ลิขิตฟ้าชะตารัก – ตอนที่ 611 คุมตัวนักโทษ / ตอนที่ 612 หาเรื่อง

ตอนที่ 611 คุมตัวนักโทษ  

 

 

 

 

 

อวี้อาเหราชะงัก ในใจแค่นหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น จะว่าไปก็ถือว่านางเป็นผู้ช่วยชีวิตเขาได้เลย แม้ว่าจะโกรธแต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำเช่นนี้ นางกลับทำบุญได้บาปเสียอย่างนั้น หากเรื่องของนางถูกเปิดโปงก็คงจะเป็นเพราะนางเองสินะ ยามที่อวี้อาเหรากำลังโอดครวญอยู่ในใจ ฉู่ป๋ายก็เอ่ยขึ้นมาว่า   

 

 

“เมื่อครู่นี้เจ้าทำอะไร”  

 

 

ทำอะไรหรือ? เขามองไม่เห็นหรืออย่างไร  

 

 

หรือว่าจะมองไม่เห็นจริงๆ ว่าเมื่อครู่นี้พวกนางทำอะไรกัน ที่สำคัญที่สุดก็คือคงจะไม่ได้ยินสิ่งที่พวกนางคุยกันด้วยใช่หรือไม่?  

 

 

ฉู่ป๋ายจ้องหน้าของนาง ราวกับจะมองสำรวจสีหน้าของนางอย่างละเอียดลออเพื่อจับผิด สีหน้าของอวี้อาเหราชะงักไป ผ่านไปเป็นครู่จึงค่อยได้สติ นางตอบรับสายตาสงสัยและเคร่งขรึมของฉู่ป๋ายคู่นั้นด้วยสายตาสำรวจทีท่าและอารมณ์ของอีกฝ่าย “เมื่อครู่นี้เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”  

 

 

“จะถามไปทำไม” สีหน้าของฉู่ป๋ายเฉยชา สงสัยในคำพูดของนาง เขาเป็นคนฉลาดถึงเพียงไหน แน่นอนว่าจะต้องรู้แน่ว่านางมีท่าทีที่แปลกประหลาดไป ทั้งยังไม่ยอมตอบคำถามของเขาเมื่อครู่นี้อีกด้วย เขาจึงถามกลับไป  

 

 

อวี้อาเหราเห็นแล้วก็เข้าใจ หากได้ยินที่นางและหนิงจื่อเย่คุยกันเมื่อครู่นี้จริงๆ คงจะไม่พูดอย่างนี้แน่  

 

 

ดังนั้นนางจึงวางใจลงได้บ้างเล็กน้อย ดูแล้วเขาคงไม่ได้ยินในสิ่งที่นางคุยกับหนิงจื่อเย่แน่ เพราะฉะนั้นตอนนี้นางก็คงรู้สึกปลอดภัยบ้างได้แล้ว  

 

 

แต่เมื่อสติของนางกลับเข้าที่เข้าทางแล้ว ท่าทีของฉู่ป๋ายก็ยิ่งไม่น่ามองมากขึ้นไปอีก ใช้สายตาเย็นยะเยือกมองมาทางอวี้อาเหรา ร่างกายก็ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ ราวกับกำลังไล่ต้อนนางให้จนมุมที่มุมกำแพงราวกับกระดาษแผ่นบาง ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือสายตา ก็แสดงท่าทีดึงดูดให้เข้าหาทั้งนั้น  

 

 

ยามปกติเขามักจะสงบนิ่งไม่ไหวติง ทว่ายามโกรธเขามักจะแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมาได้  

 

 

หรือว่าเขากำลังโกรธ?  

 

 

เหตุใดกัน  

 

 

อวี้อาเหรารู้สึกปวดหัวอยู่บ้าง นางลองพยายามที่จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ทว่าเมื่อขยับเพียงเล็กน้อย ฉู่ป๋ายก็ยื่นมือออกมาท้าวเข้ากับพนังกำแพงทันที จากนั้นริมฝีปากบางก็ยกขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มเย็นชาประดับอยู่บนใบหน้า ท่าทีเช่นนี้ราวกับแสดงท่าทีไม่พอใจออกมาด้วย  

 

 

“เมื่อครู่นี้เจ้ากับเขาทำอะไรกัน”  

 

 

“พวกเราเพียงบังเอิญเจอเท่านั้น ดังนั้นจึง…”  

 

 

เขาก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าคนทั้งสองแทบจะกอดกันอยู่แล้ว อีกทั้งหนิงจื่อเย่ก็ยังแทบจะมุดศีรษะเข้ากับอกของนาง ความใกล้ชิดเช่นนี้จะเป็นการพบหน้ากันของคนแปลกหน้าได้หรือ? ยิ่งคิด มุมปากของฉู่ป๋ายก็ยิ่งยกโค้งขึ้น ราวกับต้องการที่จะให้รอยยิ้มของเขาประทับเข้าไปในร่างของนาง  

 

 

อวี้อาเหราเหมือนใจตกลงไปอยู่ในตาตุ่ม เมื่อถูกฉู่ป๋ายมองด้วยสายตาเช่นนี้ ก็ราวกับนางทำผิดอะไรสักอย่างที่สะท้านทั้งแผ่นดิน  

 

 

นางไม่ใช่นักโทษ เหตุใดจะต้องมองนางด้วยสายตาอย่างผู้คุมนักโทษเช่นนั้นเล่า?  

 

 

แน่นอนว่าฉู่ป๋ายย่อมไม่เชื่อในสิ่งที่นางพูดแน่ เห็นอยู่ชัดๆ ว่านางกำลังเฉไฉไปเรื่องอื่น คิดว่าเขาจะหลงเชื่อคำพูดเฉไฉไร้หลักฐานของนางได้หรือ? วินาที่ถัดมาอารมณ์ของฉู่ป๋ายก็พลันเปลี่ยนไป เขากลับหัวเราะเสียงต่ำๆ ออกมา “ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ พูดว่าจู่ๆ ก็พบกันเมื่อครู่นี้ ไม่มีความนัยอะไรใช่หรือไม่”  

 

 

“แน่นอนอยู่แล้ว จะไปมีความนัยอะไรได้อย่างไรกัน” อวี้อาเหราตอบโดยแสร้งทำเป็นโกรธ ท่าทีของนางไม่เหมือนคนกำลังพูดโกหก แต่เมื่อคิดดูก็น่าจะรู้ ที่นางต้องทำเช่นนี้ ก็เพราะเป็นเพียงวิธีเดียวที่จะทำให้นางพูดออกไปโดยสามารถหอบหายใจและมีใบหน้าแดงก่ำ แต่เมื่อถูกฉู่ป๋ายจ้องมองนิ่ง ขอแค่นางไม่รู้สึกขนหัวลุกก็เพียงพอแล้ว  

 

 

“พูดจาไร้สาระ” น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึม ชั่วขณะนั้นสีหน้าของฉู่ป๋ายก็เปลี่ยนไปเป็นดุดัน จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าพูดกับคนที่เพิ่งรู้จักเช่นนั้นหรือ? อวี้อาเหรา เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือหูหนวกอย่างนั้นหรือ หืม?”   

 

 

 

 

 

ตอนที่ 612 หาเรื่อง  

 

 

 

 

 

คำว่า ‘หืม’ ในท้ายประโยคของเขา เสียงที่เปล่งออกมานั้นฟังดูทุ้มลึกราวกับจะกลืนกินผู้ฟังเข้าไปให้จมลึกอยู่ในเสียงทุ้มต่ำของเขา  

 

 

อวี้อาเหราไม่รู้ว่าจะพูดคำใดดี เช่นนั้นนางจึงไม่พูด  

 

 

นางจะพูดออกไปได้อย่างไร จะบอกว่าเมื่อครู่นี้หนิงจื่อเย่ข่มขู่นางอย่างนั้นหรือ?  

 

 

พูดไปก็คงจะแย่ หนิงจื่อเย่คนนี้ตั้งใจที่จะเข้ามาใกล้ช่วงลำคอของนางใช่หรือไม่? ความใกล้ชิดขนาดนั้น ไม่ว่าใครเห็นเข้าก็คงสงสัยถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ แล้วฉู่ป๋ายที่ยังฉลาดเฉลียวกว่าผู้อื่นอีกเล่า เขาก็ไม่ได้โง่ แน่นอนว่าต้องมองเห็นเสียจนทะลุปรุโปร่งแน่  

 

 

นางไม่กล้าเดาใจของฉู่ป๋ายในยามนี้เลย แต่คิดว่าเขาจะต้องสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางทั้งคู่แน่ๆ   

 

 

สิ่งที่นางจะต้องทำก็คือ ขจัดความสงสัยให้ออกไปให้หมด  

 

 

สายตาเปลี่ยนไป แล้วเงยหน้าขึ้นพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม “จริงๆ แล้วเมื่อครู่นี้หนิงจื่อเย่หาเรื่องข้าต่างหาก”  

 

 

“หาเรื่องหรือ?” ฉู่ป๋ายรู้สึกสงสัยอย่างเห็นได้ชัด คิ้วของเขาเลิกขึ้นสูง สายตาส่องประกายวาววับ  

 

 

อวี้อาเหราพยักหน้าลงอย่างหนักแน่น แล้วพยายามที่จะอธิบายต่อไป “เจ้าอย่าได้คิดว่าเขาดูเป็นคนธรรมดาในยามปกติ แต่จริงๆ แล้วเขากลับเป็นคนชั่วที่หน้าไหว้หลังหลอก เมื่อครู่นี้ตอนที่เจ้าไม่อยู่ เขาเห็นว่าไม่มีคน จึงพยายามที่จะเข้ามาฉวยโอกาสกับข้า ดังนั้นจึงได้เข้ามาอย่างใกล้ชิด”  

 

 

“จริงหรือ?” ฉู่ป๋ายยังคงพูดจาเรียบนิ่ง “แล้วเหตุใดเมื่อครู่นี้เจ้าถึงไม่พูดออกมาเล่า”  

 

 

“เจ้าก็รู้ว่าหญิงสาวนั้นหน้าบางนัก หากข้าพูดออกไป ลองคิดดูสิว่าหากคนอื่นรู้ว่าธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋องถูกชายแปลกหน้าทำให้เปื้อนรอยราคีเล่า ข้าจะกล้าพูดได้อย่างไร?” อวี้อาเหราพูดแก้ตัวส่งเดช หากหนิงจื่อเย่ยังอยู่ตรงนี้ด้วย เขาจะต้องเหยียดริมฝีปากเย้ยเป็นแน่  

 

 

กล้าทำให้คนอื่นขายหน้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ?  

 

 

“ถ้าเช่นนั้นก็ได้” ราวกับฉู่ป๋ายเชื่อในคำพูดของนาง มองนางตั้งแต่ศีรษะอย่างสำรวจตรวจตรา ภายใต้สายตาของเขา นางก็รู้สึกราวกับร่างกายเปลือยเปล่าไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้า เป็นเพราะสายตาของเขามองดูตรงไปตรงมาทั้งยังไร้ซึ่งการเสแสร้ง แต่ไม่มีความร้ายกาจอัปลักษณ์อยู่ในนั้น สายตาเช่นนี้ล้วนทำให้รู้สึกสบายและอึดอัดได้ในเวลาเดียวกัน  

 

 

มองไปมองมา จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นมาว่า “แล้วเหตุใดเจ้าไม่สู้กลับ? หรือเจ้ารื่นรมย์กับการกระทำเช่นนั้น”  

 

 

คำพูดคำหลังแฝงไปด้วยความรู้สึกอันตรายอย่างชัดเจน  

 

 

อวี้อาเหราส่ายหน้าเหมือนหน้ากลอง “ข้าเป็นเพียงหญิงอ่อนแอ ไหนเลยจะสู้ชายหนุ่มฉกรรจ์เช่นเขาได้ แต่เจ้าก็มาได้ทันเวลาพอดี เพราะเจ้าพบเห็นเหตุการณ์โดยบังเอิญ ดังนั้นจึงทำให้ข้าหนีรอดมาได้…”  

 

 

“อวี้อาเหรา” น้ำเสียงทุ้มต่ำของฉู่ป๋ายดังขึ้นข้างหู ฟังดูเงียบขรึมจนตัวนางแทบจะแข็งเท่ากำแพงที่อยู่ด้านหลัง ผ่านไปสักครู่หนึ่งมุมปากของเขาถึงค่อยยกขึ้น แต่ใบหน้ากลับไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย “จำเอาไว้ ข้าไม่ใช่คนโง่ที่จะถูกหลอกได้เพียงคำพูดแค่ไม่กี่คำ เจ้าอยากที่จะอธิบาย หรืออยากที่จะสรรหาคำแก้ตัวโง่ๆ อื่นๆ มาบอกข้ากันเล่า”  

 

 

เมื่อพูดจบ เขาก็ปล่อยมือของนาง แล้วเดินจากไปอย่างไม่เหลียวแล  

 

 

กลิ่นหอมสดชื่นที่ติดกายของเขาก็กระจายหายไปด้วย  

 

 

อวี้อาเหราเหม่อลอยอยู่เป็นเวลานาน ยังคงจมอยู่ในคำพูดของเขา คิดอยู่เป็นนานนางจึงค่อยตระหนักรู้ ที่เขาพูดออกมาเช่นนี้ก็เป็นเพราะเขาไม่เชื่อในคำพูดส่งเดชของนางเลยแม้แต่น้อย ที่คล้อยตามไปก่อนหน้านี้เพื่อที่จะร่วมแสดงกับนางเท่านั้น  

 

 

ในประโยคสุดท้าย ฟังดูแล้วก็เหมือนเขาจะโกรธอยู่บ้าง  

 

 

ใช่ เขากำลังโกรธ  

 

 

แต่ทำไมถึงโกรธเล่า?  

 

 

โกรธที่นางพูดไปเรื่อยเปื่อยน่ะหรือ  

 

 

หรือว่ายังสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างนางและหนิงจื่อเย่  

 

 

แต่ที่น่าแปลกก็คือ เมื่อครู่นี้นางอธิบายกับเข้าไปตั้งมากมาย ทั้งใบหน้าของนางยังดูนิ่งเย็นและไร้ความรู้สึกมึนงง ว่านางสามารถพูดจาออกไปได้อย่างลื่นไหลไม่จริงจังได้อย่างไร แม้แต่ใบหน้าก็ไม่แดง ใจก็ยังไม่เต้นเช่นนี้   

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ลิขิตฟ้าชะตารัก

วิญญาณของ อวี้อาเหรา หญิงสาวจากศตวรรษที่ 21 ได้ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องที่มีร่างกายอ่อนแอ ซ้ำยังถูกองค์รัชทายาทที่นางรักมานานหลายปีผลักตกเหวจนตายอย่างไร้เยื่อใย! หลังจากที่อวี้อาเหราได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้ว ด้วยสภาพร่างกายของร่างเดิมทำให้นางต้องทนรับกับอาการป่วยไข้หลังจากที่ถูกน้ำซัดไปเป็นเวลานาน แต่นับว่าสวรรค์ยังมีเมตตานัก ที่ทำให้นางรอดชีวิตมาได้ด้วยความช่วยเหลือของ ฉู่ป๋าย ซื่อจื่อผู้โดดเด่นแห่งจวนเซิ่นอ๋อง ต่อหน้าบุรุษผู้โดดเด่นเช่นเขา นางไหนเลยจะกระโจนเข้าหาเฉกเช่นสตรีนางอื่น สิ่งที่นางทำนั้นคือการหลีกเลี่ยงเขาให้ไกลที่สุด แต่ใครเล่าจะรู้ว่าเรื่องไม่คาดฝันได้เกิดขึ้นเสียแล้ว… … “คุณหนู ท่าน…ท่านตั้งครรภ์แล้ว!” เสียงสาวใช้เอ่ยบอกด้วยความตกใจ “เหลวไหล! ข้ายังไม่เคยข้องเกี่ยวกับบุรุษใด แล้วจะตั้งครรภ์ได้อย่างไรกัน!” อวี้อาเหราเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ ฉับพลันนั้นเซิ่นซื่อจื่อที่นั่งอยู่ข้างกายจึงเอ่ยขึ้น “หากว่าเจ้าลำบากใจนัก เช่นนั้นข้าจะรับเป็นพ่อของเด็กให้เอง”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset