ตอนที่ 613 แตกกระเจิงราวเห็นผี
ทว่าเมื่อพบหน้าเขา ทั้งความนิ่งสงบและสติปัญหาก็แตกกระเจิงราวเห็นผี!
อวี้อาเหราค่อยๆ เดินตามไป
ฉู่เกอซื้อของที่ต้องการกลับมาแล้ว เมื่อเห็นนางก็นกยิ้มอย่างดีใจ “พี่เหราเอ๋อร์ไปไหนมาหรือ ข้าหาท่านตั้งนาน เมื่อครู่นี้พี่ชายของข้าก็ออกไปหาท่านด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ข้าเรียกเขาก็ไม่สนใจ พวกท่านไปทำอะไรกันน่ะ?”
อย่างไรเสียฉู่เกอก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ของฉู่ป๋าย แม้การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย แน่นอนว่านางก็ย่อมดูออก อวี้อาเหราอดที่จะคิดไม่ได้ หันหน้ามองไปหานางแล้วฝืนยิ้ม ไม่รู้ว่าควรจะพูดเช่นไรดี จะบอกนางถึงเรื่องที่เกี่ยวกับหนิงจื่อเย่หรือ? แน่นอนว่าไม่สมควร
ฉู่ป๋ายฉลาด ฉู่เกอที่เป็นน้องสาวแท้ๆ ของเขา แน่นอนว่าย่อมไม่เขลา นางก็รู้ดีอยู่แก่ใจ
ในสถานการณ์ที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย แม้ว่าจะเป็นคนที่สนิทสนมกัน แต่อวี้อาเหราก็ไม่กล้าที่จะเปิดเผยแม้เพียงครึ่งคำ นี่เป็นนิสัยที่ติดตัวนางมาจากชีวิตที่ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่เสมอนั่นเอง
เมื่อฉู่เกอเห็นสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ ก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก ไม่ใช่ว่านางจะสามารถมองเห็นจิตใจของฉู่ป๋ายเสียจนทะลุปรุโปร่งหรอก แต่เพราะนางเหม็นหน้าพี่ชายตัวเองเสียเกินทน ทั้งๆ ที่มีใบหน้าหล่อเหลาองอาจถึงเพียงนี้ แต่นางกลับเหม็นหน้าพี่ชายเหมือนเหม็นทุเรียนไม่มีผิด หากใครเห็นเข้าคงต้องถอยออกไปไม่ต่ำกว่าสามเชี๊ยะเป็นแน่
เมื่อคิดเช่นนั้น นางก็คว้าแขนของอวี้อาเหรา แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย
“พี่เหราเอ๋อร์ ตอนนี้ก็สายมากแล้ว พวกเรารีบไปจวนหลิงอ๋องกันเถิด ท่านอยู่จวนเซิ่นอ๋องทั้งบ่ายแล้ว ท่านลุงหลิงอ๋องไม่เห็นท่านคงจะต้องร้อนใจมากทีเดียว”
เมื่อได้ยินฉู่เกอพูดออกมาเช่นนี้ นางก็สามารถมองเห็นความในใจของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว
“ข้าว่าเจ้าไม่ได้กังวลหรอกว่าเสด็จพ่อของข้าจะร้อนใจหรือไม่ แต่เป็นเจ้าเองต่างหากที่ร้อนใจ ร้อนใจอยากจะพบน้องสามของข้าแต่ไม่กล้าพูดล่ะสิ”
“อ๊ะ พี่เหราเอ๋อร์พูดอะไรออกมาก็ไม่รู้” ฉู่เกอว่าด้วยสีหน้ากระเง้ากระงอด ถูกอวี้อาเหราล้อเลียนเสียจนไม่รู้จะทำอย่างไร เมื่อได้ยลท่าทีของนางแล้ว อวี้อาเหราก็ถามขึ้นอย่างอดใจไม่ได้ “เจ้ามีเรื่องอะไรกับน้องชายข้ากันแน่ หากเป็นไปได้ก็บอกข้าเสียหน่อยเถิด”
นางก็ไม่เชื่อว่าเป็นเพียงแค่เรื่องบุญคุณธรรมดาๆ แน่
ไม่อย่างนั้นจะมีท่าทีแปลกไปทันทีที่เอ่ยถึงอวี้จื้อเช่นนี้หรือ?
ไม่มีทาง!
ฉู่เกอกลับก้มหน้าลงด้วยท่าทีนิ่งเงียบ
อวี้อาเหราชะงัก “เจ้าเป็นอะไรไป?”
“พี่เหราเอ๋อร์” ฉู่เกอเงยหน้าขึ้นพร้อมทั้งฝืนยิ้มออกมา “ขอให้ท่านอย่าได้ถามเลย หากพี่ชายของข้าทราบเข้า เขาจะต้องไม่พอใจแน่ ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าและท่านคงไม่ได้มองหน้ากันอีก ท่านก็รู้นี่ว่าหากเขาโกรธแล้วจะเป็นอย่างไร”
“ก็จริง” อวี้อาเหราพยักหน้า ในเมื่อนางไม่อยากบอกก็จะไม่ถาม
ไม่ว่าใครก็ล้วนแล้วแต่มีความลับ รวมไปถึงนางด้วย
แต่สิ่งที่ทำให้อวี้อาเหรายิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีกก็คือ ฉู่ป๋ายนั้นไม่ค่อยจะอะไรกับใครนัก ทว่าเมื่อได้ยินชื่อของอวี้จื้อแล้ว ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที หรือว่าพวกเขามีเรื่องอะไรกัน?
ระหว่างอวี้จื้อและฉู่ป๋าย คงจะมีความขัดแย้งกันกระมัง
พวกนางจับมือกัน แล้วพากันเดินออกไป เมื่อห็นเมี่ยวอวี้และเจาเอ๋อร์ถือของที่ซื้อมาได้แล้วยืนรออยู่ พวกนางก็เดินเข้าไป อวี้อาเหรามองไปรอบๆ “ฉู่ป๋ายไปไหนแล้วเล่า”
เมื่อครู่ยังเพิ่งออกจากตรงนี้เลยมิใช่หรือ? เพียงชั่วพริบตาก็มองไม่เห็นเสียแล้ว
เจาเอ๋อร์ยิ้มขึ้นมาในทันที ก่อนจะชี้ไปยังรถม้าที่อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก “พอดีเมื่อครู่นี้บังเอิญพบคุณหนูเซิ่นและนายน้อยลูกพี่ลูกน้องของนาง ตอนนี้กำลังคุยกับเซิ่นซื่อจื่ออยู่พอดีเจ้าค่ะ”
ระหว่างที่พูดนั้น ก็สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจอยู่บ้าง เจาเอ๋อร์มองออกถึงความรู้สึกที่อวิ๋นเซิ่นมีต่อฉู่ป๋าย เมื่อคิดถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างคุณหนูและเซิ่นซื่อจื่อที่มาถึงขั้นนี้แล้ว เมื่อเห็นเขามีท่าทีต่อหญิงสาวอีกคน นางก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
ตอนที่ 614 หน้าเปลี่ยนเหมือนพลิกหนังสือ
อวี้อาเหราชะงักงันไปด้วย จากนั้นก็หันไปมองรถม้าที่อยู่ไม่ไกล ราวกับเห็นฉู่ป๋ายยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ รูปร่างหน้าตางดงามราวหยก ชุดสีขาวที่สวมอยู่ปลิวไสวไปตามลม เมื่อเสื้อผ้าสีขาวถูกสวมลงบนร่างของเขาแล้วก็ทำให้ดูอ่อนบาง เป็นความงดงามในแบบฉบับผู้อ่อนแอรูปแบบหนึ่ง
หรือว่าเป็นเพราะเขาผอมบางจนเกินไป จึงทำให้เสื้อผ้าที่สวมอยู่ดูหลวมโพรกเกินตัว ทำให้มองไม่เห็นรูปร่างงดงามสง่าของเขาเลยแม้แต่น้อย
“หา? พี่อวิ๋นก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปดูหน่อย” ฉู่เกอถูกดึงดูดสายตา ก็รีบดึงแขนอวี้อาเหราด้วยความยินดีแล้วเดินไปยังทิศทางนั้น
ในใจของอวี้อาเหราอดไม่ได้ที่จะปฏิเสธ เมื่อได้ยินจากเจาเอ๋อร์ว่าคนบนรถนั้นคืออวิ๋นเซิ่น ทั้งยังมีลูกพี่ลูกน้องของนางที่ชื่อตานเวยอยู่ด้วย ครั้งก่อนที่พบกันที่หอจุ้ยเซียนนั้น นางก็ไม่รู้ว่าไปทำให้เขาโมโหด้วยเหตุใด เพียงพบหน้าเขาก็แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา ราวกับนางไปติดเงินเขาอย่างไรอย่างนั้น ไม่ไว้หน้ากันเลยแม้แต่น้อย
แม้จวินฉางอวิ๋นที่มีนิสัยเช่นนั้น ก็ยังไว้หน้านางอยู่บ้าง
ทว่าเมื่อพูดถึงตานเวยนั้น ไม่ต้องพูดเรื่องเกรงใจ เขาก็ไม่แม้กระทั่งจะไว้หน้านาง
เขาไม่เห็นสถานะธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋องของนางอยู่ในสายตา เมื่อพูดถึงชนชั้นสูงในต้าเยี่ยนแล้ว จวนหลิงอ๋องก็มีสถานะเป็นถึงจวนอ๋อง สูงส่งกว่าราชเลขากรมทหารของเขาตั้งไม่รู้กี่เท่า และสิ่งที่ต่างกันอีกอย่างก็คือ หลิงอ๋องนั้นเคยเป็นผู้ชำนาญการรบ แม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้ออกศึกในสนามรบแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับความเคารพจากเหล่าทหารน้อยใหญ่มากมาย
แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังต้องไว้หน้า
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ไทเฮาพยายามที่จับคู่นางกับจวินฉางอวิ๋นเป็นที่สุด
เป็นเพราะนางมีพื้นฐานทางอำนาจนั่นเอง ขอเพียงได้แต่งกับนาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ย่อมได้รับการสนับสนุนจากจวนหลิงอ๋องแน่
ทว่ากลับมีคนที่ใจกล้าไม่ถูกที่และยังไม่สนใจฟ้าดินอีกด้วย
ตานเวยเป็นคนเช่นนั้นไม่ผิดแน่
หลังจากเดินเข้ามาหา ก็เห็นอวิ๋นเซิ่นและตานเวยนั่งอยู่ในนั้นจริงๆ ตานเวยที่กำลังมองไปทางด้านอื่นอยู่ มีเพียงอวิ๋นเซิ่นเท่านั้นที่พูดคุยกับฉู่ป๋าย ราวกับได้ยินเสียงฝีเท้าของคนเดินเข้ามา เขาจึงค่อยหันมา เมื่อมองมายังนาง สีหน้าของเขาก็ชะงักไป
เคยเห็นการพลิกหน้าหนังสือหรือไม่?
เมื่อเปิดหน้าหนังสือมาหน้าแรก ทว่าเพียงชั่วพริบตาก็กลายเป็นหน้าสุดท้ายเสียแล้ว จากท้องฟ้าที่สว่างไสวกลายเป็นมืดครึ้ม ทั้งๆ ที่ทำเพียงพลิกหน้าหนังสือเท่านั้น
เร็วหรือไม่เล่า?
เร็วเกินไปเสียด้วยซ้ำ
อวี้อาเหราอดไม่ได้ที่จะตกอกตกใจกับสีหน้าของเขา
ฉู่ป๋ายได้ยินเสียง จึงเปิดม่านมา เห็นอวี้อาเหรายืนอยู่ตรงนั้น เขาทำเพียงถอนสายตากลับไปด้วยท่าทีเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด
อวิ๋นเซิ่นสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในท่าทีของอวี้อาเหราและฉู่ป๋าย ก็สัมผัสได้ว่าอารมณ์ของฉู่ป๋ายถูกกระทบกระเทือน ถอนสายตาสำรวจตรวจตราออกมา พลางหันไปยิ้มกับฉู่เกอ “ไม่คิดว่าเกอเอ๋อร์จะอยู่ที่นี่ด้วย เมื่อครู่นี้ได้ยินพี่ชายของเจ้าบอกว่าจะไปที่จวนหลิงอ๋อง ไม่คิดว่าจะร่วมเดินทางไปกับคุณหนูรอง ทว่าหลิงอ๋องทราบหรือไม่ว่าพวกเจ้าจะไปด้วยกัน?”
น้ำเสียงของนางจงใจให้ดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
หากเปลี่ยนเป็นประโยคง่ายๆ ก็จะกลายเป็นว่า ที่เจ้าวิ่งไปนู่นมานี่กับชายแปลกหน้านั้น พ่อของเจ้ารู้หรือไม่?
ที่อวิ๋นเซิ่นอยากจะพูด ก็คงเป็นประโยคนี้กระมัง
อวี้อาเหราเข้าใจ จากนั้นก็เงยหน้ายิ้มรับสายตาของนาง “แน่นอนว่าต้องทราบ คุณหนูเซิ่นไม่จำเป็นต้องกังวลเลย”
สีหน้าของอวิ๋นเซิ่นชะงัก ใบหน้ายิ้มแย้มค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นแข็งค้าง จากนั้นก็แย้มยิ้มต่อไปอย่างไม่รู้สึกรู้สาแม้แต่น้อย
“ได้ยินมานานแล้วว่าฝีมือทางการแพทย์ของฉู่ป๋ายนั้นสูงส่งยิ่งนัก ช่วงนี้ท่านน้าสะใภ้เป็นไข้หนาวสั่นมาหลายวันไม่ดีขึ้น เจ้าจะไปดูอาการของนางที่จวนราชเลขาหน่อยได้หรือไม่”
ฉู่ป๋ายเงยหน้าขึ้น