนั้นไม่เหมือนจวินฉางอวิ๋น เพราะหากนางสงสัยขึ้นมาจริงๆ กระนั้นจะต้องตรวจพบโรคปลอมของเจ้าแน่ ซึ่งผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรนั้นเจ้าคงจะรู้อยู่แล้ว”
“ก็ได้” อวี้อาเหราว่าเสียงรำคาญใจ จากนั้นก็ปล่อยให้ฉู่ป๋ายทำ
ฉู่ป๋ายมองนาง แล้วกุมมือของนางเอาไว้ “ไปนั่งที่ตั่งเถิด ตรงนั้นมีไฟ มือเจ้าเย็นแล้ว”