ตอนที่ 607 แอบฟัง
“เกือบลืมไปแล้วเชียว” ฉู่เกอคิดถึงเรื่องที่สำคัญขึ้นมาได้ เช่นนั้นจึงค่อยๆ เรียกสติกลับมาจากคำพูดของชายชราตาบอด จากนั้นจึงพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ไปซื้อของกันก่อนเถิด พี่เหราเอ๋อร์ไปเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ”
“ตกลง” อวี้อาเหราพยักหน้า แล้วหันไปสั่งเจาเอ๋อร์ว่า “มอบเงินให้ผู้อาวุโสเสีย”
“เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์เห็นดังนั้นก็ไม่ได้ลังเลอะไรอีก มอบเงินให้โดยไม่พูดอะไร
นางค่อนข้างที่จะเข้าใจนิสัยของคุณหนูตัวเองดี หากไม่เชื่อจริงๆ อย่างไรก็คงไม่มอบเงินให้เปล่าๆ แน่ เพียงคิดก็รู้แล้วว่าคำพูดของชายชราตาบอดเมื่อครู่นี้คงเป็นความจริง มิเช่นนั้นคงไม่พูดเช่นนี้ เพราะฉะนั้นชายชราตาบอดคนนี้คงจะมีความสามารถจริงๆ อยู่หลายส่วน
ไม่รู้ว่าจะคุ้มเงินที่จ่ายไปหนึ่งพันตำลึงเงินหรือไม่
เจาเอ๋อร์ไม่ลังเลอีกต่อไป ยื่นเงินให้อีกฝ่าย
ชายชราตาบอดนับเงินได้หนึ่งพันตำลึงเงินพอดิบพอดี แย้มยิ้มไม่หุบปาก
อวี้อาเหรากำลังจะไปซื้อของเป็นเพื่อนฉู่เกอ แต่ฉู่ป๋ายก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน นางชะงักเล็กน้อย “เจ้าไม่ไปหรือ?”
“ข้ายังมีเรื่องที่จะถามท่านอาวุโส พวกเจ้าไปก่อนเถิด”
ฉู่ป๋ายเอ่ยขึ้นอย่างเรียบๆ
อวี้อาเหรามองเขาด้วยความประหลาดใจ แต่กลับไม่พบคามผิดปกติในสีหน้าของเขา ดังนั้นจึงสาวเท้าก้าวเข้าไปในฝูงชน ในใจก็อดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำ ฉู่ป๋ายเป็นคนแบบใดกันนะ แน่นอนว่านางที่ได้สัมผัสใกล้ชิดเป็นเวลานานย่อมเข้าใจดี เขาเป็นคนมีนิสัยชอบควบคุมทุกอย่างเอาไว้ในมือ และน้อยครั้งมากทีเดียวที่เขาจะถามคนอื่น
ทั้งอีกฝ่ายยังเป็นผู้เฒ่าตาบอดจอมลวงโลกอีกด้วย
หลังจากเดินไปได้สองสามก้าว อวี้อาเหราก็หยุดเดิน ก่อนหันไปพูดกับฉู่เกอว่า “ข้าจะให้เจาเอ๋อร์กับเมี่ยวอวี้ไปเป็นเพื่อนเจ้า อีกสักครู่ข้าจะตามไป ข้าลืมของเอาไว้จะกลับไปเอาเสียหน่อย”
“ได้เจ้าค่ะ” ฉู่เกอมองนางแล้วพยักหน้า หรี่สายตามองไปยังร่างสีขาวที่อยู่ในแผงลอยทำนายดวงชะตา จากนั้นก็เดินแยกไปกับเมี่ยวอวี้และเจาเอ๋อร์
เมื่อพวกนางจากไปแล้ว อวี้อาเหราก็เข้าไปใกล้แผงลอยทำนายดวงชะตาอย่างลับๆ ล่อๆ นางเพียงอยากรู้เท่านั้นว่าฉู่ป๋ายจะถามอะไรผู้เฒ่าตาบอด
หลังจากที่เข้ามาใกล้ก็เห็นฉู่ป๋ายยื่นตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงที่นับแล้วส่งให้เฒ่าตาบอดเพียงรางๆ ทว่าเสียงพูดของพวกเขานั้นแผ่วเบายิ่งนัก นางกลัวจะถูกจับได้ จึงอยู่เสียไกล ดังนั้นจึงไม่ได้ยินว่าอีกฝ่ายกำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่ ทว่ากลับเห็นเฒ่าตาบอดยื่นเงินคืนให้เขาอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา
อวี้อาเหราพยายามที่จะตั้งใจฟัง แต่ทั้งสองกลับทำราวกับกลัวว่าคนอื่นจะได้ยิน พยายามที่จะลดเสียงที่พูดเป็นอย่างมาก และอีกอย่างบนท้องถนนนั้นเสียงดังจอแจ ฟังอย่างไรก็ไม่ได้ยิน
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายถามอะไรกันแน่ แต่เห็นฉู่ป๋ายยังคงยื่นเงินให้กับเฒ่าตาบอดอยู่เช่นเดิม นี่จะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ อาจจะเป็นเรื่องของฉู่เกอก็เป็นได้ ในเมื่อเป็นพี่ชายก็คงต้องการความชัดเจน เมื่อมองอีกครั้ง ก็เห็นเงาร่างร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมา
บดบังสายตาของนางไปจนสิ้น
นางมองเห็นชายหนุ่มที่สวมชุดผ้าไหมหรูหรา อีกทั้งยังสวมหน้ากากเย็นชา สายตาที่สาดประกายแสงโหดร้ายดุดันจ้องมองมาที่นาง ราวกับจะกินนางเข้าไปทั้งตัว อวี้อาเหราตกใจจนเดินถอยหลังไปหนึ่งก้าว เมื่อรู้ตัวอีกทีก็ถูกอีกฝ่ายรวบเอว ลักลอบออกไปจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็วแล้ว
“เจ้าทำอะไรน่ะ” อวี้อาเหราว่าเสียงตื่นตกใจ
น้ำเสียงของหนิงจื่อเย่เย็นชา “เจ้าจะร้องให้คนอื่นมาเห็นว่าเจ้าและข้านั้นมีความสัมพันธ์กันเช่นไรหรือ”
คำพูดของเขาทำให้นางตื่นตกใจจนไม่กล้าที่จะร้องออกมา แม้ว่าฉู่ป๋ายจะฉลาดเฉลียวเพียงใด ทว่าเมื่อเห็นเขาทั้งสองอยู่ด้วยกัน แน่นอนว่าจะต้องคิดอะไรขึ้นมาได้ และยิ่งหนิงจื่อเย่สวมหน้ากากเช่นนี้ ก็คงไม่ยากนักที่จะคาดเดาได้ว่าเขาเป็นใครแน่
ตอนที่ 608 ตัดใจไม่ลง
หนิงจื่อเย่เห็นว่านางไม่พูดอะไรขึ้นมาอีก ทันใดนั้นก็รัดเอวของนางแน่นมากยิ่งขึ้น ภายใต้เสื้อผ้าที่โบกสะบัด เงาร่างทั้งสองก็หายไป อวี้อาเหราโดนเขาบีบบังคับ ไม่รู้ว่าเขาจะพานางไปที่ใด และไม่กล้าร้องออกมา เพราะกลัวว่าจะเป็นการดึงดูดความสนใจ รู้สึกเพียงแค่ว่ามีสายลมพัดผ่านใบหูแผ่วเบา ชั่วพริบตานั้นนางก็มาถึงตรอกเล็กๆ ตรอกหนึ่งแล้ว
เขาคิดจะทำอะไรที่ตรอกนี้? อวี้อาเหรามองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นเงาร่างของผู้คนเลยแม้แต่น้อย ในใจของนางก็สั่นไหว ก่อนจะมองไปทางหนิงจื่อเย่
“เจ้าจ้องข้าทำไมกัน” น้ำเสียงอ่อนโยนของหนิงจื่อเย่แฝงด้วยแววเย็นชา ทว่าในความเย็นชานั้นยังฉายแววขบขัน ใบหน้าของเขาถูกหน้ากากดุร้ายปิดบังเอาไว้จนหมด ทำให้ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเขามีหน้าตาเช่นไรกันแน่ แต่เคยได้ยินมาว่าเป็นเพราะเจ้าสำนักเม่ยเก๋อมีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว เพราะอย่างนั้นจึงใส่หน้ากากปิดบังรูปโฉม ก็ไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือเท็จกันแน่
ผู้คนพูดกันเช่นนี้จริงๆ
แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือ เขานั้นไม่ต้องการให้ใครเห็นโฉมหน้าที่แท้จริง
อวี้อาเหราพิจารณาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะสนใจรูปโฉมที่แท้จริงของเขา
“เจ้ามองอะไรกัน หากยังพูดจาส่งเดชอีก ข้าจะควักลูกตาของเจ้าเสีย” ราวกับรำคาญสายตาของนางที่เอาแต่จ้องมองเขาอย่างไม่ลดละ น้ำเสียงของหนิงจื่อเย่ก็แปรเปลี่ยนไป จากนั้นสายตาที่ฉายแววเย็นชาก็สาดลงบนร่างของนาง เป็นสายตาที่เย็นชาเป็นพิเศษ…
อวี้อาเหราไม่กล้าที่จะพูดอะไรส่งเดชอีก ทันใดนั้นก็ถอนสายตากลับมา แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยไปในทันที
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำอะไรลงไป เมื่อครู่นี้คือเซิ่นซื่อจื่อ เจ้าที่มาปรากฏตัวต่อหน้าข้าในยามที่เขาอยู่ตรงนั้น หากถูกเขาพบเข้า ดูสิว่าเจ้าจะกล่าวอ้างอย่างไร? เจ้าก็อยากจะฆ่าเขามิใช่หรือ หากว่าเขารู้ถึงแผนการของเจ้าแล้ว เขาจะต้องเพิ่มความระวังมากขึ้นแน่ๆ”
“หากเจ้าไม่พูดขึ้นมา ข้าก็คงเกือบจะลืมไปแล้ว” รอยยิ้มมุมปากของหนิงจื่อเย่เปลี่ยนไปเป็นคำพูดแสนอันตราย “ข้ามอบหมายให้เจ้าทำเรื่องนี้เสียนานแล้ว แต่เจ้าก็ยังทำไม่ได้ เขายังมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย เจ้าก็อยากให้ทุกคนรู้ความลับของเจ้าหรืออย่างไร?”
“รอบกายของเขามีองครักษ์มากมายเพียงนั้น ไม่มีโอกาสให้ข้าได้ลงมือเลย” ในยามที่อวี้อาเหราตอบกลับ ดวงตาของนางก็ฉายประกายสว่างวาบ เป็นปฏิกิริยาโต้ตอบโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้แต่นางเอกก็ไม่ได้สังเกตแม้แต่น้อย
“ไม่มีโอกาสให้ลงมืออย่างนั้นหรือ? อวี้อาเหรา เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโง่หรืออย่างไรกัน เป็นเพราะเจ้าไม่อาจตัดใจลงมือ หรือว่าไม่อยากที่จะลงมือกันแน่?”
ทว่าสายตาของหนิงจื่อเย่กลับคมกริบเป็นอย่างยิ่ง น้ำเสียงของเขาก็ดุดันมากขึ้น จับมือของนางแล้วกดเอาไว้กับกำแพง ราวกับมือนั้นต้องการที่จะตอกนางเอาไว้กับที่ อวี้อาเหราพยายามที่จะขัดขืน แต่ก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย นางจำต้องข่มความเจ็บปวดที่บริเวณข้อมือของตัวเองไว้
“หากข้าไม่อาจตัดใจลงมือได้ เช่นนั้นก็คงไม่ตอบรับข้อเสนอของเจ้าอย่างง่ายๆ คงจะเอาเรื่องนี้บอกฉู่ป๋ายไปนานแล้ว หากเขารู้เรื่องนี้แน่นอนว่าเขาต้องช่วยเหลือข้าแน่ แม้ว่าสำนักเม่ยเก๋อของเจ้าจะแข็งแกร่ง แต่ก็คงไม่อาจต้านทานกำลังของเขาได้หรอก เจ้าลองเดาดูสิว่าเขาจะช่วยข้ารับมือเจ้าหรือว่า…”
“เจ้าลองพูดอีกคำสิ?” หนิงจื่อเย่หรี่ตาลง แล้วจ้องมองนางด้วยสายตาอันตราย
“หึ อย่างไรเจ้าก็เป็นถึงเจ้าสำนักเม่ยเก๋อ แม้แต่คำพูดเช่นนี้ก็ยังฟังไม่ได้ ยังไม่ยอมให้ข้าพูด ข้าคิดมาตลอดว่าเจ้าสำนักเม่ยเก๋อจะวิเศษวิโสเพียงใด ที่แท้ก็แค่…” อวี้อาเหรายังพูดไม่ทันจบ หนิงจื่อเย่ก็แผ่รังสีความเลือดเย็นออกมา จากนั้นมือข้างหนึ่งของเขาก็บีบคอของนางอย่างแรง แล้วพูดขึ้นทีละคำ
“อวี้อาเหรา เจ้าจงจำเอาไว้ ว่าเจ้าไม่ได้เป็นคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องตัวจริง หากข้าบอกความลับของเจ้าออกไป เจ้าคิดหรือว่า…”