เมื่อเป่ยฟางหรงไม่ยอมจับมือของเขา หลี่จิ้งจึงเอ่ยว่า
“ไม่มีเวลาให้งอแงแล้ว”
หลังจากนั้นเขาก็เป็นฝ่ายอุ้มนางขึ้นมา เรียกกระบี่ฮวาเปียวออกจากฝักแล้วพานางขี่กระบี่เหาะกลับสำนักเซียนอย่างเร่งรีบ
พวกเขามาถึงหุบเขาซินเซวียนเมื่อเวลาตะวันขึ้นตรงศีรษะ การเดินทางมาตลอดคืนอีกทั้งยังใช้ช่วงเช้าอยู่บนกระบี่ทำให้เป่ยฟางหรงอ่อนเพลียเป็นอย่างยิ่ง
หลี่จิ้งวางเป่ยฟางหรงที่นอนหลับคอพับไว้บนเตียง ปลดผ้าพันแผลออกพบว่าบริเวณบาดแผลน้ำแข็งของนางยังคงไม่ขยายและไม่เล็กลง หลังจากนั้นสั่งให้บ่าวที่เฝ้าหน้าเรือนของเป่ยฟางหรงไปตามศิษย์ห้องยามา
เมื่อคนมาถึงหลี่จิ้งสั่งให้ศิษย์เคี่ยวยาให้เป่ยฟางหรงหลายขนาน กระทั่งทุกคนออกไปเขาจึงถอดอาภรณ์ของเป่ยฟางหรงออก ครานี้หลี่จิ้งไม่หลับตาแล้วได้แต่ฝืนจิตใจสำรวจร่างของนางจนทั่ว
เมื่อไม่พบไอเย็นและส่วนอื่นของร่างกายที่กลายเป็นน้ำแข็งหลี่จิ้งจึงรู้สึกเบาใจ
เป่ยฟางหรงลืมตามองดูการกระทำของอาจารย์ที่สำรวจร่างกายของตนเองอย่างกระตือรือร้นด้วยใบหน้าที่คล้ายกังวลเป็นอย่างยิ่งก็อดประหลาดใจในความรู้สึกของตนเองไม่ได้
เหตุใดจึงพอใจในสัมผัสของเขามากมายเพียงนี้ ความรู้สึกร้อนวูบวาบทุกครั้งที่นิ้วมือเรียวไต่ไล้ร่างกายของตนเองทำให้เป่ยฟางหรงต้องกัดปากพยายามระงับความรู้สึกอันแสนวิเศษที่ได้รับจากเขา
จนกระทั่งหลี่จิ้งสำรวจนางจนพอใจ เขาเริ่มใส่อาภรณ์ให้นางเป่ยฟางหรงไม่พอใจแล้ว ปราณมารไหลออกมาจากบาดแผลเป็นสาย และเริ่มรุนแรงขึ้น
หากเป็นเช่นนี้ศิษย์อาวุโสที่อยู่ในสำนักย่อมสามารถสัมผัสได้เป็นแน่ เป่ยฟางหรงโน้มคอของหลี่จิ้งลงมา นางแยกขาคร่อมร่างของเขาเอาไว้ ก้มลงดมซอกคอของหลี่จิ้งคล้ายสุนัขดมอาหารก่อนจะแลบลิ้นออกมาเลียปลายคางของเขา
หลี่จิ้งพลิกกายนางลงอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกไม่ชอบมาพากลพลันเกิดขึ้น เขาจึงดุนางเสียงเย็น
“หรงหรงเจ้าอยู่นิ่ง ๆ ให้อาจารย์ดูแผลของเจ้าอีกครา”
“อาจารย์จะดูตรงไหนเจ้าคะ นอกจากดูแล้วยังจะสัมผัสหรือไม่”
นางเอ่ยเสียงหวาน ปราณมารไหลเวียนแทบจะเล็ดลอดออกนอกห้องอยู่แล้ว หลี่จิ้งถูกนางกอดจนลำตัวแนบชิด ขยับเขยื้อนลำบากยิ่ง
“อยู่นิ่ง ๆ อาจารย์จะถ่ายทอดพลังทิพย์ยับยั้งปราณมารในร่างให้เจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าได้ลำบากแน่”
เป่ยฟางหรงไม่ยินยอมให้เขาขยับแล้ว นางกลับอ้าปากแล้วจู่โจมเขาเอ่ยเสียงหวานปนหอบด้วยแรงอารมณ์เล็กน้อย
“อาจารย์ก็ถ่ายทอดพลังทิพย์มาทางปากของข้าสิเจ้าคะ รวดเร็วยิ่งกว่าส่วนอื่นไม่ใช่หรือ ข้าสัญญาว่าจะไม่ขยับอีก”
ลำแขนเรียวของนางรัดลำคอของเขาแน่นขึ้น กระทั่งสองขาที่เปล่าเปลือยยังโอบรอบเอวของเขา หลี่จิ้งในยามนี้เพียงแต่กังวลว่าปราณมารของนางจะไหลออกนอกห้องเรียกคนทั้งสำนักให้แห่เข้ามายังเรือนแห่งนี้จึงประกบริมฝีปากลงมาทันใด
เป่ยฟางหรงชะงักค้าง นางไม่เข้าใจว่าความรู้สึกนี้คือสิ่งใดกันแต่รู้ว่าตนเองต้องการจนไม่อาจระงับใจ กระทั่งปากอุ่นชื้นของเขาที่บดเบียดริมฝีปากของนางในขณะถ่ายทอดพลังทิพย์ก็ให้ความรู้สึกตื่นเต้นปนอ่อนหวานเป็นอย่างยิ่ง
หลี่จิ้งผู้ตั้งอกตั้งใจช่วยศิษย์ด้วยใจบริสุทธิ์บัดนี้กลับกำลังถูกเป่ยฟางหรงรุกล้ำด้วยปลายลิ้นของนางเอง เขาไม่อาจหยุดการช่วยนางได้ในตอนนี้เกรงว่าจะส่งผลเสียต่อร่างกายของนางเอง ทั้งที่ใจอยากจะต่อว่าที่นางไม่รักษาสัญญายังขยับลิ้นมั่วซั่วจนเขาแทบจะควบคุมตนเองไม่ได้อยู่แล้ว
ร่างกายของนางก็แสนร้ายกาจ บดเบียดจนแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียวกันกับเขา ส่วนที่สงบนิ่งของเขาบัดนี้กลับลุกขึ้นมาแข็งขัน ตั้งขบวนรบรอรับฆ่าศึกที่เข้ามาโจมตีอย่างเต็มที่
แทนที่นางจะหวาดกลัวเช่นวันวานเป่ยฟางหรงผู้รับรู้ถึงความแข็งแกร่งกลางร่างกายนี้กลับบดเบียดเนื้อนูนอวบลงมา ยิ่งนางสัมผัสความรู้สึกร้อนเร่าและมีความสุขนั้นได้พุ่งกระจายไปถึงปลายเท้าไหลเวียนขึ้นมาจนถึงศีรษะ
นางชอบเป็นอย่างยิ่ง
หลี่จิ้งยิ่งขยับกายพยายามเบี่ยงหนีก็ยิ่งแนบชิด ลิ้นของนางที่ดิ้นรนต่อสู้ล้วงเข้ามาในโพรงปากของเขา ยั่วยวนปลายลิ้นของหลี่จิ้งจนเขาต้องจำใจต่อสู้นางกลับด้วยปลายลิ้นเชี่ยวชาญของตนเอง จวบจนบัดนี้สองลิ้นพัวพันจนแทบจะแยกไม่ออก
หลี่จิ้งรู้สึกเหน็ดเหนื่อยหัวใจยิ่งนักเมื่อดูเหมือนว่าพลังทิพย์ของเขาจะเพิ่มพูนมากขึ้นเมื่อสัมผัสกับเป่ยฟางหรง บัดนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดผู้ฝึกวิชาเซียนจึงกระตือรือร้นที่จะมีคู่ซินเซียวร่วมเสพสังวาสเพื่อเพิ่มตบะนักหนา
อ๊าาาาา ด้วยเหตุนี้เองหรือ
หลี่จิ้งครางออกมาแผ่วเบา เป่ยฟางหรงนอกจากเจ้าเหมาะสมที่จะเป็นคู่ซินเซียวของข้าแล้ว ข้ายังคิดว่าบัดนี้ เจ้าได้กลายเป็นนางมารร้ายไปแล้วใช่หรือไม่