ตอนที่ 609 บีบให้ตาย
“ถ้าเช่นนั้นแล้วจะอย่างไร? เจ้าคิดว่าข้ากลัวที่เจ้าขู่จริงๆ อย่างนั้นหรือ ตอนแรกนั้นข้าก็เห็นแก่หน้าบางๆ ของเจ้า และชีวิตของข้า แต่เจ้าก็ไม่อาจจะรังแกข้าได้ง่ายๆ หากจะบีบข้าให้ตายก็ไม่ต้องรีบหรอก มีเจ้าสำนักเม่ยเก๋อเป็นดอกไม้ประดับศพก็งดงามมิใช่หรืออย่างไร”
คำพูดของอวี้อาเหราฟังดูยั่วยุเต็มที่ นางยังคงยิ้มรับสายตาดุดันของเขาอยู่เช่นนั้น ไม่แม้แต่จะมีท่าทีขลาดกลัวเลยแม้แต่น้อย แม้ปากของนางจะบอกว่าเสียดายชีวิต แต่สำหรับหนิงจื่อเย่ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ภายใต้คมดาบมาตลอด ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกโกรธเสียจนอยากจะฆ่าให้ตายไม่ยอมปล่อยเอาไว้แน่
แม้ผู้ที่มีพลังยุทธ์แกร่งกล้า ทว่าเมื่ออยู่ตรงหน้าของเขาแล้วก็เหมือนมดปลวกที่พร้อมจะบี้ให้ตายคามือได้อย่างง่ายดาย
แล้วนางเล่า? นางมีดวงใจที่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน ดูสิว่าเขาจะว่าอย่างไร!
อย่างน้อยก็แค่ตายเท่านั้นเอง
สองตาของหนิงจื่อเย่ถลึงโต จ้องมองนิ่ง แต่ก็ยังไม่ยอมที่จะตรึงตัวนางเอาไว้จนตาย
เป็นอย่างที่อวี้อาเหรานึกเอาไว้ไม่มีผิด นางยังมีประโยชน์สำหรับเขาอยู่ เพราะเป็นคนที่จะสามารถเข้าใกล้ฉู่ป๋ายได้ หากนางตายไปก็คงจะยากที่จะหาคนเช่นนี้ได้ หากเป็นอย่างนั้นก็คงจะไม่มีอีกแล้ว ดังนั้น สติสัมปชัญญะพาให้เขาใจเย็นลง ค่อยๆ คลายแรงที่ตรึงตัวนางเอาไว้
อวี้อาเหราได้โอกาสหายใจหายคอ รีบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ น่
หนิงจื่อเย่ก้าวเข้ามาข้างหน้า แล้วบีบบังคับต้อนนางไปทางมุมของผนังห้อง จากนั้นก็เคลื่อนเข้าไปใกล้ใบหูของนาง เอ่ยเสียงต่ำๆ ว่า “ความอดทนของข้ามีจำกัด ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย หากยังฆ่าเขาไม่ได้อีก ข้าก็มีของที่จะทำให้เจ้าประหลาดใจ เช่นนั้นก็ยอมทำเสียดีๆ เถิด”
หลังจากที่พูดจบ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงเบา
อวี้อาเหราชะงักไป ราวกับร่างกายถูกแช่แข็ง ยากเหลือเกินกว่าที่นางจะหายใจได้ คำพูดของเขาที่เปล่งออกมาแต่ละคำนั้นล้วนปะทะเข้ากับร่างของนาง เสียงหัวเราะของหนิงจื่อเย่นั้นเหมือนกับสายฟ้าที่บาดคอ อีกทั้งลมหายใจร้อนผ่าวของเขาก็เป่ารดผิวหนังส่วนที่อ่อนไหวได้ง่ายดาย ทำให้นางรู้สึกคันเสียจนอยากจะยกมือขึ้นมาเกา
“พวกเจ้าทำอะไรกัน” ชั่ววินาทีนั้นก็มีเสียงแหบพร่าดังขึ้นมาในตรอกซึ่งทั้งเงียบและสงบ
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ใจของอวี้อาเหราก็หล่นลงไปกองที่พื้น รีบหันไปมองทางต้นเสียงทันที
นางจึงเห็นร่างที่สวมอาภรณ์สีขาวของฉู่ป๋าย ลมหนาวเย็นพัดจนอาภรณ์สีขาวปลิวไสว ทั้งยังแฝงรัศมีความเย็นยะเยือกมาด้วย
นั่นมัน…
เขา…เขามาที่นี่ได้อย่างไร?
อวี้อาเหราไม่อยากจะเชื่อ มองไปทางหนิงจื่อเย่ที่กักตัวนางเอาไว้ที่มุมของกำแพง
ในเมื่อเขาเห็นพวกนางทั้งสองอยู่กันที่นี่ หรือว่าเขาจะได้ยินที่พูดกันเมื่อครู่นี้?
ที่นี่อยู่ห่างจากปากตรอกมากนัก และฉู่ป๋ายยังเป็นคนที่หูไวหัวไว ยากที่จะมั่นใจว่าเขาไม่ได้ยิน
ถ้าเป็นเช่นนั้น นางจะอธิบายอย่างไรดี?
ตอนนี้ในใจของนางก็วุ่นวายเป็นอย่างมาก และยังร้อนรนเหมือนมดงานไม่มีผิด
ฉู่ป๋ายเดินก้าวยาวๆ เข้ามา เขาสาวเท้าอย่างรวดเร็วและเร่งร้อน ทว่าฝีเท้าก็ยังคงดูมั่นคงอยู่เช่นนั้น
เมื่อมาถึงข้างกายของคนทั้งสอง เขาก็ดึงมือของหนิงจื่อเย่ที่จับมือของอวี้อาเหราออก บังตัวนางเอาไว้ มองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าแปลกประหลาด
ชายหนุ่มทั้งสองประสานสายตากัน แม้ว่าจะมองไม่เห็นสายฟ้าที่แล่นปราบ แต่ก็สามารถมองเห็นได้ว่าชายทั้งสองนั้นต่อสู้กันทางสายตา
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” อวี้อาเหราที่ชะงักไปเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ได้สติขึ้นมา พยายามที่จะรักษาความสงบในจิตใจของตัวเอง จากนั้นจึงค่อยเอ่ยถามฉู่ป๋ายในสิ่งที่อยากรู้
ฉู่ป๋ายไม่มองนาง และยิ่งไม่ตอบคำถามของนางเช่นเดียวกัน แต่กลับเอ่ยถามขึ้นว่า “เขาคือคุณชายหนิงที่เล่นพิณในพระแท่นวายุจันทราเมื่อวันนั้นมิใช่หรือ เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ตอนที่ 610 รับรองเขา
สายตาของเขาบอกอวี้อาเหราว่า ช่างอันตรายนัก
แม้ว่าจะเป็นสายตาที่เรียบนิ่ง ทว่ากลับแฝงด้วยความดุดันจ้องมองมาที่อวี้อาเหราตั้งแต่หัวจรดเท้า เพียงนางกล้าพูดออกมาแค่คำเดียว สายตาของเขาก็คงจะบดขยี้นางเป็นชิ้นๆ อวี้อาเหราถูกเขามองจนรู้สึกขนลุกชัน คำพูดทั้งหมดนั้นถูกกลืนลงท้องไปเสียหมด สมองกลายเป็นสีขาวโพลน
เมื่อเห็นสีหน้าของเขา ก็คิดได้ว่าเขาคงได้ยินที่พวกนางพูดเมื่อครู่นี้ทั้งหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาจะโกรธถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
จบกัน! ราวกับมีระเบิดลูกใหญ่ถูกปาลงบนหัวของอวี้อาเหรา จากนั้นใจของนางก็เกิดหลุมขนาดมหึมาที่เต็มไปด้วยควันไฟ หากเขารู้ถึงจุดประสงค์ของนางจนหมดแล้ว คนทั้งสองก็จะไม่ซวยไปกันหมดหรือ?
ใครจะวางใจปล่อยให้คนที่อยากฆ่าตัวเองให้ลอยนวลได้เล่า?
ไม่มีทางปล่อยเอาไว้แน่!
ในชั่วขณะนั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ นางก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดี
ฉู่ป๋ายเห็นท่าทีเกรงกลัวของนางก็เม้มริมฝีปากแน่นเสียจนเกือบจะเป็นเส้นตรง รู้ได้ว่าจิตใจของนางนั้นสลดลงไปมาก จากนั้นจึงถอนสายตากลับมา มองไปทางหนิงจื่อเย่
หนิงจื่อเย่มองเห็นสายตาที่เย็นชาของเขา ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา ฝีเท้าก้าวไปข้างหลัง แล้วทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างถูกต้องตามพิธีรีตอง
“ท่านก็คือเซิ่นซื่อจื่อแห่งจวนเซิ่นอ๋องใช่หรือไม่ คารวะซื่อจื่อ”
ทำบ้าอะไรน่ะ? อวี้อาเหรามองท่าทีของหนิงจื่อเย่ ในใจก็สบถออกมาอย่างช่วยไม่ได้ มาทำความเคารพอะไรกัน เขาก็ไม่กลัวว่าฉู่ป๋ายจะโกรธจนคว้าตัวพวกเขาทั้งสองมาตีรันฟันแทงหรืออย่างไร? เขาไม่ใช่คนที่จิตใจดีอะไรนัก ฆ่าคนได้โดยไม่ต้องกะพริบตาเลยแม้แต่น้อย
เหมือนวันที่กลับมาจากนอกเมืองวันนั้น นางก็ได้เห็นกับตาว่าเขาสั่งให้หานสือฆ่าคนชุดดำอย่างเลือดเย็น
อวี้อาเหรายิ่งคิดก็ยิ่งเป็นกังวล ยิ่งคิดความกล้าที่มีก็เริ่มสั่นคลอน ยิ่งเคยเห็นฉู่ป๋ายที่มีอาการของโรคกระหายโลหิตกำเริบก็ยิ่งต้องอยู่ให้ห่างถึงสามเท่า
หากหนิงจื่อเย่รู้ว่าเขานั้นมีอาการของโรคกระหายโลหิต เขาจะต้องใช้โอกาสนี้สังหารเขาให้ตายแน่
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าฉู่ป๋ายนั้นหมดพลังยุทธ์ในร่างของตัวเองนับตั้งแต่ครั้งที่ช่วยเหลือนางจนหมดตัว ตอนนี้เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนิงจื่อเย่เลยแม้แต่น้อย
ยามนั้น หากหนิงจื่อเย่ต้องการที่จะฆ่าเขาให้ตายจริงๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องง่ายดายเลยทีเดียว
นางไม่อาจทนมองผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตนางต้องตายลงไปต่อหน้าต่อตา หากเป็นเช่นนั้นนางจะยังเป็นคนอยู่อีกหรือ? นางคงจะกลายเป็นคนไร้ยางอายเหมือนดังเช่นพวกอนุรองใช่หรือไม่ อวี้อาเหราไม่ใช่คนที่ลืมบุญคุณใคร เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็ก้าวไปข้างหน้า แล้วสบตากับหนิงจื่อเย่
“คุณชายหนิง ทางไปหอจุ้ยเซียนคือด้านนั้น เชื่อข้าเถิด ข้าไม่หลอกท่านหรอก”
ขณะที่พูดก็ยังชี้ไปยังทิศที่หอจุ้ยเซียนตั้งอยู่
หากปล่อยให้เขาเข้าใกล้ฉู่ป๋าย ไม่ช้าก็คงรู้ว่าเขาสูญเสียพลังยุทธ์ไปจนหมดแน่
ก่อนอื่นต้องไม่สนใจว่าฉู่ป๋ายจะรู้เรื่องที่พวกนางทั้งสองร่วมมือกันหรือไม่ สิ่งที่ต้องทำในยามนี้ก็คือต้องปกป้องเขาให้ได้เสียก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง ไม่อย่างนั้นหนิงจื่อเย่คงไม่ปล่อยให้โอกาสดีๆ เช่นนี้หลุดมือไปแน่
ในใจของอวี้อาเหราสั่นไหว เมื่อเห็นว่าหนิงจื่อเย่ยังไม่ยอมขยับ นางก็พยายามที่จะจ้องมองตาเขา
ขอให้เขาไปเสียเถิด
หนิงจื่อเย่เข้าใจว่านางตั้งใจที่จะหาข้ออ้างเพื่อบอกให้เขาหนีไป ไม่ต้องคิดเรื่องอะไรให้มากความ เขามองฉู่ป๋ายด้วยสายตาลังเลสักครู่แล้วจึงเดินจากไป
เมื่อเขาจากไปแล้ว อวี้อาเหราจึงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจหนักหน่วงออกมา
เหตุการณ์เมื่อครู่นี้แทบจะเรียกว่าเส้นยาแดงผ่าแปดเลยทีเดียว ช่างน่ากลัวนัก
เมื่อหันกลับมามองฉู่ป๋าย นางถึงได้เห็นว่าใบหน้าของเขายังคงแสดงสีหน้าดุดัน แฝงความเย็นชา และสายตาเย็นยะเยือก
เมื่อเห็นนางหันกลับมา เขาก็มองมาด้วยสายตาเย็นชาจนคนถูกมองรู้สึกหนาวยะเยือกไปด้วย
น่ากลัวเหลือเกิน รู้สึกหนาวเย็นเสียจนร่างกายแข็งกระด้าง แม้แต่จะขยับก็ยังไม่กล้า สายตาของเขาเหมือนมีมนตร์สะกด ที่ทำให้นารู้สึกตื่นกลัว