เพราะต้องการทำลายชื่อเสียงของเทพอัคคีเป่ยฟางหรงจึงได้กุเรื่องว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์ขึ้นมาสร้างความผิดหวังให้กับบรรดาเทพเซียนสตรีน้อยใหญ่ หลายคนไม่พอใจที่เทพอัคคีทำลายชื่อเสียงอันดีงามของแดนสวรรค์จนป่นปี้
“เรื่องเช่นนี้ไม่ควรเกิดเห็นว่าองค์เง็กเซียนให้เทพอัคคีไปเป็นอาจารย์สั่งสอนเพราะองค์ราชาเหมันต์ต้องการอาจารย์ที่ดีให้บุตรสาวไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงไปสั่งสอนนางเข้า”
“ว่ากันว่าฝ่าบาทน้อยผู้นั้นงดงามมาก อย่างไรเสียเทพอัคคีก็เป็นบุรุษผู้หนึ่งที่ยังไม่มีพระชายาถึงจะเป็นเทพที่มีตำแหน่งสูงส่งอยู่ใกล้สาวงามเพียงนั้นก็คงจะหักห้ามใจ”
“ถึงไม่อาจหักห้ามใจได้ก็ไม่ควรทำเรื่องเลวทรามควรไปสู่ขอให้นางให้ถูกต้องไม่ใช่ล่วงเกินจนนางตั้งครรภ์”
“แล้วท่านได้ยินข่าวหรือเปล่าที่องค์เง็กเซียนปกปิดเอาไว้เรื่องที่สามภพถูกแช่แข็งเมื่อสี่หมื่นปีก่อนเป็นเพราะนางเช่นกัน ว่ากันว่าดาวมารมาจุติเป็นองค์หญิงผู้นั้นจึงต้องให้เทพอัคคีไปกำราบ”
“เรื่องนี้มีความจริงมากน้อยประการใด ถ้าดาวมารคือนางจริงเหตุใดไม่กำจัดทิ้งเสียจะรอให้นางทำลายสามภพหรืออย่างไร”
“ข้าก็ไม่รู้เรื่องใดจริง เรื่องใดเท็จกันแน่แต่ที่แน่ ๆ ในตอนนี้ฝ่าบาทน้อยผู้นั้นถูกบรรดาเทพสตรีทั้งหลายเชิญขึ้นเกี้ยวสวรรค์บัดนี้มาทวงความยุติธรรมกับองค์เง็กเซียนที่หน้าตำหนักแล้ว”
“เช่นนั้นเรารีบไปดูกันเถิด”
เทพที่ว่างงานมานานหลายหมื่นปีต่างมีเรื่องให้นินทาแล้ว เวลานี้บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าจึงคึกคักเป็นพิเศษแทบจะเรียกได้ว่าเป็นวาระแห่งสวรรค์เลยก็ว่าได้
เมื่อเป่ยฟางหรงเล่าเรื่องเท็จทำลายชื่อเสียงเทพอัคคีไปแล้วทำให้เรื่องของตนเองกลายเป็นข่าวใหญ่สะเทือนพิภพโดยมีเทพภูเขาคอยนำทางมายังแดนสวรรค์
นางเดินทางได้ถึงครึ่งทางก็พบว่ามีเหล่าเทพสตรีทั้งหลายมารอพบและแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อนางเป็นอันมาก
น้ำใจของเหล่าเทพสตรีนับว่าประเสริฐแท้ครึ่งหนึ่งมาเพื่อต่อสู้กับเทพสงครามเพื่อศักดิ์ศรีของสตรีอีกครึ่งมาด้วยความริษยาอยากเห็นหน้าค่าตาฝ่าบาทน้อยแห่งแดนเหมันต์ว่าจะงดงามสมคำร่ำลือจนทำให้เทพอัคคีผู้เย็นชาครองตัวเป็นโสดมาหลายเนิ่นนานลงมือได้อย่างไร
และเมื่อพบนางความงามของเป่ยฟางหรงก็ทำให้เทพเซียนเหล่านั้นหุบปากลงไปได้ ยิ่งหลักฐานของอาภรณ์ที่เปล่งประกายเป็นสีแดงเพลิงของเทพอัคคียิ่งทำให้พวกนางเชื่อเรื่องเท็จอย่างจริงจัง
เทพหลายคนถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาด้วยได้แอบรักเทพอัคคีมาเนิ่นนาน
เป่ยฟางหรงขึ้นนั่งเกี้ยวสวรรค์อย่างไม่กระดากอายแม้แต่น้อย เรื่องที่นางโกหกก็ยังโกหกต่อแถมปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมาถึงท่าทางการแสดงออกของเทพอัคคีที่มีต่อนาง
“เวลาเขารุกน่ากลัวเป็นอย่างมากแม้ว่าข้าจะใช้พลังเท่าใดก็ไม่อาจต่อกรกับเขาได้”
เป่ยฟางหรงพูดถึงเวลาที่นางพยายามที่จะแช่แข็งเขาแล้วตัวเองกลับถูกตีเสียเอง ในขณะที่คนพวกนั้นนึกไปถึงไหนต่อไหนต่างคนต่างใบหน้าแดงซ่านเต็มไปด้วยความอาย เพราะท่านเทพอัคคีก็มีบทรักอันดุเดือดนักพวกนางจึงยังคงตั้งใจฟัง
“กระบี่เพลิงโลกันตร์ของเขาทั้งแข็งทั้งยาวแทงข้ามาแต่ละทีแทบตายดีที่ข้าตบะแก่กล้ายังทนรับมันได้ บางทีการต่อสู้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้ข้าเข่าอ่อนแต่คนเช่นข้าไม่มีวันยอมแพ้แม้จะเจ็บไปบ้างแต่บางอารมณ์ก็คิดว่าดีมากเหมือนกันที่ได้เจอคู่ต่อสู้ที่สูสีเช่นนี้”