หลี่จิ้งหอบหายใจรัวเมื่อนางขยับกายในขณะที่เป่ยฟางหรงเจ็บปวด หลี่จิ้งกลับคล้ายเหมือนคนกำลังแตกปริและใกล้ระเบิดเข้ามาทุกที เขาจำต้องปลอบโยนนางอย่างใจเย็น
“หรงหรงเจ้าอย่าเพิ่งขยับจะได้หรือไม่”
“เหตุใดข้าต้องเชื่อท่านอีก ในเมื่อท่านโกหกข้า”
เป่ยฟางหรงเจ็บปวดจนเริ่มจะงอแง ในขณะที่หลี่จิ้งต้องสูดหายใจเข้าลึกพยายามพูดคุยกับนางอย่างเต็มที่
“อาจารย์หาได้โกหก ของบางอย่างอาจไม่ถูกปากในตอนแรกแต่หลังจากนี้เจ้าจะกินอร่อยยิ่ง”
ดวงตากลมโตของนางคลอไปด้วยน้ำในตา เป่ยฟางหรงมองเขาอย่างไม่ไว้ใจ
“มันจะอร่อยได้อย่างไรเจ้าคะ ในเมื่อเจ็บเพียงนี้ไม่สนุกเลยสักนิด”
หลี่จิ้งกัดลิ้นเมื่อเป่ยฟางหรงขยับ เขารู้สึกถึงความเสียวทรมานอันเกิดจากช่องทางคับแคบของนางที่บีบรัดกระบี่ด้ามโตของเขาอยู่
“เป็นเจ้าไม่ใช่หรือที่ไม่เชื่อฟัง ไม่ถามไถ่อาจารย์แล้วพรวดพราดเข้ามาในร่างของอาจารย์เช่นนี้ หากยังไม่เชื่อฟังอีกอาจารย์อาจทำเจ้าบาดเจ็บได้”
เมื่อไตร่ตรองแล้วก็ต้องเบะปาก น้ำตาหยดลงมาเป็นสายนางพยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่เจ้าค่ะ แต่ตอนนั้นข้าพลันรู้สึกหิวท่านขึ้นมาจริง ๆ ไม่รู้เหตุใดจึงคิดจะทำเช่นนี้แทนที่จะกินท่าน เห็นว่าตรงนี้ของข้าเป็นรูและกระบี่ของท่านก็กลม ๆ ยาว ๆ เพียงแต่สงสัยว่าหากท่านแทงเข้ามาในนี้แล้วจะเป็นเช่นไร”
หลี่จิ้งแทบจะกัดลิ้นตนเองให้ตายในความช่างสงสัยของศิษย์เอก
“แล้วเป็นอย่างไรเล่า ไม่ถามไถ่อาจารย์เช่นนี้คือความผิดของผู้ใดกัน”
เป่ยฟางหรงมองเขาอย่างสำนึกผิด ครานี้นางไม่ขยับกายให้ตนเองทรมานด้วยความเจ็บแล้ว”
“ของศิษย์เจ้าค่ะ”
“เมื่อรู้แล้วต้องทำเช่นไร ในเมื่อตัวของเราสอดประสานแทบจะแยกกันไม่ได้เช่นนี้”
“ศิษย์จะเชื่อฟังอาจารย์เจ้าค่ะ”
น้ำเสียงของอาจารย์ช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก เป่ยฟางหรงผู้ที่คิดว่าตนเองทำความผิดถึงกับคอตก ทรุดกายราบลงมาทาบทับเขาอย่างหมดแรง สองมือได้แต่โอบกอดเขาลำคอของเขาเอาไว้
หลี่จิ้งเห็นนางเป็นเช่นนี้พลันยกแขนโอบรอบร่างของนางเช่นกัน เขาอมยิ้มทั้งใบหน้าเหยเก ใช่เขารู้ว่านางในตอนนั้นกำลังตื่นเต้นและทำไปตามสัญชาตญาณเพียงเท่านั้น เป่ยฟางหรงเห็นท่าทางประหลาดของหลี่จิ้ง อีกทั้งอาจารย์ของนางยังร้องครางแผ่วจึงตกใจยิ่ง
“อาจารย์หรือท่านก็เจ็บเช่นกันเจ้าคะ ข้าทำท่านเจ็บหรือ ศิษย์อกตัญญูแล้วเช่นนั้นศิษย์จะเรียกศิษย์พี่มาช่วยเรานะเจ้าคะ เขาอาจมีวิธีแยกเราสองคนออกจากกันโดยไม่เจ็บปวด”
หลี่จิ้งหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นางกลับมาเขาย่อมดีใจแต่เหตุใดจึงกลับมาในยามนี้กันเล่า
“บังอาจ ไม่เชื่ออาจารย์หรือไร ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้ามิใช่หรือ ไม่จำเป็นต้องเรียกผู้ใดเข้ามา”
“แม้แต่ศิษย์พี่หรือเจ้าคะ”
“เจ้าอย่าเหลวไหล ไม่เชื่อฟังอาจารย์เช่นนี้จะกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว”
หลี่จิ้งจึงสูดหายใจลึกตำหนินางเสียงดัง
“ข้าขออภัยเจ้าค่ะ ข้าตื่นตระหนกไปเกรงว่าเราสองคนไม่อาจแยกกันได้ เช่นนั้นจะขับถ่ายอย่างไร กินอย่างไรเจ้าคะ ช่างน่าอดสูยิ่ง”
หลี่จิ้งหลับตาคิดใคร่ครวญ อกอวบของนางยังบดบี้ลงมาที่เขา สัมผัสอ่อนนุ่มนี้ทำให้อารมณ์ของหลี่จิ้งยิ่งปั่นปวน แต่ว่าเขาจำเป็นต้องสั่งสอนศิษย์ด้อยปัญญาผู้นี้เสียก่อน
“หรงหรงจงฟังอาจารย์ให้ดี นี่คือวิชาร่วมเสพสังวาสเป็นอีกวิชาหนึ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรใช้กับคู่ของตนเพื่อร่วมฝึกพลังทิพย์ เราสองคนย่อมแยกจากกันได้เพียงแต่ต้องบรรลุเป้าหมายเสียก่อนจึงจะนับว่าฝึกสำเร็จ”
เป่ยฟางหรงฟังเขาตาแป๋ว ไม่ขัดเขาแม้แต่ประโยคเดียว หลี่จิ้งจึงรู้สึกผิดอยู่บ้างถึงแม้ว่าเรื่องที่เขากำลังเอ่ยจะเป็นเรื่องจริง แต่เหตุใดกลับรู้สึกเหมือนตนเองกำลังหลอกล่อศิษย์ด้อยปัญญามาทำเรื่องเลวทรามกัน
“แปลว่าข้าสามารถทำเรื่องนี้กับศิษย์พี่เพื่อฝึกวิชาได้เช่นกันหรือเจ้าคะ”
“ไม่ได้”
น้ำเสียงของหลี่จิ้งน่ากลัวยิ่งนัก เป่ยฟางหรงกลับไม่เกรงกลัวเท่าไหร่ด้วยนางไม่เข้าใจเหตุผลนี้เอาเสียเลย